สวี่จือคาดไม่ถึงว่านางจะได้เกาะขาทองคำนี่จริงๆ ในชีวิตก่อนนางประสบพบเจอแต่เื่แย่ๆ มาั้แ่เด็ก เพราะฉะนั้นจึงเรียนรู้ได้ด้วยตนเองว่าจะต้องดูสีหน้าของผู้คนอย่างไร
นางติดตามฮูหยินผู้เฒ่าไปที่เรือนของอีกฝ่าย ก่อนที่ฮูหยินผู้เฒ่าจะเอ่ยสั่งงานกับป้าเสิ่นว่า “จัดการเอาฉากกั้นห้องของข้าออกเสีย แล้วให้เสี่ยวจิ่วเข้าไปพักที่นั่น เด็กคนนี้แยกจากพ่อแม่หากให้อยู่ผู้เดียวคงไม่ดีเป็แน่”
ป้าเสิ่นรับคำ รีบให้จางหลัวไปจัดการตามที่นายสั่ง สวี่จือเมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าไปนั่งบนตั่งหลัวฮั่นด้วยสีหน้าหงุดหงิด เท้าเล็กๆ จึงเดินเข้าไปหา จากนั้นก็ปีนขึ้นตั่งไปนั่งติดกับฮูหยินผู้เฒ่า
หญิงชราเห็นเช่นนั้นพลันถอนหายใจ “เ้าเด็กน่าสงสาร พักอยู่ที่เรือนข้าก่อนเถิด ข้าก็อายุอานามปูนนี้แล้ว ไม่กลัวมีเื่กับผู้ใด เลี้ยงเ้าเอาไว้ที่นี่ได้ ทว่าก็ไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็อย่างไร”
สวี่จือฟังแล้วก็ได้แต่เม้มปาก กลั้นน้ำตาพยักหน้ารับ
ฮูหยินผู้เฒ่าได้สอบถามแม่นางอู๋มาแล้ว ได้ความว่าสวี่จือแอบได้ยินผู้อื่นพูดคุยกันถึงบิดามารดาของนางว่าจะไม่สามารถกลับมาได้อีกแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกว่าเหตุใดหนอเด็กคนนี้ถึงได้โชคร้ายถึงเพียงนี้ ตัวนางเองก็แก่แล้ว จะสามารถมีชีวิตอยู่ดูแลเด็กน้อยได้ถึงเมื่อใดกัน?
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้ดีว่าคนของโหวเย่นั้นพึ่งพามิได้ หากทิ้งเด็กเอาไว้ทั้งอย่างนี้ คงไม่สามารถดูแลได้อย่างเต็มที่ อย่างไรคงจะมีชีวิตความเป็อยู่ที่ไม่ค่อยจะราบรื่นนัก
ตอนนี้อาศัยร่างกายของตนที่ยังแข็งแรงดี แม้ช่วยได้เพียงไม่กี่ปีก็มิเป็ไร ภายในเวลาสองปีนี้ หากดูว่าครอบครัวใดมีบุตรชายที่เหมาะสมก็จะทำการยกสวี่จือให้ออกเรือนไป เช่นนี้แม้ตนจะจากไปไว เด็กคนนี้ก็ยังคงมีสถานที่ที่สามารถพึ่งพาได้ใช่หรือไม่?
ฮูหยินผู้เฒ่าลูบหัวของสวี่จือ ก่อนจะเอ่ยกับนางว่า “เสี่ยวจิ่วเอ๋ย ต่อไปนี้เ้าจะต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เรียนแล้วความรู้ทั้งหมดก็ล้วนเป็สมบัติของตนเอง หากเรียนดีก็มีความรู้ความสามารถ ไปที่ใดก็มิต้องกลัว เข้าใจหรือไม่?”
สวี่จือพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นสวี่จือแล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมามิได้ “เ้าเด็กน้อย เข้าใจจริงๆ หรือ?”
สวี่จือมิได้โต้แย้งอันใด เพียงใช้ดวงตากลมโตสุกใสมองฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าเองพลันรู้สึกว่าใจตัวเองอ่อนเหลวจนกลายเป็น้ำ นางถอนหายใจ มิได้กล่าวคำใดอีก ก่อนจะตระกองกอดสวี่จือเข้ามาในอ้อมแขนของตน สองทวดหลานเพียงนั่งกอดกันเงียบๆ อยู่บนตั่งหลัวฮั่นเท่านั้น
ทางด้านครอบครัวสวี่ทั้งสามคนยังคงเฝ้ารออยู่ที่เรือนมารดาของจิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อ
คืนวันที่สองหลังจากทำการผ่าตัดรักษา จิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อจึงค่อยฟื้นขึ้นมา จางจ้าวฉือนั้นนอกจากอยู่ในห้องพักที่ท่านลุงเฉินจัดไว้ให้แล้ว ก็มักจะมาเฝ้าอยู่ที่เรือนของซื่อจื่อ รอจนซื่อจื่อฟื้นขึ้นมา หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดพบว่าไม่มีอาการใดแทรกซ้อนแล้ว จึงเริ่มปรึกษาพูดคุยเื่การกลับจวน
ยามจิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อกลับมาถึงจวนแห่งนี้ ลุงเฉินก็ได้ส่งคนนำจดหมายไปส่งมอบแก่จิ้งเป่ยโหวเย่แล้ว วันต่อมาจวนโหวได้ส่งคนมาเฝ้าจนกระทั่งซื่อจื่อฟื้นขึ้นมา คนของจวนจิ้งเป่ยโหวถึงได้ส่งคนนำจดหมายกลับจวนโหวไป สวี่เหรา จางจ้าวฉือและสวี่ตี้ผู้ที่ไม่รู้เื่ราวอะไรเลย แต่ก็รู้ว่าในเวลานี้ไม่ใช่เื่การเปรียบเทียบความแข็งแกร่งระหว่างคนสองคนหรือของตระกูลใด
ต้าเหลียงนับั้แ่เริ่มก่อตั้งราชวงศ์จนถึงวันนี้ก็ร่วมหนึ่งร้อยปีแล้ว หนึ่งร้อยปีมานี้ นอกจากเหลียงไท่จู่กับเหลียงไท่จ่งจักรพรรดิสองพระองค์ก่อน ตอนนี้ราชวงศ์ต้าเหลียงมีฮ่องเต้พระองค์ที่สามแล้ว ซึ่งก็คือเหลียงเฉิงตี้เซียวเหยียน ฮ่องเต้พระองค์นี้ขึ้นครองราชย์ั้แ่พระชนมายุยังน้อย จนถึงตอนนี้ครองราชย์มาได้สี่สิบกว่าปีแล้ว
เหลียงเฉิงตี้ขึ้นครองราชย์มานานหลายปี นอกจากองค์ชายสามพระองค์กับองค์หญิงอีกสองพระองค์ที่ประสูติจากฮองเฮาแล้ว พระสนมอีกหลายพระองค์ล้วนมีโอรสธิดามากมายเช่นกัน ตอนนี้องค์ชายที่เลยวัยสวมกวาน [1] แล้วมีหกพระองค์ ในวังหลังยังมีองค์ชายอีกหลายพระองค์ที่ยังไม่ถึงวัยสวมกวาน
ผู้คนต่างพูดกันว่าต้นไม้ใหญ่แบ่งต้นกล้า คนเติบโตแล้วแยกเรือน บุตรชายที่เติบโตแล้วก็มักจะมีความคิดเป็ของตนเอง ยิ่งกับราชวงศ์ องค์ชายใหญ่ที่ประสูติจากฮองเฮาถูกแต่งตั้งเป็ไท่จื่อ [2] มานมนานแล้ว และพำนักอยู่ที่วังทางตะวันออกอยู่ตลอด ทว่าองศ์ชายองค์อื่นๆ ต่างมีความสามารถที่มิอาจดูแคลนได้ แต่ละคนต่างคิดว่าตนเองนั้นมีความสามารถเพียงพอที่จะรับ่ต่อจากองค์ฮ่องเต้
ใน่หลายปีมานี้ พระวรกายของเหลียงเฉิงตี้มิใคร่จะดีเท่าไหร่นัก พระองค์ทรงงานหนักมาโดยตลอดั้แ่ในตำหนักจนถึงวังหลัง ทำให้หลายคนต่างมีความคิดมากมาย
แน่นอนว่าสวี่เหรารู้เื่พวกนี้ ถึงแม้จวนหย่งหนิงโหวตอนนี้ไม่ได้เป็จวนหย่งหนิงโหวอย่างเช่นแต่ก่อนแล้ว ทว่าหย่งหนิงโหวเย่ในตอนนั้นยังถือว่าเป็สหายร่วมชั้นเรียนกับเหลียงเฉิงตี้ ตอนนี้หย่งหนิงโหวเย่ยังต้องไปเข้าร่วมการประชุมอยู่ เหล่าองค์ชายเองก็ใช่ว่าจะปล่อยโอกาสที่จะได้สานสัมพันธ์กับหย่งหนิงโหวเย่นี้ไปง่ายๆ ทว่าหย่งหนิงโหวเย่นั้นให้การสนับสนุนฝ่ายฮ่องเต้อย่างเหนียวแน่น ดังนั้นการสานสัมพันธ์นี้เขาจึงไม่ใคร่จะสนใจนัก
จิ้งเป่ยโหวเป็ครอบครัวฝ่ายมารดาของชายาไท่จื่อหรือไท่จื่อเฟย ไท่จื่อเฟยเป็บุตรสาวคนโตของภรรยาเอกจิ้งเป่ยโหวเย่ในตอนนี้ และยังเป็พี่สาวของจิ้งเป่ยโหวซื่อจื่ออีกด้วย ดังนั้นจิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อผู้นี้จึงอยู่ฝ่ายเดียวกับไท่จื่อ ด้วยเหตุนี้เอง จิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อที่มีทหารอยู่ในกำมือนั้นจึงกลายเป็ศัตรูที่จำเป็ต้องกำจัดของคนมากมาย จิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อที่ปกป้องเขตชายแดนครั้งนี้ได้รับจดหมายลับเรียกตัวกลับเมืองหลวงจากเหลียงเฉิงตี้ หลังจากข่าวนี้หลุดลอดออกไป ในระหว่างเดินทางกลับจึงพบเจอกับการลอบสังหารมากมายมาตลอดทาง
หลังจากที่จวนจิ้งเป่ยโหวได้รับจดหมายตอบกลับจากลุงเฉิน เขาก็นำข่าวนี้ส่งต่อไปยังในวังหลวง คนหนึ่งเดินทางไปห้องทรงพระอักษรของเหลียงเฉิงตี้ อีกคนเดินทางไปยังวังตะวันออก
หลังจากจิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อฟื้นขึ้นมา องครักษ์ก็เตรียมตัวรับเขากลับไปที่จวนจิ้งเป่ยโหว
ลุงเฉินเจาะจงมาขอให้จางจ้าวฉือสอนเขาว่าต่อไปจะต้องดูแลคนเจ็บอย่างไรโดยเฉพาะ จางจ้าวฉือเองก็มิได้หมกเม็ด บอกแต่ละข้อไปอย่างละเอียด เมื่อสอนเสร็จแล้วยังบอกซ้ำอีกว่าหากมีสิ่งใดไม่เข้าใจก็ให้ไปหานางได้
ลุงเฉินได้จัดเตรียมคนเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้เช้าจะส่งครอบครัวสวี่กลับจวน
ครอบครัวสวี่สามคนนั่งรวมกันอยู่บนแท่น บนโต๊ะมีตะเกียงน้ำมันวางอยู่ สวี่เหราเอ่ยขึ้น “จะกลับบ้านแล้ว ผมยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่เลย”
จางจ้าวฉือเอ่ย “มีเื่อะไรให้ตื่นเต้น ไม่ใช่จะกลับบ้านตัวเองหรือไง? คิดๆ ไปแล้วพอจะได้เจอลูกสาวแล้ว ฉันก็ตื้นตันอยู่นิดหน่อยนะ”
ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว เช่นนั้นก็มีชีวิตต่อไปแทนพวกเขาไปเลยก็แล้วกัน ทีแรกไม่รู้ว่าเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ถึงแม้จะอยากกลับไป คาดว่าก็คงกลับไปไม่ได้อีกแล้ว
สวี่ตี้เอ่ย “หลังจากกลับไปอยู่จวนได้ไม่กี่วัน คาดว่าพ่อจะต้องไปเลือกตำแหน่งที่จะรับหน้าที่แล้ว ถึงตอนนั้นพวกเราจะต้องขอฮูหยินผู้เฒ่าในเรือนให้พวกเราไปด้วยกันทั้งครอบครัว”
จางจ้าวฉือฟังแล้วจึงรับรู้ว่า ขุนนางหลายคนต่างได้รับตำแหน่งนอกเมืองหลวงแยกพื้นที่เขตรับผิดชอบต่างกันไป และโดยปกติจะไม่พาภรรยาของตัวเองไปด้วย โดยทั่วไปแล้วมักจะพาอนุในเรือนติดตามไป ภรรยาหลวงมีหน้าที่อยู่ที่เรือนเพื่อแสดงความกตัญญูต่อครอบครัวแทนสามี
จางจ้าวฉือคิดไปถึงแม่สามีผู้นั้นของตนเองในโลกนี้และคิดถึงแม่สามีแท้ๆ ของตนในโลกก่อนที่ปีหนึ่งเจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง ก็อดที่จะกัดฟันไม่ได้
เื่วิธีที่จะกลับจวนอย่างไรนั้น สวี่เหราได้ปรึกษากับสวี่ตี้แล้ว ว่าจะรอจนถึงตอนที่จิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อกลับจวน สามคนครอบครัวสวี่จะขอติดตามจิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อกลับไปด้วยเช่นกัน เพื่อไม่ให้คนในจวนได้มีโอกาสไหวตัวทัน สวี่เหรายังไม่สามารถวางใจได้กับสถานการณ์เช่นนี้ ว่าหากตนกลับไปที่จวนแล้วจะไม่เกิดเื่ไม่คาดฝันขึ้นอีก
สวี่เหราในตอนนี้มีความมั่นใจเป็อย่างยิ่งว่ามีคนวางแผนจ้องจะฆ่าเขาอยู่ อีกทั้งคนผู้นี้คาดว่ายังอยู่ในจวนอีกด้วย ส่วนจะเป็ผู้ใดในจวนนั้น ล้วนไม่แน่ชัด ทว่าตอนนี้หากขบคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว นอกจากหย่งหนิงโหวเย่ ผู้อื่นล้วนน่าสงสัยทั้งหมด เพราะเหตุฉะนี้เองสวี่เหราจึงไม่ได้ให้ท่านลุงเฉินช่วยส่งจดหมายไปที่จวนั้แ่คราแรก ถึงแม้จะส่งให้ถึงมือของหย่งหนิงโหวเย่เพียงผู้เดียวยังก็มิกล้า
จางจ้าวฉือกล่าว “ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะสนใจเื่นี้หรือไม่ หากนางไม่เข้ามายุ่ง เห็นทีครอบครัวของพวกเราคงต้องแยกเป็สองบ้านแล้ว”
สวี่ตี้เอ่ย “แผนการอะไรก็ล้วนเป็คนที่คิดขึ้นมา มันต้องมีวิธีแก้สิครับ”
จิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อจะเดินทางกลับเมืองหลวงอย่างลับๆ ครอบครัวสวี่สามคนถูกคนของจิ้งเป่ยโหวซ่อนเอาไว้ในรถม้า หลังจากเข้าเมืองมาแล้วคนขับรถม้าก็มุ่งตรงไปยังหน้าประตูจวนหย่งหนิงโหวในทันที ก่อนจะนำจดหมายขอเข้าพบของจวนจิ้งเป่ยโหวส่งให้นายทวาร
ในยามนี้จวนจิ้งเป่ยเป็จวนโหวที่มีอิทธิพลมากที่สุดในเมืองหลวง กลุ่มคนที่ต่อสู้กับไท่จู่ครานั้น และสามารถพัฒนาได้ดีที่สุดก็คือจวนจิ้งเป่ยโหว ดังนั้นการได้รับจดหมายขอเข้าพบของจวนจิ้งเป่ยโหวจึงถือว่าเป็เกียรติอย่างยิ่ง นายทวารจำเป็ต้องรีบนำจดหมายขอเข้าพบฉบับนี้ไปที่ห้องตำราเรือนหน้า
ณ ห้องตำรา ในขณะที่หย่งหนิงโหวเย่กับซื่อจื่อกำลังหารือกับเหล่าผู้ช่วยอยู่นั้น พลันได้รับจดหมายขอเข้าพบจากนายทวาร ในหัวถึงกับตื้อไปหมด แต่ในเมื่อแขกมาถึงหน้าประตูแล้ว เมื่อตั้งสติได้จึงนึกขึ้นได้ว่าจะต้องรีบไปต้อนรับ หย่งหนิงโหวเย่จึงให้ซื่อจื่อไปต้อนรับแขกถึงหน้าประตูจวน
หย่งหนิงโหวซื่อจื่อไม่คาดคิดว่าบนรถม้าคือครอบครัวของน้องชายตนเอง กระทั่งเมื่อเห็นสายตาที่สวี่เหราส่งมายังตนเองแล้วนั้น จึงทำได้เพียงพาทั้งสามคนที่อยู่ในสภาพแต่งหน้าแต่งตาปกปิดตัวตนเดินทางไปยังห้องตำรา
หย่งหนิงโหวเย่คิดไม่ถึงว่าคนที่จวนจิ้งเป่ยโหวส่งมาก็คือบุตรชายของตน เขามองทั้งสามคนที่ไร้ซึ่งอาการาเ็ใดๆ ด้วยขอบตาที่พลันแดงก่ำ
หลังจากพูดคุยถึงเื่ที่ประสบมาใน่สองวันนี้แล้ว ฉับพลันในใจของทุกคนล้วนมีความขลาดกลัวขึ้นมาโดยมิได้นัดหมาย
หย่งหนิงโหวเย่สั่งคนให้พาจางจ้าวฉือกับสวี่ตี้ไปอาบน้ำชำระกายที่เรือนหลัง ส่วนสวี่เหราให้รั้งรออยู่ก่อน
หย่งหนิงโหวเย่พะว้าพะวงอยู่นานก่อนจะเริ่มกล่าว “หลายปีมานี้พวกเราระมัดระวังตัวกันมาตลอด มิได้ไปมีเื่กับผู้ใด เ้าสามเอ๋ย วันพรุ่งก็จะเป็การคัดเลือกตำแหน่งงานวันสุดท้ายแล้ว สองวันมานี้ข้าได้คิดมาแล้วว่าจะให้เ้าเลือกหนึ่งในหกหน่วย พวกเราอยู่ในเมืองหลวงอย่างมั่นคงมาหลายปี หากเ้าเข้าร่วมหน่วยนี้ข้าว่าคงไม่เกิดปัญหาใด”
สวี่เหราได้ยินดังนั้นจึงรีบเอ่ยขัด “ท่านพ่อ สองวันมานี้ข้าเองก็ได้คิดมาแล้วเช่นกันขอรับ ข้าอยากจะเลือกพื้นที่นอกเมืองสักที่ เลือกออกไปจากเมืองหลวง ไปหลบเลี่ยงอยู่ด้านนอก ประจวบเหมาะกับ้าไปหาประสบการณ์การเป็ขุนนางเสียหน่อยขอรับ”
โหวเย่เมื่อได้ยินบุตรชายกล่าวออกมาเช่นนั้นแล้วก็มิได้เอ่ยคำใดอีก สวี่เหราจึงเอ่ยสำทับไปอีกว่า “ท่านพ่อขอรับ ความจริงแล้วนี่เป็โอกาสอันดี ไม่พูดถึงเื่ที่ว่าทุกคนต่างอยากจะอาศัยอยู่ในเมืองหลวงกันทั้งนั้น หลายคนต่างไม่อยากออกไปอยู่ด้านนอก ผู้คนล้วนพูดกันว่าการจะเป็ขุนนางนั้นจะต้องเริ่มจากขั้นต่ำก่อน แล้วจึงค่อยๆ ไต่ลำดับขึ้นมาถึงจะดี ที่สำคัญที่สุดก็คือ การไปฝึกปรือฝีมืออยู่ที่อื่นสักหน หากทำความดีความชอบขึ้นมา ข้าถึงจะสามารถเข้าไปอยู่ในสายตาของคนชนชั้นสูงได้อย่างแท้จริงขอรับ”
โหวเย่ฟังแล้วก็จ้องสวี่เหราอย่างพิจารณา ซึ่งคนถูกมองก็ปล่อยให้โหวเย่จ้องมองไปด้วยท่าทีนิ่งสงบ โหวเย่ถอนหายใจ ก่อนจะกล่าว “เช่นนั้นก็ได้ ข้าตามใจเ้า ในเมื่ออยากจะออกไปอยู่ด้านนอก ข้างกายจะขาดผู้ช่วยไปมิได้ เ้าไปคัดเลือกมา ทางข้าจะหากุนซือที่เหมาะสมให้เ้าสองคน ผู้คนล้วนพูดกันว่าบุรุษที่ดีหนึ่งคนจะต้องมีผู้ช่วยเหลือสามคน ในเมื่อตั้งใจจะทำสิ่งใดแล้ว เช่นนั้นก็ต้องทำให้ดีที่สุด”
สวี่เหราทำความเคารพโหวเย่อย่างจริงจัง ซึ่งอีกฝ่ายทำเพียงโบกมือ “เ้ากลับไปอาบน้ำสักหน่อยเถิด รีบไปทำความเคารพท่านย่าของเ้าด้วย สองวันมานี้นางใมาก”
สวี่เหรารับคำ ก่อนจะรีบเดินทางไปยังเรือนของตน
ครอบครัวสวี่ทั้งสี่คนพักอยู่ในเรือนเล็กๆ ที่อยู่ใกล้กับมุมประตูหลัง การมีบทบาทของสวี่เหราในจวนนี้ไม่ค่อยโดดเด่นนัก ปกติแล้วนอกจากลำบากตรากตรำอ่านหนังสือก็จะอ่านหนังสือเพียงอย่างเดียว ส่วนจางจ้าวฉือนั้น นางเป็บุคคลที่มิมีผู้ใดกล้ามีเื่ หลังจากทั้งสองคนแต่งงานมีลูกแล้ว เดิมทีก็สามารถย้ายออกจากเรือนเล็กๆ ที่มีเพียงสามห้องนอนหลังนั้นมาเป็หลังที่ใหญ่กว่าได้ ทว่าเป็เพราะว่าจางจ้าวฉือไปมีเื่กับโรงครัวใหญ่ ไม่พอยังมีเื่กับโหวฮูหยินซึ่งเป็ฮูหยินใหญ่ของจวน สุดท้ายจึงไม่ได้ย้ายอีก ทั้งสี่คนจึงจำต้องอาศัยอยู่ในเรือนเล็กมาโดยตลอด
เรือนเล็กๆ แห่งนี้ หลังจากเข้าประตูมาแล้ว ตรงข้ามประตูเรือนมีกำแพงเล็กๆ ขวางอยู่ หากเดินผ่านกำแพงนั้นมา จะพบว่าทั้งสองข้างเป็ห้องทางปีกตะวันออกและตะวันตก ที่อยู่ติดกับกำแพงเรือนทางทิศใต้ยังมีห้องอีกสองห้อง จากประตูหน้าเรือนปูทางหินยาวไปจนถึงห้องหลักทั้งสามห้อง เดิมทีั้แ่กำแพงทางตะวันออกหลังจากออกจากประตูแสงจันทร์ไป ติดกับเรือนเล็กๆ เรือนนี้ยังมีเรือนด้านหลัง ทว่าตอนนี้ประตูแสงจันทร์ได้ถูกปิดตายไปแล้ว ห้องทางด้านหลังเรือนได้ยินมาว่าถูกใช้เป็โรงเก็บของประจำเรือน
สวี่เหราเดินกลับไปถึงเรือนของตัวเองพลางขบคิดถึงเื่ราวต่างๆ ไปด้วย จนกระทั่งถึงหน้าประตูเรือนของตนเอง เขาสังเกตุเห็นว่าด้านข้างเรือนมีคนกำลังยื่นหัวมองมาที่เขา พอคนผู้นั้นเห็นว่าถูกเขาพบแล้วจึงรีบหดหัวกลับไปทันใด สวี่เหราส่ายหัว ไม่สนใจคนพวกนี้ รีบสาวเท้าเข้าไปในเรือน
หลังจากที่จางจ้าวฉือกับสวี่ตี้กลับมาถึงเรือน ก็ได้ให้คนไปต้มน้ำสำหรับอาบแล้ว
ในเรือนมีเตาสำหรับใช้ต้มน้ำโดยเฉพาะ เตานี้ใช้ได้เพียงต้มน้ำเท่านั้น ทำอาหารไม่ได้ นี่คือกฎภายในจวน นอกจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าที่มีโรงครัวเล็กที่สามารถทำอาหารได้แล้ว เื่อาหารสามมื้อสำหรับเรือนอื่นๆ ทำได้เพียงรอรับสำรับที่ทางโรงครัวใหญ่นำมาส่งเพียงเท่านั้น
ห้องหลักทั้งสามเรียบง่ายมาก เมื่อเข้าประตูมาสิ่งแรกที่เจอคือห้องรับแขก ทางด้านตะวันออกเป็ห้องนอน ทางตะวันตกทำเป็ห้องตำรา ห้องทางปีกตะวันออกเป็ห้องของสวี่ตี้ ส่วนห้องทางปีกตะวันตกเป็ห้องอาบน้ำ และยังมีอีกห้องหนึ่งที่ทำเป็ห้องเก็บของ ซึ่งมีของวางปะปนกันมั่วไปหมด สุดท้ายคือเรือนด้านหลังเป็เรือนสำหรับบ่าวรับใช้ผู้ดูแลเรือนวัยกลางคน
พูดกันตามหลักเหตุผลแล้ว สวี่ตี้อายุเจ็ดขวบปีแล้วสามารถแยกเรือนออกไปพักอยู่ด้านนอกได้ แต่ตอนนี้เขาอายุสิบขวบปีแล้ว ฮูหยินผู้ดูแลจวนยังไม่มีคำสั่งใด โหวฮูหยินแน่นอนว่าย่อมทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้ ส่วนสวี่เหรากับจางจ้าวฉือหรือ ขอเพียงผู้อื่นไม่มารังแกพวกเขา พวกเขาเองก็ไม่ชอบปรากฏตัวออกมา ดังนั้นสองปีมานี้สวี่ตี้จึงอาศัยอยู่ในห้องปีกตะวันออกในเรือนมาโดยตลอด ปกติแล้วถึงแม้จะออกไปเรียนด้วยกันกับบุตรธิดาของเรือนอื่น แต่เวลาส่วนมากมักใช้ในการอ่านหนังสือร่วมกับบิดาตนเองเสียส่วนใหญ่
เมื่อสวี่เหรากลับมาถึง จางจ้าวฉือกับสวี่ตี้ก็อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหล่าสาวใช้รีบมาเตรียมน้ำร้อนให้กับสวี่เหรา หลังจากที่เขาอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์เสร็จ ทั้งสามคนจึงเดินทางไปยังเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า เพราะรู้แล้วว่าลูกสาวของตนเอง น้องสาวที่แสนน่ารักได้ถูกฮูหยินผู้เฒ่ามารับไปดูแล
เรือนที่ฮูหยินผู้เฒ่าพักอาศัยอยู่นั้นห่างจากเรือนที่ครอบครัวสวี่ทั้งสี่คนพักอยู่ไกลพอสมควร ทั้งสามคนให้สาวใช้สองนางนำทางไป เดินไปยังตรอกเล็ก ผ่านสวนดอกไม้ สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูเรือนที่งดงามหรูหรา
ฮูหยินผู้เฒ่าได้รับจดหมายว่าสวี่เหรากลับมาแล้ว เมื่อรู้ว่าสวี่เหราไม่เป็อันใด ฮูหยินผู้เฒ่าจึงรีบไปไหว้พระที่ห้องพระ ขอบคุณที่ท่านได้คุ้มครองให้สวี่เหราสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย ในใจของฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกดีเป็อย่างยิ่ง จากผู้คนมากมายในจวน ผู้ที่สามารถเดินทางสายขุนนางได้คงมีเพียงสวี่เหราหรือสวี่ตี้บุตรชายของสวี่เหราเท่านั้น เด็กคนอื่นๆ ไม่มีคุณสมบัตินี้ สำหรับบุคคลเช่นนี้ในจวนโหว สวี่เหราที่สามารถเป็ขุนนางได้ เช่นนั้นจึงจะเป็การเปิดเส้นทางมั่นคงและยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
ฮูหยินผู้เฒ่าเข้าใจสถานการณ์ดีว่า ตอนนี้เหลียงเฉิงตี้พระชนมายุถึงวัยใกล้เกษียณแล้ว อีกทั้งพระวรกายไม่ค่อยดีเท่าเมื่อก่อนแล้ว หากหวังพึ่งเพียงความรักความเมตตาที่เหลียงเฉิงตี้มีต่อจวนโหวนั้นย่อมไม่มั่นคงยาวนานแน่นอน อย่างน้อยก็จวบจนกระทั่งจักรพรรดิพระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ สำหรับจวนโหวแล้วนี่เป็เพียงด่านหนึ่งเท่านั้น หากอยากจะให้จวนโหวร่ำรวยยาวนานสืบไป คงทำได้เพียงให้ลูกหลานของจวนโหวต่อสู้ด้วยตนเองจึงจะดีที่สุด สวี่เหราทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นถึงความหวังนั้น ไม่เพียงแค่นั้นเขายังทำให้ทุกคนในจวนเห็นถึงความหวังด้วยเช่นกัน ดังนั้น การมีอยู่ของสวี่เหรากับสวี่ตี้จึงมีความหมายต่อจวนโหวเป็อย่างยิ่ง
เชิงอรรถ
[1] กวาน (冠 Guān) คือสิ่งที่ชนชั้นสูงชาวจีนในสมัยโบราณใช้สวมครอบบนศีรษะ เพื่อเป็เครื่องบอกระดับประดับพระยศพระเกียรติ ซึ่งเหมี่ยนหรือมงกุฏหมวกที่ฮ่องเต้ทรงสวมดังที่กล่าวถึงในครั้งก่อนก็เรียกได้อีกอย่างว่า เหมี่ยนกวาน (冕冠 Miǎn guān) ในอดีตนับแต่สมัย ราชวงศ์โจว (1066-256ปีก่อน ค.ศ.) เป็ต้นมา เด็กชายจีนเมื่อมีอายุครบ 20 ปีเต็ม ก็จะมีพิธีสวมกวาน เรียกว่า จี๋กวาน (及冠 Jí guàn) แต่ก็จะมีบางที่ที่อายุ 16 ปีก็เข้าพิธีนี้ได้แล้ว
ซึ่งการสวมกวานจะมี 3 ครั้ง 3 แบบด้วยกัน
- ครั้งแรกเรียก สือเจีย (始加 Shǐ jiā) เพื่อเป็เครื่องแสดงว่าได้บรรลุนิติภาวะโตเป็ผู้ใหญ่ มีสิทธิและอำนาจในการปกครองคนขั้นต้นแล้ว แต่ก็อย่าหลงลืมตน ยังต้องปรับปรุงพัฒนาตนให้สมกับความเป็ผู้ใหญ่ต่อไป
- ครั้งที่สอง ไจ้เจีย (再加 Zài jiā) หวังให้ชายหนุ่มที่สวมนี้มีความราบรื่นก้าวย่างอย่างมั่นคงในหน้าที่การงาน
- ครั้งที่สาม ซานเจีย (三加 Sān jiā) เพื่อบอกว่าเป็ผู้ใหญ่เต็มตัวสามารถเข้าร่วมงานพิธีการต่างๆ ได้แล้ว
[2] ไท่จื่อ (太子 Tàizǐ) คือ รัชทายาท ว่าที่ฮ่องเต้คนต่อไป มีอำนาจทุกอย่างรองจากฮ่องเต้ ทั้งยังมีอำนาจในการเป็ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน หากฮ่องเต้ไม่อยู่ ไปราชกิจนอกวัง หรือเกิดการประชวรเจ็บป่วยออกว่าราชการไม่ได้ ก็จะให้ไท่จื่อรั้งตำแหน่งผู้ดูแลงานแทน หรือภาษาจีนเรียกหน้าที่นี้ว่า เจียนกั๋ว (监国 jiān guó)