ลั่วจิ่งเฉินค่อยๆ พูดไป ชีเหนียงก็คอยฟังอยู่ตลอด เพียงแต่จากสายตาของลั่วชีเหนียง เขามองไม่เห็นความชื่นชมและเห็นด้วยอย่างที่ตน้า
หรือว่าสิ่งที่ตนพูดยังมีขาดตกไป?
“ลูกใหญ่ เ้าพูดได้ถูกต้องยิ่งนัก แต่สิ่งเ่าั้ล้วนเป็ปัจจัยภายนอก อันที่จริงสิ่งที่แตกต่างอย่างใหญ่หลวงระหว่างผู้สอบสองคนนี้คือ สภาวะทางจิตใจของพวกเขา” ลั่วชีเหนียงรู้ว่าตอนนี้เขาคิดถึงเพียงปัจจัยจากภายนอก เพราะว่าตัวของลั่วจิ่งเฉินเองก็ได้รับอิทธิพลจากโลกภายนอกหนักหนาเกินไป จนส่งผลให้ลั่วจิ่งเฉินลืมจิตใจตั้งต้นของตน
“บัณฑิตผู้มีพร์คิดว่าตนเองมีพร์ย่อมผ่อนปรนกับการสอบครั้งนั้น หากเมื่อผ่อนปรน แม้นมีพร์อันยิ่งใหญ่ก็ยังตามไม่ทันผู้มีความอุตสาหะ ครั้นแล้วการพ่ายแพ้หนึ่งครั้งก็จะทำให้ผู้อวดดีได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจ เขามิอาจเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้ของตน แต่คนที่เผชิญกับความพ่ายแพ้บ่อยครั้งย่อมเคยชินกับความพ่ายแพ้นานแล้ว แต่เขากลับยังคงเพียรพยายามแน่วแน่อดทน ดีใจกับการพัฒนาในทุกๆ ขั้นและยังคงพยายามต่อไป”
“ปัจจัยสิ่งภายนอกสำคัญ แต่ความคิดภายในจิตใจนั้นสำคัญยิ่งกว่า! บางทีนับั้แ่การสอบครั้งแรก นอกจากทดสอบความรู้ทางปัญญาที่แท้จริงแล้ว ก็ยังเป็การทดสอบศักยภาพทางจิตใจอีกด้วย!”
ลั่วชีเหนียงชี้แนะถึงตรงนี้ก็หยุด เมื่อเห็นเขาตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด นางก็ถือชามเปล่าออกไป ก่อนจากไปก็ไม่ลืมที่จะปิดประตู
ตรงลานบ้าน ลั่วจิ่งซีที่เพิ่งกลับมามองเห็นชามเปล่าในมือของนาง
“พี่ใหญ่กินแล้ว!” เขาเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ แต่กลับถูกลั่วชีเหนียงห้ามไว้
“อย่าเพิ่งไปรบกวนเขา”
ลั่วชีเหนียงที่มัวแต่ยุ่งกับการไปตั้งแผงขายของในวันรุ่งขึ้น หารู้ไม่ว่าทุกคำพูดของตน จ้าวจือชิงที่หลบอยู่มุมกำแพงด้านนอกได้ยินอย่างชัดเจน
“ความคิดภายในจิตใจนั้นสำคัญยิ่งกว่า…”
จ้าวจือชิงพึมพำเสียงต่ำ “อย่าได้รับอิทธิพลจากโลกภายนอก…”
หลังจากพึมพำไม่กี่คำ ดวงตาพยัคฆ์ของเขาก็เป็ประกาย หากมีคนเห็น จะต้องพบว่านี่มิใช่สายตาที่คนทึ่มทื่อควรจะมี เสียดายประกายนี้ปรากฏเพียงชั่วแวบเดียวก็หายไปทันใด
เช้าวันรุ่งขึ้น ลั่วชีเหนียงเปิดประตูบ้านและเห็นห่อผ้าน้ำมันที่คุ้นเคย ด้านในมีไข่นกไม่กี่ใบ นางยื่นศีรษะออกไปดูกลับไม่พบเงาของเ้าทึ่มจ้าว จึงรีบอุ้มห่อผ้าน้ำมันไว้ในอ้อมอกและซ่อนมันไว้
ช่างเถอะ! บุญคุณนี้นางขอจดจำไว้ก่อน เ้าทึ่มคนหนึ่งจะมีความคิดเลวร้ายอะไรได้ คงเห็นว่าร่างเดิมน่าสงสาร
หลังจากจัดแจงเื่ในบ้าน นางก็พาลั่วจิ่งซีไปตลาดนัด โชคดีที่พวกนางเตรียมตัวมาพร้อม ทั้งหม้อ ฟืนและวัตถุดิบต่างๆ ก็ขนมาเต็มเกวียน
เมื่อเข้าไปในเมืองก็จ่ายค่าธรรมเนียมการตั้งแผงจำนวนสองอีแปะให้แก่ที่ว่าการ จากนั้นหาสถานที่ว่างและเริ่มตั้งแผงลอย
“ลูกรอง ก่อไฟ ตั้งหม้อ!”
คล้อยกับเสียงเปี่ยมพลังของลั่วชีเหนียง ลั่วจิ่งซีเริ่มหยิบจับข้าวของอย่างคล่องแคล่ว
รอจนกลิ่นหอมโชยไปทั่วตลาดนัด ผู้คนใคร่รู้ว่าความเอิกเกริกนี้กำลังทำอะไรกันแน่ ต่างก็พากันชะเง้อมองอย่างสงสัย
“เกาลัดคั่วน้ำตาลทรายแสนอร่อยพร้อมทาน ทั้งอร่อยและราคาย่อมเยา ชิมก่อนค่อยซื้อได้จ้า!”
พอเกาลัดออกจากเตา ลั่วชีเหนียงก็เปล่งเสียงดังลั่น เสียงกังวานของสตรีแทรกซึมไปพร้อมกับกลิ่นหอมของเกาลัดที่ส่งไปถึงหูของผู้คน
ลั่วจิ่งซีที่ได้ยินนางส่งเสียงดังก็แปลกใจเล็กน้อย ภาพจำแต่เดิมของท่านแม่ที่ก้มหน้าไม่กล้ามองผู้คนเปลี่ยนเป็คนผ่าเผยเช่นนี้ั้แ่เมื่อใด โดยเฉพาะเวลาที่นางยิ้มแย้มให้ผู้คนโดยยังไม่ได้พูดจา ทำให้เขารู้สึกถึงความภาคภูมิอย่างบอกไม่ถูก!
คนที่เชื่อมั่นในตนเองผู้นี้คือแม่ของเขาจริงหรือ?
“ลูกรอง อย่ามัวเชื่องช้า นำผลซานจามาให้พี่ชายท่านนี้ชิมรสชาติหอมหวานสักหน่อยสิ”
ลั่วชีเหนียงะโสั่ง จากนั้นยื่นเกาลัดคั่วน้ำตาลทรายให้ชายมีอายุคนแรกที่มาซื้อ
ลั่วจิ่งซีรีบคว้าผลซานจาไปให้หนึ่งกำ “นายท่าน ผลซานจานี้รสชาติเปรี้ยวหวาน เรียกน้ำย่อยดีนัก ท่านลองชิมดูสิ”
ชายมีอายุมองดูหนึ่งกำมือนั้น ถึงกับยิ้มดีใจหุบปากไม่ลง คิดไม่ถึงว่าเ้าเด็กคนนี้ช่างใจกว้าง
“ท่านแม่ ท่านเสแสร้งนัก คนอายุมากเช่นนี้ ท่านก็เรียกพี่ชายไปได้”
เมื่อส่งลูกค้าจากไป ลั่วจิ่งซีแอบบ่นเสียงค่อย
“เ้าจะรู้อะไร คนเรา ใครเล่าไม่หวังให้ตนเองอายุอ่อนเยาว์ยี่สิบปี”
ช่างเถอะ อธิบายมากความก็เปล่าประโยชน์ เด็กน้อยไม่เข้าใจอะไร
นางกวักมือเรียกลูกค้าต่อเนื่อง ในเวลาอันรวดเร็ว เกาลัดก็เหลือเพียงก้นหม้อ ตอนที่นางกำลังจะตั้งเตาทำหม้อที่สอง อันธพาลกลุ่มหนึ่งก็เดินตรงปรี่มาทางพวกเขา ดูก็รู้ว่ามาหาเื่
“โอ๊ะโอ นี่พี่ซีของเรามิใช่หรือ? เหตุใดมาตามก้นผู้หญิงต้อยๆ”
ชัดเจนว่าอันธพาลเหล่านี้รู้จักลั่วจิ่งซี จากนั้นก็ยื่นมือสกปรกจะหยิบผลซานจา
ลั่วจิ่งซีปัดมือของคนผู้นั้นออก น้ำเสียงแฝงด้วยการเตือนอย่างชัดเจน “เอามือสกปรกของเ้าออกไป!”
“มือสกปรก? พี่ซีคิดจะแกล้งไม่รู้จักกันหรือ! ตอนนั้นที่มาวิงวอนขอร้องข้าให้แนะนำคนสูงศักดิ์ในโรงพนันสือวาน เ้ามิได้พูดเช่นนี้นี่นา”
ชัดเจนว่าคนที่พูดคือหัวหน้า สายตาที่เขามองลั่วจิ่งซีแฝงด้วยความยั่วยุ
“ที่แท้เ้านั่นเองที่พาลูกรองของข้าไปในทางไม่ดี! ข้าไม่ได้ไปหาเ้า เ้ากลับมาหาเสียเอง”
ลั่วชีเหนียงดึงลั่วจิ่งซีมาอีกทาง “เ้าคือคนที่ทำให้จิ่งซีของเราเกือบถูกสวมหมวกนักพนันและอันธพาล! ข้าไม่ได้ไปทวงขอค่าทำลายชื่อเสียงและค่าชดเชยทางจิตใจจากพวกเ้าก็ดีมากแล้ว พวกเ้ายังกล้ามายั่วยุกันถึงที่!”
นางคิดอยู่แล้วว่าลั่วจิ่งซีหาใช่คนที่ไม่แยกแยะถูกผิด แม้ว่าจะโง่เขลาแต่ก็ไม่ถึงขั้นไร้ทางเยียวยา หาคำตอบอยู่นานที่แท้ก็ถูกคนล่อลวงนี่เอง
จ้าวกวงที่ถูกทวงถามความรับผิดชอบจากหญิงม่ายตรงหน้ากำลังโดนก่นด่าด้วยน้ำเสียงร้ายกาจโดยปราศจากคำหยาบ พลันอดไม่ได้ที่จะถอยหนี แต่เมื่อนึกถึงคำสั่งจากจางเฉียง เขาก็จำใจต้องฝืนจัดการต่อ
“ข้าไม่อยากตอแยกับสตรีอย่างเ้า นี่คือเื่ระหว่างข้ากับลั่วจิ่งซี” จ้าวกวงไม่กล้ามองตาของลั่วชีเหนียง เขามักจะรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้พูดจาแฝงความนัย หากตนยังบังอาจพูดกับนางมากกว่านี้ เื่ในวันนี้คงไม่จบง่ายๆ แน่
ลั่วจิ่งซีกำลังจะก้าวออกไปพูด แต่กลับเจอกับสายตาข่มขู่ของมารดาอย่างไม่ทันตั้งตัว ฉับพลันจึงแสร้งแหงนหน้ามองฟ้าและแกล้งทำเป็ไม่ได้ยิน
เขาเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงกลัวนางเช่นนี้ ทั้งที่ตนเองก็ไม่ได้ทำผิดตรงไหน?
ลั่วจิ่งซีหารู้ไม่ว่า รัศมีสายตาที่จ้องจนผู้คนหวาดกลัวบนตัวนางนี้ ฝึกฝนจากการสอนหนังสือในชาติที่แล้ว เพียงแค่สายตา ก็ทำให้นักเรียนจอมดื้อยอมอยู่ในกฎระเบียบอย่างว่าง่าย
“เ้าไม่ต้องตามหาจิ่งซีของเรา บ้านนี้ข้าเป็ผู้ตัดสินใจ ข้าคือแม่ของเขา เื่ของเขา แน่นอนก็ต้องให้ข้าตัดสินใจ” ลั่วชีเหนียงถลึงตาใส่ลั่วจิ่งซี สายตาที่มองจ้าวกวงหาได้เผยความอ่อนแอออกมาไม่
“อันธพาลระดับเ้า เดาว่าคงเป็ชั้นที่ต่ำต้อยที่สุด สิ่งที่คนเขาไม่สะดวกทำก็ยกให้พวกเ้าทำ สิ่งที่น่าอับอายไร้ศีลธรรมก็เป็หน้าที่พวกเ้า”
สายตาที่มองได้ทะลุปรุโปร่งและคำพูดคมคายของลั่วชีเหนียงสาดส่องหัวใจของจ้าวกวงจนขนลุก
นางผู้หญิงคนนี้หมายความอย่างไร?
“ข้ารู้ว่าพวกเ้าทำสิ่งเหล่านี้เพราะถูกบังคับข่มขู่ เอาเช่นนี้ ขอเพียงพวกเ้าบอกว่าใครสั่งการพวกเ้า วันนี้ข้าจะไม่จับพวกเ้าเข้าพบใต้เท้า เป็อย่างไร?”
จ้าวกวงได้ยินเพียงคำว่าสั่งการจากปากนาง แต่กลับไม่ได้ยินคำว่าเข้าพบใต้เท้า
นางรู้ได้อย่างไรว่ามีคนให้เงินตนเพื่อหลอกล่อลั่วจิ่งซีให้ไปกู้เงินที่โรงพนันสือวาน? แล้วนางรู้ได้อย่างไรว่าวันนี้เขาก็ถูกคนสั่งการมา?
ลั่วชีเหนียงคิดไม่ถึงเลยว่าคำพูดข่มขู่จ้าวกวงของตนเอง กลับทำให้จ้าวกวงคิดไปถึงเื่อื่น
ตอนนี้จ้าวกวงไม่กล้าสร้างปัญหาต่อ จึงด่ากราดกลับไปอย่างรุนแรง แล้วถอยหนีกลับไปตั้งหลักก่อน
หลายวันติดต่อกัน แผงลอยของสกุลลั่วมีลูกค้าหลั่งไหลมาไม่หยุด เงินในกระเป๋าก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ส่วนลั่วจิ่งเฉินที่อยู่ในบ้านก็คิดได้แล้วเช่นกัน จึงมักจะเห็นเขาปรากฏตัวอยู่บนโต๊ะอาหารทุกวัน
เมื่อมีเงินในกระเป๋า เวลาทำสิ่งใดก็มีความมั่นใจ นางซื้อข้าวสารและแป้ง พร้อมทั้งซื้อสมุนไพรที่ช่วยในการไหลเวียนโลหิต รวมถึงพู่กัน หมึก กระดาษและที่ทับกระดาษ
เมื่อเห็นสมบัติบัณฑิตสี่ประการ [1] ชุดใหม่ในห้อง ลั่วจิ่งเฉินก็กำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว
เขาแสดงออกชัดเจนเพียงนั้นเชียวหรือ? ทั้งที่เขาไม่ได้อ่านตำรามานานมากแล้ว
-----
[1] สมบัติบัณฑิตสี่ประการ ได้แก่ พู่กัน หมึก กระดาษและที่ทับกระดาษ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้