อ๋องิชินหัวเราะเมื่อได้ยินถ้อยคำนั้นก่อนจะส่ายหัว
“แม้ว่าจะพูดเช่นนั้นก็ตาม แต่หลายต่อหลายครั้งการถือกำเนิดของโชคชะตา โดยเฉพาะสิ่งเกิดจากราชวงศ์นั้น ราคาที่ต้องจ่ายไปจะยิ่งใหญ่เป็อย่างมาก... นอกจากนี้พวกเ้าคิดว่ามันจะเป็ไปได้หรือที่ฮ่องเต้จะทรงโปรดปรานวังหลัง ในทางกลับกันเขาที่กำลังจะถูกทำให้เป็ที่โปรดปรานในวังหลังแต่เขากลับไม่อาจยอมรับมันได้ มันไม่น่าขันหรอกหรือ?”
“การที่คนหนึ่งคนทำกับคนกลุ่มหนึ่งนับว่าเป็ผู้แข็งแกร่ง แต่การที่คนกลุ่มหนึ่งทำกับคนหนึ่งคนกลับนับเป็การข่มเหงคนอ่อนแอ คนนั้นย่อมมีปรับเปลี่ยนมาตรฐานให้มีความแตกต่างเพื่อประโยชน์ของตนเองตามแต่สภาพท้องถิ่นอยู่แล้ว”
“เห็นได้ชัดว่ามีชาติกำเนิดสูงส่ง แต่บัดนี้กลับถูกทอดทิ้งและกำลังเสื่อมโทรมลงจนกลายเป็เพียงคนเร่ร่อนที่น่าสงสาร เหตุใดต้องทนลำบาก? ข้าได้ยินมาว่าเฮ่อเหลียนซือเยี่ยเกิดมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่สวยงามราวกับหญิงสาว คนเช่นนี้ไม่ว่าจะไปอยู่แห่งหนใดย่อมเป็หายนะ”
“…”
ทั้งสองไม่ตอบอะไรอีก จากองค์ชายผู้สูงศักดิ์กลับกลายเป็บ่าวรับใช้ จะมีสักกี่คนที่มีความยึดมั่นและพยายามได้เท่ากับซือเยี่ย? ถ้าเขายอมอ่อนน้อมลงเสียหน่อย แม้ว่าเขาจะก้าวถอยหลังก็ยังมีคนพาเขากลับมา
อ๋องิชินยิ้มอย่างสบาย ๆ เมื่อเห็นว่าพวกเขายังเป็เพียงลูกเจี๊ยบ[1]สองตัว
“กฎแห่งการอยู่รอดในใต้หล้านั้นไม่ได้มีเพียงความถูกผิดเท่านั้น บรรดาผู้ที่ทำทุกสิ่งตามแต่ใจตนเองโดยไร้ซึ่งความละอายนั้นไม่เคยมีผู้ใดจบลงด้วยดีได้สักคน... มีเพียงเด็กเท่านั้นที่มองเพียงถูกผิด เมื่อเติบโตขึ้น ข้อดีข้อเสียล้วนถูกชั่งน้ำหนักอยู่เสมอ”
“ท่านอ๋องพูดถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสองพูดขึ้นมาพร้อมกัน จากนั้นจึงก้มหัวลง
อ๋องิชินยกมือขึ้น
“แต่ก็เพียงเท่านั้น อย่างไรเื่เหล่านี้ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่เื่ของเรา มันเป็เพียงแค่ประสบการณ์ชีวิตของเฮ่อเหลียนซือเยี่ยเท่านั้น พวกเ้าไม่ควรยกมันขึ้นมาพูดและยามที่อยู่ภายนอกก็ไม่ควรกระจายข้อมูลนี้ออกไปยังด้านนอก แค่ร่วมมือกับตระกูลเหยียนเพื่อปกป้องเขา รอจนถึงเวลาที่เหมาะสมเื่นี้ย่อมมีประโยชน์กับฝ่ายเรา... ส่วนแผนการในระยะยาวกลับถึงเมืองหลวงแล้วค่อยหารือกันอีกครั้ง”
ทั้งสองที่ก้มหัวลงก่อนจะพยักหน้าอย่างแรง “พ่ะย่ะค่ะ”
อ๋องิชินคิดอีกสักพักก่อนจะพูดออกมาว่า “พวกเ้าบอกลาคนในตระกูลแล้วหรือยัง?”
ทั้งสองยังคงพยักหน้า “ทูลท่านอ๋อง บอกลาคนในตระกูลเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ออกไปเถอะ เราจะเดินทางกลับเมืองหลวง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
รถม้าเริ่มเคลื่อนไหว ไม่นานก็หายลับไป มุ่งหน้าไปตามทางสายหลักมุ่งสู่เมืองเทียนซู
งานแต่งงานของเหยียนิฮ่วนที่ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สุดท้ายแล้วความยิ่งใหญ่ก็กำลังจะสิ้นสุดลง เว้นแต่ในคืนส่งตัวเข้าหอที่จำต้องแสร้งดื่มจนเมามายเพื่อหลบหนีบางสิ่งบางอย่าง อย่างน้อยภายนอกก็ยังเป็ภาพที่สวยงาม
ในวันรุ่งขึ้นของการแต่งงานคู่บ่าวสาวต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อยกน้ำชา ฮูหยินเหยียนจัดเตรียมของเอาไว้มากมายเพื่อรักษาหน้าในการพบปะกันทั้งยังมีการช่วยเหลือจากคุณชายทั้งสาม เพียงเท่านี้พิธีการตามมารยาทก็ล้วนสมบูรณ์แล้ว
เมื่อเหยียนิฮ่วนได้ยินว่าคนทั้งจวนล้วนอวยพรขอให้เขาและฮูหยินให้กำเนิดบุตรชายแสนล้ำค่าได้โดยเร็วก็ต้องรู้สึกอึดอัดขึ้นมาในใจจนพูดไม่ออก ได้แต่มองดูหญิงสาวที่งดงามราวกับหยกแต่จับไม่อาจต้องได้ สิ่งนี้กำลังฆ่าเขา! ยังดีที่ม่อเสียวเสี่ยวเป็หญิงจากชนชั้นสูง[2] จึงค่อนข้างมีความสุภาพ ประกอบกับอายุยังน้อย จึงเป็เื่ง่ายในการเกลี้ยกล่อม
เมื่อเทียบกับความอึดอัดของเหยียนิฮ่วนแล้ว เหยียนลั่วกลับโยนเื่นี้ทิ้งไว้ด้านหลังไปเสียแล้ว อิ้งหลีเองก็ลากลับไปแล้วเช่นกัน ด้วยในยามนี้เขาใกล้จะเดินทางกลับไปเมืองเทียนซูแล้ว หลังจากเว่ยซูหานและเหยียนชิงพูดคุยกันทั้งคืน จึงตัดสินใจนำเื่การเกิดใหม่ของตนไปบอกกับอิ้งหลีและเหยียนลั่ว
ณ ห้องหนังสือของเหยียนชิง ยามที่ได้ยินเื่นี้ทั้งสองต่างก็รู้สึกตกตะลึง ด้วยไม่เคยคิดว่าจะมีเื่เหนือธรรมชาติเช่นนี้เกิดขึ้นได้จริง ๆ หลังจากทำความเข้าใจกับสิ่งที่ได้รับรู้มาแล้วก็ต้องทอดถอนใจกับโชคชะตาอันแสนลึกลับของเว่ยซูหานและเหยียนชิง นอกจากนี้พวกเขาก็ยังรู้สึกเสียใจกับชะตากรรมในชาติก่อนของตนเองและตระกูลเหยียนอีกด้วย
แต่ในยามนี้คนที่เคยทำร้ายพวกเขาในชีวิตก่อนล้วนถูกกำจัดจากการแทรกแซงของเว่ยซูหาน
เหยียนิฮ่วนไม่อาจสร้างคลื่นลมภายในจวนตระกูลเหยียนได้อีก แม่ทัพฮั่วหยางได้รับการช่วยชีวิต แม่ทัพชายแดนจึงไม่มีการกล่าวโทษตระกูลเหยียน กลับยิ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากขึ้นแทน
เหยียนลั่วรอดพ้นจากภัยพิบัติในเมืองหนานฮั่นได้อย่างปลอดภัย และเดินทางกลับจวนเพื่อมาสืบสานกิจการของตระกูล
วังไห่เฉียวกับเยว่ฉานถูกสังหารจากนักฆ่าที่เว่ยซูหานว่าจ้างมา ใน่เทศกาลจงชิวเมื่อปีที่แล้วเหยียนชิงได้เข้าวังเพื่อถวายเครื่องบรรณาการ และวังไห่เฉียวก็ถูกแทงจนเสียชีวิตในวันเดียวกัน
นอกจากนี้เหยียนชิงยังได้รักษาอาการประชวรของตี้จวินให้หายขาดได้ก่อนเวลาเดิมนานหลายปี ช่วยให้พระวรกายของตี้จวินไม่เจ็บป่วยง่ายอีกซึ่งทำให้ท้องพระโรงไม่เกิดความสับสนวุ่นวาย ทุกอย่างอยู่ภายใต้การวางแผนของเหยียนชิงและเว่ยซูหานและมันกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี
เหยียนลั่วรู้สึกซาบซึ้งมากต่อสิ่งที่เว่ยซูหานได้ทำลงไปเพื่อตระกูลเหยียน อีกทั้งเขายังรู้สึกผิด เป็เพราะเขาที่หุนหันพลันแล่นเกินไปจนไม่สนสถานการณ์โดยรวม... และในที่สุดเขาถึงได้เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเว่ยซูหานจึงไม่้าเห็นหน้าเขา ด้วยเื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเริ่มต้นจากการที่เขาหนีงานแต่ง มันจึงเป็เื่ธรรมดาที่ทุกคนจะตำหนิเขา
โชคยังดีที่ในยามนี้คนที่กำลังฟาดฟันเหล่าคนที่ทำให้ชีวิตที่แล้วของตนต้องทุกข์ทน ในชีวิตนี้เขาได้สร้างความสัมพันธ์อันดีขึ้นสำเร็จแล้ว เว่ยซูหานชอบชิงเอ๋อร์มานานถึงสองชาติภพ ในทุกวันนี้เขารักใคร่ชิงเอ๋อร์เป็อย่างมากก็ถือว่าเป็เื่เหมาะสม
และการที่เว่ยซูหาน้าปลิดชีพเหยียนิฮ่วนนั้น เขาจะไม่หยุดยั้ง ทั้งหากเว่ยซูหานไม่ลงมือเขาจะเป็ผู้ลงมือเอง
“ชิงเอ๋อร์ ซูหาน ขอบคุณพวกเ้า...”
อิ้งหลีรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ยามนี้เขาไม่รู้ว่าควรแสดงความรู้สึกขอบคุณออกไปอย่างไรดีจึงจะเหมาะสม ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้รับในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็สถานะที่สูงส่งหรือความสัมพันธ์กับเฟิงจิ้งอี้ ทุกสิ่งสำเร็จได้ก็เพราะเหยียนชิง
อีกทั้งเพื่อเปลี่ยนชะตากรรมของเขา เว่ยซูหานถึงกับได้ลงมือสังหารคนที่จะฆ่าเขาในชีวิตก่อนไว้ล่วงหน้า นี้อาจถือได้ว่าเป็บุญคุณที่ช่วยชีวิต
เหยียนชิงยิ้ม
“เป็คนตระกูลเดียวกัน จะพูดขอบคุณไปทำไม... ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปก็เพราะได้เกิดใหม่อีกครั้ง สิ่งนี้ล้วนทำเพื่อชดเชยความเสียใจและเปลี่ยนแปลงโศกนาฏกรรมใหม่อีกครั้ง ซูหานและข้าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อให้ตระกูลของเราปลอดภัย”
“ยามนี้ในตระกูลมีพี่ใหญ่และพวกข้าคอยดูแลอยู่และมันจะไม่มีสิ่งใดผิดพลาด เป็พี่รองเสียอีกที่ต้องระวังตัวให้มาก พระวรกายของตี้จวินมั่นคงแล้วแต่กลับมีการแต่งตั้งเซ่อเจิ้งอ๋องล่วงหน้า เกรงว่าคงจะมีแผนการอื่น ๆ ท่านเป็ราชครูขององค์ชายจึงต้องเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ที่ข้าเป็ห่วงมากที่สุดก็คือท่านพี่รอง”
ทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมด สุดท้ายจะจบอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับพวกเขา
อิ้งหลีก้มหัวรับคำ “ไม่มีปัญหา ข้าจะระวังตัว... หากเกิดอะไรขึ้นในพระราชวังข้าจะรีบบอกเ้าในทันที...”
เมื่อคำพูดนั้นออกจากปากไปก็ต้องกลับคืนเข้ามาในทันที เื่ความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับเฟิงจิ้งอี้เขายังไม่รู้ว่าจะบอกกับพี่น้องของตนว่าอย่างไร แต่ว่า... อย่างน้อยในยามนี้คนผู้นั้นก็ไม่เป็อันตรายต่อตระกูลเหยียน
“จิตใจของมนุษย์นั้นยากที่จะคาดเดา ั้แ่โบราณมีคำกล่าวที่ว่าอยู่ใกล้ฮ่องเต้ก็เหมือนอยู่ใกล้เสือ...” เหยียนลั่วถอนหายใจเบา ๆ พร้อมกับขมวดคิ้วก่อนจะวิเคราะห์ออกมาว่า
“ตี้จวินองค์ปัจจุบันทรงฉลาดล้ำลึก มอบตราประทับฮ่องเต้ให้กับเ้าอีกทั้งยังให้องค์ชายที่ยังทรงพระเยาว์ดูแลงานราชการร่วมกับเ้าให้ฐานะเซ่อเจิ้งอ๋อง ผู้ใดจะทราบได้ว่าลึก ๆ ในใจของเขาคิดอย่างไรกับตระกูลเหยียน หากเกิดความขัดแย้งขึ้นในวันหน้าเ้าจะต้องถูกผลักให้เข้าสู่จุดสูงสุดของพายุอย่างแน่นอน... เ้าต้องรู้จักป้องกันตนเองอย่างฉลาด อย่าเข้าไปเสี่ยงมากจนเกินไป”
เหยียนชิงก็เห็นด้วยเช่นกัน
“พี่ใหญ่พูดถูก หากมีเื่ใดเกิดขึ้นจำไว้ว่าต้องปกป้องตนเองก่อน แม้ว่าตี้จวินจะปฏิบัติต่อท่านในฐานะสหาย แต่เมื่ออยู่ในท้องพระโรงสุดท้ายย่อมต้องมีความแตกต่างระหว่างตี้จวินและขุนนาง”
หากมีผู้วางกับดักจนทำให้สูญเสียความไว้วางใจของเฟิงจิ้งอี้ไป เช่นนั้นสิ่งที่พวกเขาทำมาก่อนหน้านี้ก็จะไร้ประโยชน์
“ข้า... ข้าเข้าใจ...”
อิ้งหลีตอบกลับ ท่าทางของคนที่ร่าเริงและตรงไปตรงมาอยู่เสมอนั้นดูไม่เป็ธรรมชาติเล็กน้อย และเขายังแอบบ่นอยู่ในใจอย่างไม่ยอมรับว่า เ้าแผ่นดินที่มีอำนาจไม่สิ้นสุด และเฟิงจิ้งอี้ก็มีแผนการของตน มิเช่นนั้นเขาที่ระมัดระวังจะถูกกินเข้าไปได้อย่างไร!
คนผู้นั้นในยามที่เขาขอลากลับจวนยังมีท่าทีไม่ยินยอม หลังจากพลิกเขาไปมาอยู่ครึ่งค่อนคืนทั้งยังใช้คารมคมคายขอให้เขาสัญญาว่าจะต้องรีบไปรีบกลับ...
เชิงอรรถ
[1] ลูกเจี๊ยบ (雏鸟) หมายถึงคนที่ทำตัวเหมือนลูกไก่มักต้องพึ่งพาผู้อื่น ไม่สามารถทำสิ่งใดด้วยตนเองได้
[2] หญิงจากชนชั้นสูง (大家闺秀) หมายถึงหญิงสาวที่มีการศึกษาและสง่างามจากครอบครัวที่มีชื่อเสียง หรือผู้หญิงที่มีคุณธรรมของตระกูลชนชั้นสูง
