ยุคสมัยต่างกัน มุมมองจึงต่างกัน
นางหลิ่วไม่ใช่แม่เลี้ยงใจร้าย แต่เป็เพราะนางรักและทะนุถนอมบุตรสาวคนโตอย่างแท้จริง จึงไม่อาจเลินเล่อทำลายการแต่งงานครั้งนี้ได้
นางจ้องเฉิงชิงที่เสียสติอย่างเหี้ยมโหด แล้วก็ลากบุตรสาวคนโตมาอธิบายอย่างละเอียด
“ฮุ่ยเหนียง การที่คนในครอบครัวเราไม่มีอนุภรรยาที่ยุ่งเหยิงพวกนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าบ้านอื่นจะไม่มี เ้าดูพวกพ่อค้าเ่าั้สิ เ้าของที่ดินในชนบท ในมือมีเงินหน่อยก็คิดจะแต่งอนุภรรยากลับบ้านสักคนแล้ว ยามบิดาเ้ายังมีชีวิต พวกเราอาศัยอยู่ที่อำเภอเจียงหนิง ฮูหยินที่มายังที่ว่าการอำเภอ ไม่มีผู้ใดที่เป็ใหญ่เพียงผู้เดียวในเรือนหลัง พวกที่ได้ชื่อว่าไม่รับอนุภรรยาก็มีนางข้างห้องอยู่ในบ้าน… เ้าผู้เป็สตรีที่จะต้องออกเรือนต้องมองบุรุษ แล้วยิ่งต้องมองบ้านสามีว่าดีหรือไม่ เดิมเ้าก็เป็หลานสายนอกตระกูลฉี หลังจากแต่งกลับไปแล้วก็มีแม่สามีซึ่งก็คืออาสะใภ้ อีกทั้งผู้าุโรุ่นก่อนคอยดูแล ใช้ชีวิตไม่ลำบากหรอก!”
ออกเรือนไปตระกูลอื่น ผู้ใดจะรู้ว่าเป็อย่างไรบ้าง
รับไม่รับอนุภรรยาล้วนขึ้นอยู่กับตัวบุรุษเอง ยามเพิ่งแต่งงานใหม่ๆ ย่อมตัวติดกัน บุรุษก็จะให้คำสัญญาต่างๆ นานา
หากภรรยาถือเป็จริงเป็จัง ภายภาคหน้าย่อมผิดหวังเกินกว่าครึ่ง
ผ่านไปหลายปีบุรุษกลับคำ ผู้ที่ผิดหวังทนทุกข์ก็ยังคงเป็สตรี!
ผู้ใดไม่คิดอยากมีคู่ที่อยู่ด้วยกันตลอดชีวิต เดิมสามีภรรยาก็เหมือนคนคนเดียวกัน พอเพิ่มคนที่สาม ความสนิทสนมไร้ช่องว่างก็เริ่มมีความเกลียดชัง
แต่สภาพสังคมก็เป็เช่นนี้ หากไม่ยอมให้สามีรับอนุภรรยา ก็จะถือว่าเป็สตรีไร้คุณธรรม อิจฉาริษยา
เมื่อเผชิญกับเื่ใหญ่ นางหลิ่วเลอะเลือนไม่มีความคิดเห็น แต่เมื่อเกี่ยวกับความเข้าใจในเื่การแต่งงาน กลับถือว่าตนเองเข้าใจลึกซึ้งกว่าเฉิงชิงมากนัก เฉิงจือหย่วนเป็ขุนนางชั้นผู้น้อยมาโดยตลอด เื่ซุบซิบนินทาต่างๆ นางก็ได้ยินได้ฟังมามากพอตัว เข้าใจว่าเื่ทางโลกก็เป็เช่นนี้เอง ข้อเสียของฉีเหยียนซง เมื่อเปลี่ยนเป็สามีผู้อื่นก็ย่อมมีเช่นเดียวกัน
บุตรสาวคนโตพิงไหล่นางสะอึกสะอื้น นางหลิ่วลูบหลังของนางเบาๆ เอ่ยถึงวิธีการมากมาย สอนบุตรสาวคนโตว่าหลังจากแต่งงานแล้วทำเช่นไรจึงจะค่อยๆ มัดใจฉีเหยียนซงได้
“รอเ้าคลอดลูก ทุกอย่างก็ดีขึ้นแล้ว คลอดลูกชายคนหนึ่งก็สามารถยืนอยู่ในตระกูลฉีอย่างมั่นคงแล้ว หากสามารถคลอดลูกชายหลายคน คนทั้งตระกูลฉีก็จะเคารพเ้า เ้าจะเป็ผู้มีคุณูปการที่ช่วยให้ตระกูลฉีแผ่กิ่งก้านสาขาผลัดใบ”
ไม่ไหวแล้ว
เฉิงชิงฟังจนเจ็บหูไปหมด
สำหรับนางผู้ทะลุมิติมา ความคิดเห็นเหล่านี้ถือว่าเป็พิษเกินไปแล้ว!
นางดีใจที่ตนเองไม่เคยคิดที่จะกลับคืนสู่สถานะสตรี ตอนนั้นหากเชื่อฟังคำพูดของนางหลิ่วแล้วจากไปยังชนบทอันห่างไกลและกลับคืนสู่สถานะสตรี ผ่านไปไม่กี่ปี สิ่งที่ต้องเผชิญก็คือการถูกนางหลิ่วบีบบังคับให้แต่งงานกระมัง? หากนางบังเอิญโชคดี หาอีกครึ่งหนึ่งที่เข้ากันได้เจอในแคว้นเว่ย ก่อนหน้าที่จะออกเรือนก็คงต้องฟังนางหลิ่วสั่งสอนว่าทำอย่างไรจึงจะเป็ศรีภรรยาที่มีคุณธรรม——
เฉิงชิงคิดแล้วก็หนาวะเื
บุตรสาวคนโตสะอึกสะอื้น ทั้งยังสงสัยถึงวิธีการพูดของนางหลิ่วด้วย
“แต่ท่านพ่อกับท่านแม่มิได้รักใคร่กันมาตั้งหลายปีหรือเ้าคะ อีกทั้งท่านพ่อก็ไม่ได้รับอนุ ไม่มีนางข้างห้องด้วย!”
บุตรสาวคนโตไม่เคยปฏิบัติต่อนางหลิ่วอย่างคนนอก นางฉีมารดาผู้ให้กำเนิดเกิดเจ็บป่วยหลังจากให้กำเนิดนาง แล้วจึงเสียชีวิตไป ั้แ่ตอนหัดพูดอ้อแอ้ก็มีนางหลิ่วที่ดูแลนาง หลังจากนั้นอีกหลายปีถึงได้รู้ว่านางยังมีมารดาที่ให้กำเนิดอยู่อีกคน
บุญคุณที่ให้กำเนิดก็คือบุญคุณ บุญคุณที่เลี้ยงดูมาก็คือบุญคุณเช่นกัน นางหลิ่วและเฉิงจือหย่วนสองสามีภรรยารักใคร่กัน ภายในใจบุตรสาวคนโตไม่ได้รู้สึกอยุติธรรมแต่อย่างใด
นางหลิ่วกล่าวว่าทุกบ้านล้วนมีอนุ บุตรสาวคนโตก็หยิบกรณีบ้านของตนมาโต้แย้ง เห็นมาั้แ่เล็กด้วยตาตนเอง หรือว่าจะเป็เื่หลอกลวง?
รอยยิ้มของนางหลิ่วทั้งอ่อนหวานและขมขื่น
“เด็กโง่ ผู้ที่เหมือนบิดาเ้า จากร้อยคนก็ไม่แน่ว่าจะเจอ หากได้พบเจอก็ถือเป็วาสนาสิบชาติของสตรีอย่างพวกเราแล้ว”
เป็วาสนาแล้วก็เคราะห์ร้ายด้วย
ถึงแม้นางจะแต่งให้แก่เฉิงจือหย่วนเป็ภรรยาคนที่สอง หลังจากแต่งงานกันแล้วเฉิงจือหย่วนกลับยิ่งรักนางมาก เป็สามีภรรยากันสิบกว่าปี เฉิงจือหย่วนไม่เคยนอกใจ สามีเช่นนี้นางหลิ่วจะไม่รักได้อย่างไร?
หากไม่ใช่ว่ายังไม่วางใจบุตรเหล่านี้ วันนั้นนางก็จะไปกับสามีแล้ว!
เดิมเฉิงชิงเปิดโปงตัวตนที่แท้จริงของฉีเหยียนซง แต่กลับทำให้ทั้งนางหลิ่วและบุตรสาวคนโตร้องไห้ เฉิงชิงถูกเสียงร้องไห้ทำให้ปวดหัว นางไม่ยอมรับแิของนางหลิ่ว แต่ก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนความคิดของตนเองโดยง่ายเช่นกัน วิธีการที่เ้าอ้วนชุยกล่าวมานั้นใช้ไม่ได้ หากตีขาสุนัขของฉีเหยียนซงให้หัก นางหลิ่วยิ่งจะไม่ยินยอมให้ถอนหมั้น
ความคิดของนางหลิ่วนั้นคาดเดาง่ายมาก แม้ว่าทางบ้านตนเองจะตกต่ำลงแล้ว แต่ตระกูลฉียังไม่ยกเื่ถอนหมั้นมาพูด หากฉีเหยียนซงกลายเป็คนพิการ ตระกูลเฉิงยิ่งควรต้องรังเกียจอีกฝ่าย มิเช่นนั้นจะเป็การผิดต่อคุณธรรม
ที่เฉิงชิงกล่าวว่าในครึ่งปีนี้ตระกูลฉีเสแสร้งทำเป็ไม่รู้ไม่เห็นก็เป็เพียงการคาดเดาของนาง หากไม่มีหลักฐานที่ประจักษ์ชัด นางหลิ่วก็ไม่ยินยอมที่จะเชื่อ!
ตีให้ขาหักไม่ได้ ดูท่าแล้วต้องใช้วิธีอื่น
เฉิงชิงคิดใคร่ครวญอยู่คนเดียวตรงลานกลางบ้าน บุตรสาวคนโตถกกระโปรงเดินมาหาทั้งที่ตายังบวมแดง
“น้องชาย ข้ารู้ว่าเ้าหวังดีกับข้า ท่านแม่เองก็หวังดีกับข้าเช่นกัน ท่านแม่กล่าวว่าญาติผู้พี่ฉียังหนุ่ม ไม่รู้เื่รู้ราว ข้ารู้ว่าสถานการณ์ไม่ได้ดีตามที่ท่านแม่กล่าว การที่ญาติผู้พี่ฉีมาถึงอำเภอหนานอี๋ได้เดือนกว่าแล้วเพิ่งมาเยี่ยมคารวะก็คือหลักฐาน ขวดน้ำดอกกุหลาบที่ถูกเ้าเขวี้ยงแตกก็คือหลักฐานเช่นกัน——”
น้องชายย่อมโกรธจัดจึงตั้งใจเขวี้ยงน้ำดอกกุหลาบทิ้ง
นางเองก็โกรธจัด
นางไม่สนใจว่าญาติผู้พี่ฉีจะส่งหรือไม่ส่งของมาให้ แต่การส่งน้ำดอกกุหลาบที่ขวดหนึ่งราคาหลายสิบตำลึงให้แก่นางคณิกาหอโคมเขียว แล้วส่งน้ำหอมชั้นรองลงมาให้แก่นางนั้นยิ่งกว่าความไม่ใส่ใจ ว่ากันตามตรงก็คือทำให้นางอับอาย!
แม้ว่าตระกูลเฉิงจะตกต่ำลง ก่อนหน้านี้ตอนท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่ แม้จะไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมากมาย แต่ก็ยังเป็นายอำเภอขั้นเจ็ดที่ได้รับการแต่งตั้งโดยราชสำนัก!
ราชสำนักยังไม่ตัดสินโทษของท่านพ่อ นางก็ยังคงเป็สตรีในตระกูลขุนนางตามเดิม ญาติผู้พี่ฉีดูิ่นาง เหยียบนางไว้ให้อยู่ต่ำกว่าสตรีชนชั้นต่ำ บุตรสาวคนโตได้รับความอับอายเป็อันมาก
แล้วยังจะแต่งงานกันได้อย่างไร
ถ้าว่ากันในทางเล็กก็คือดูิ่นาง หากว่ากันในทางใหญ่โตก็คือดูิ่ตระกูลเฉิง
หากท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่ ญาติผู้พี่ฉีจะกล้าเล่นลูกไม้เหล่านี้ภายใต้สายตาท่านพ่อหรือไม่?
ไม่มีทาง!
ญาติผู้พี่ฉีไม่กล้าหรอก
ญาติผู้พี่ฉีอาจจะรังเกียจที่ตระกูลของภรรยาไม่มีกำลังพอที่จะสนับสนุนได้... แก้มของบุตรสาวคนโตแดงปลั่ง นั่นเป็เพราะโมโหจึงแต่งแต้มไปด้วยสีสันแห่งความโกรธ
“การแต่งงานก็คือการผูกมัดชายหญิงไว้ด้วยกัน ผู้ที่ยังไม่ทันได้แต่งงานก็ดูถูกตระกูลของพวกเราเช่นญาติผู้พี่ฉีนี้ แม้จะเป็ญาติผู้พี่สายเืเดียวกัน ข้าก็ไม่คิดจะแต่งด้วย น้องชาย ความคิดของท่านแม่ไม่ใช่ของข้า เ้าคือบุรุษผู้เป็ที่พึ่งให้กับคนในครอบครัว พี่สาวยินยอมเชื่อฟังเ้า!”
เฉิงชิงเองก็คิดไม่ถึงว่าบุตรสาวคนโตจะสามารถเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ออกมาได้
แม้เหตุผลของแรงกระตุ้นจะเหมือนเด็กน้อย นางก็ยังคงฟังออกถึงความโอหังและหยิ่งในศักดิ์ศรีของบุตรสาวคนโต
อย่างที่คิดเอาไว้ พี่ใหญ่ผู้นี้เป็คนที่นิสัยใจคอเด็ดเดี่ยวที่สุดในบรรดาพี่สาวทั้งสามจริงๆ
เมื่อเทียบกับผู้ที่บอบบางเอาแต่ร้องไห้หลั่งน้ำตาแล้ว เฉิงชิงชื่นชอบสตรีที่เด็ดเดี่ยวมากกว่า นางเอ่ยว่าดีติดต่อกันหลายครั้ง
“พี่ใหญ่ เมื่อไม่มีการแต่งงานกับตระกูลฉีแล้ว บัดนี้ข้าก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถหาการแต่งงานที่ดีกว่าให้ท่านได้ และยิ่งไร้หนทางที่จะคาดเดาว่า อีกครึ่งชีวิตจะผ่านไปอย่างเปี่ยมสุขหรือไม่ ข้าเพียงสามารถรับรองแก่ท่านว่าจะเป็ผู้สนับสนุนเื้ัท่านตลอดชีวิต!”
นางหลิ่วคือความรับผิดชอบของนาง พี่สาวทั้งสามก็เช่นกัน
ในเมื่อเป็ ‘บุตรชาย’ ของเฉิงจือหย่วน ก็ต้องแบกรับภาระของตระกูลเฉิง
เฉิงชิงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำพูดที่นางหลิ่วเอ่ย อะไรที่เรียกว่าไร้หนทางที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้บุรุษรับอนุภรรยาหลังจากแต่งงาน? แม้ว่าก่อนแต่งงานจะเลือกผิดไป แต่ขอเพียงตัวนางในอนาคตเจ๋งพอ แน่นอนว่าสามารถกดดันเหล่าพี่เขยให้ซื่อตรงไม่กล้านอกใจ
บุตรสาวคนโตพยักหน้าสุดแรงเกิด “พี่สาวเชื่อเ้า! แต่ว่านะน้องชาย ท่านแม่รู้สึกว่าความผิดที่ญาติผู้พี่ฉีก่อสามารถให้อภัยได้ ไม่มีทางที่จะยินยอมให้ข้าถอนหมั้น พวกเราควรทำอย่างไรดี?”
เฉิงชิงกลับไม่กังวลกับเื่นี้
ขอเพียงบุตรสาวคนโตตัดสินใจ นางก็จะมีวิธีการล้มเลิกการแต่งงานนี้
เฉิงชิงเดาว่าทางตระกูลฉีเกินครึ่งก็ไม่ได้พอใจการแต่งงาน เพียงแต่ยังทุกข์จากการไม่มีข้ออ้างในการถอนหมั้น
การแต่งงานนี้ไม่เพียงต้องล้มเลิก ยังต้องยึดถือคุณธรรมอย่างสูง ต้องพยายามอย่างสุดความสามารถในการกดผลกระทบของการที่บุตรสาวคนโตถอนหมั้นให้เหลือน้อยที่สุด!
