บทที่ 22 ความกังวลของอิ๋งปิง กับมรดกที่สืบทอด
ศาลาชิวสุ่ย
กลิ่นหอมของเครื่องเทศและน้ำมันหมูอบอวลไปทั่วลานเล็ก ๆ
“เนื้อย่าง ไม้ละห้าตำลึงเงิน! คนสวย ๆ ไม่คิดเงิน!”
“นี่! เ้าเป็สาวงามนี่ ให้เ้าหนึ่งไม้เลย~”
หลี่โม่นำเตาถ่านสำหรับฤดูหนาวมาใช้เป็เตาย่าง เสียบเนื้อสัตว์จากยอดเขาอสูร แล้วย่างจนน้ำมันหยดติ๋ง ๆ ขณะที่เขาย่าง ก็ส่งเสียงร้องขายอย่างน่าสนใจ
“ศิษย์รัก! เ้าเคยเป็พ่อครัวมาก่อนหรือนี่?”
ซางอู่ชิมไปคำหนึ่ง ดวงตาเล็กพลันเคลิบเคลิ้ม เนื้อย่างน่ะ นางก็เคยกินมาบ้าง แต่ไฉนศิษย์ของนางทำถึงได้อร่อยขนาดนี้? โดยเฉพาะกลิ่นหอมแปลก ๆ นั้น เมื่อรวมกับกลิ่นไหม้เกรียมของเนื้อ ยิ่งเข้ากันได้อย่างลงตัว!
หลี่โม่ยิ้มพลางหยิบเนื้อขึ้นมาอีกสองสามไม้
“โอ้! นี่เ้าก็สาวงามเช่นกัน! เนื้อแกะเขาดำชิ้นนี้ช่วยบำรุงหยินบำรุงเื ให้ท่านฟรีเลย!”
“อืม…อร่อยมาก”
ยัยก้อนน้ำแข็งถึงกับเอ่ยปากชมถึงสี่คำ บ่งบอกว่ารสชาติอร่อยจริง ๆ
ด้วยความที่ซางอู่ชอบกินเผ็ด นางจึงพ่นลมหายใจไม่หยุด ส่วนอิ๋งปิงผู้ซึ่งปกติชอบอาหารรสอ่อน ยังยอมเปิดใจกินอย่างเต็มที่ในครั้งนี้
“เสี่ยวปิงเอ๋อร์ เ้าเป็คนที่เข้าใจการเคารพอาจารย์ดีที่สุด ดังนั้นปลาเผาไม้นี้ต้องให้ข้ากิน!”
“แต่ท่านไม่ใช่อาจารย์ของข้า”
“เ้ากินไปเยอะแล้วนะ สาวน้อยกินมากขนาดนั้นจะอ้วนเอานะ”
“ข้าอยู่ในวัยกำลังโตนี่นา”
“โอ๊ย! เ้าอยู่กับหลี่โม่ทุกวันเลยนะ คราวหน้าก็ให้เขาทำให้เ้ากินอีกสิ!”
ซางอู่กอดอก ทำหน้าบูดบึ้ง ทั้งหลอกล่อสารพัดก็ยังเอาปลาเผาจากเด็กสาวตัวน้อยไม่ได้ น่าโมโหจริง ๆ!
อิ๋งปิงกินปลาเผา พลางเสยผมสีดำขลับที่ปรกหูขึ้น ไม่ได้ซ่อนรอยยิ้มนั้นไว้ นางนึกถึงเื่ราวในอดีต
ในความทรงจำอันเลือนรางของแดนบูรพา มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทิ้งความประทับใจไว้ให้นางอย่างลึกซึ้ง หนึ่งในนั้นคือซางอู่ เมื่อสำนักชิงเยวียนล่มสลาย หากไม่ใช่เพราะซางอู่ นางคงไม่มีทางรอดชีวิตออกจากแคว้นจื่อหยางได้
น่าเสียดาย...
อิ๋งปิงส่ายหน้า ขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านในใจออกไป
ในชาตินี้ โศกนาฏกรรมเ่าั้จะไม่มีทางเกิดขึ้นซ้ำรอยเด็ดขาด!
สุราน้ำแข็งอัคคี
“เนื้อดี ย่อมต้องคู่กับสุราดี”
หลี่โม่ไปนั่งที่โต๊ะอาหารด้วย ในมือยังคงถือขวดสุราเครื่องเคลือบสีขาวอมเขียว ทันทีที่ดึงจุกออก กลิ่นสุราที่ทั้งฉุนและสดชื่นก็อบอวลขึ้นมา
เมื่อรินสุราลงมา สุราพลันแยกเป็สีแดงและสีน้ำเงินอย่างชัดเจนในถ้วย
“นี่มันสุราอะไรกัน? หอมมาก!”
ซางอู่สูดจมูกขึ้น ๆ ลง ๆ พลางดมกลิ่น พลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ดวงตาเล็กเบิกกว้างเล็กน้อย
“สุราน้ำแข็งอัคคี”หลี่โม่ยิ้มพลางวางถ้วยสุราลงตรงหน้าซางอู่
กล่าวจบ เขาก็รินอีกแก้ว แก้วนี้ให้แม่ก้อนน้ำแข็ง
คิ้วรูปจันทร์เสี้ยวของอิ๋งปิงเลิกขึ้นเล็กน้อย นางหยิบขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด ดวงตาดุจกระจกน้ำแข็งสะท้อนสีสุราทั้งสองสี
ช่างงดงามยิ่งนัก ของสิ่งนี้มีที่มาจากเกาะน้ำพุทยกทะเลหนือ ที่นั่นมีตาน้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งครึ่งหนึ่งเย็นและอีกครึ่งหนึ่งร้อนตลอดทั้งปี มีคุณสมบัติวิเศษในการหล่อหลอมร่างกาย บนเกาะมีตระกูลนักปรุงสุราซึ่งเชี่ยวชาญในการนำน้ำจากตาน้ำนั้นมาปรุงสุรา สุราที่ปรุงออกมาจึงมีคุณสมบัติเช่นเดียวกัน และถูกขนานนามว่า สุราน้ำแข็งอัคคี
แม้ตระกูลนั้นจะเป็ตระกูลนักปรุงสุรา แต่เมื่อเทียบกับสำนักชิงเยวียนแล้ว ก็ถือว่ายิ่งใหญ่กว่ามาก ในแต่ละปี ตระกูลนั้นจะถวายสุราเลิศรสกว่าร้อยชนิดแก่ตำหนักกุ้ย หนึ่งในนั้นก็คือ สุราน้ำแข็งอัคคีนี้ ตอนนั้นนางไม่จำเป็ต้องใช้มันแล้ว จึงมักจะนำไปมอบให้แก่ศิษย์ที่มีศักยภาพ
แล้วหลี่โม่มีสุรานี้ได้อย่างไร?
“ศิษย์รักของข้าเอ๊ย! สุรานี่เ้าไปเอามาจากไหนกัน”
ซางอู่ผู้ที่เพิ่งดื่มสุราน้ำแข็งอัคคีเข้าไป ใบหน้าแดงก่ำ นี่เป็ครั้งแรกที่นางพูดด้วยน้ำเสียงแ่เบาเช่นนี้ ดวงตาของนางกระพริบเบา ๆ ราวกับระลอกคลื่นน้ำ
“...”
หลี่โม่เอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อยด้วยท่าทางประเมินสถานการณ์
ยากจะจินตนาการว่า สตรีร่างบอบบางตรงหน้าผู้นี้คือผู้ที่สามารถะเิูเาได้ด้วยหมัดเดียว
“ได้มาโดยบังเอิญในสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่ง ได้มาแค่สองสามไหเท่านั้น”
หลี่โม่ตอบออกมาอย่างง่ายดาย
“โอ้? เ้ายังมีวาสนาเช่นนี้อีกหรือ จึงไม่น่าแปลกใจที่เ้าสามารถเข้าไปในชั้นสามของถ้ำเทพศาสตราได้โดยไม่ได้รับาเ็เลย”
ซางอู่ไม่ได้รู้สึกว่าคำกล่าวอ้างนี้มีปัญหาอะไร
ความกังวลของอิ๋งปิง
อิ๋งปิงจิบสุราคำหนึ่ง ในใจพลันกระจ่าง นางพอจะคาดเดาได้คร่าว ๆ แล้ว
หลี่โม่น่าจะได้รับมรดกสืบทอดบางอย่าง อาศัยสมบัติที่หลงเหลืออยู่ในการสืบทอดนั้น ทำให้ร่างกายของเขาเปลี่ยนแปลงไป สุราน้ำแข็งอัคคีก็เป็หนึ่งในของที่หลงเหลืออยู่ ใช้เพื่อขัดเกลาร่างกายของผู้ได้รับการสืบทอด บางที... อาจจะเกิดขึ้นในแคว้นจื่อหยาง ใน่ไม่กี่วันที่นางกำลังเปิดเส้นชีพจร?
ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยในอนาคต เขาก็มีโอกาสที่จะสืบทอดตำแหน่งของซางอู่ ขึ้นเป็ผู้าุโคนหนึ่งของสำนักชิงเยวียน สำหรับเขาแล้ว นี่นับเป็การเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตที่ยิ่งใหญ่แล้วล่ะ
“หึหึ ดีล่ะ”
ซางอู่เบะปาก แล้วดื่มสุราหมดแก้วรวดเดียว
“สุราน้ำแข็งอัคคี ยังเหลืออีกสองสามไห หากอาจารย์ชอบ ก็เอาไปสักไหไหมขอรับ”
“ไม่ล่ะ เ้าเก็บไว้เถอะ สุรานี้สามารถหล่อหลอมร่างกายได้ ข้าไม่จำเป็ต้องใช้แล้ว”
“งั้นข้าจะลงจากเขาแล้วเอาสุราดี ๆ มาให้อาจารย์เพิ่มอีกสองสามไห”
หลี่โม่ประหลาดใจเล็กน้อย จึงหยิบถ้วยสุราขึ้นมาจิบหนึ่งคำ
ในชั่วขณะถัดมา เขาก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติไป เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ได้รินสุราให้ตัวเอง ดังนั้นเมื่อครู่ที่ดื่มไป... มันคือสุราจากถ้วยของอิ๋งปิงหรือ?
“เสี่ยวปิงเอ๋อร์ เ้าเป็อะไรไป?”
ซางอู่เอียงศีรษะเล็กน้อย นางสังเกตเห็นว่าอิ๋งปิงดูเหมือนจะตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อย
“ไม่มีอะไร”
อิ๋งปิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางส่ายหน้าเบา ๆ
“โอ้ ๆ เ้าดื่มเยอะ ๆ นะ สุรานี้ดีต่อพวกเ้าที่อยู่ในขั้นปราณโลหิตมากเลยล่ะ”
ซางอู่พูดพลางหยิบน้ำเต้าเล็ก ๆ ที่เอวขึ้นมา ดื่มไปสองอึกใหญ่
หลี่โม่กระแอมไอเบา ๆ แล้วหยิบถ้วยใหม่มาให้ พร้อมรินสุราให้เต็มถ้วย
“อืม”
อิ๋งปิงจิบสุรา
เมื่อครู่นี้ สระน้ำในใจที่เคยสงบนิ่งของนาง มีระลอกคลื่นเล็ก ๆ ที่ไม่อาจจับต้องได้ก่อตัวขึ้น ทำให้นางรู้สึกแปลกใจ
ชายหนุ่มที่เคยตามจีบนาง บางคนมีพร์ที่หาได้ยากยิ่งในประวัติศาสตร์ บางคนโดดเด่นไร้เทียมทาน บางคนมีเื้ัอันน่าสะพรึงกลัว กระทั่งหนึ่งในเก้า์ ก็ยังเคยแสดงความชื่นชมในตัวนาง ก่อนที่นางจะขึ้นเป็หนึ่งในเก้า์อย่างสมบูรณ์เสียอีก
เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนทั่วหล้าต่างกล่าวว่า จักรพรรดินีที่ประทับอยู่ในตำหนักกุ้ยผู้นั้น เ็าทั้งกายและใจ ไม่มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา
อันที่จริง นางเพียงแค่มุ่งมั่นไล่ตามวิถีแห่งยุทธ์อย่างไม่ย่อท้อเท่านั้น โลกมนุษย์นั้นบั่นทอนกำลังใจวีรบุรุษ และความรักเป็เพียงหินที่ขวางทางเดิน
แต่เมื่อครู่ เมื่อใจนางเกิดความรู้สึกแปลก ๆ ขึ้น นางกลับไม่รู้สึกต่อต้านความรู้สึกนั้นเลย...
“บางทีอาจเป็เพราะสุราน้ำแข็งอัคคี...”
อิ๋งปิงดื่มสุราน้ำแข็งอัคคีจนหมด ไม่ได้ลิ้มรสความอร่อยของสุราอย่างละเอียด
“ระดับพลังของข้าในตอนนี้ ยังไม่สามารถเพิกเฉยต่อความมึนเมาได้”
ดึงสติกลับมา นางค่อย ๆ นำพละกำลังจากสุรานั้นให้หมุนเวียนไปทั่วร่างกายอย่างเงียบ ๆ
“่นี้ก็ตั้งใจฝึกวิชาให้ดีเถอะ”
“อีกไม่นาน สำนักจะมีการทดสอบศิษย์ใหม่ อย่าทำให้ข้าเสียหน้าเชียวล่ะ”
ซางอู่พูดจบ ก็หาวหนึ่งครั้ง
“การทดสอบ?”
หลี่โม่แสดงสีหน้าสับสน
ซางอู่เช็ดคราบสุราที่ใสแจ๋วตรงมุมปาก
“ก็คือการปล่อยพวกเ้าเข้าไปในเทือกเขาชิงเยวียน เพื่อเก็บสมุนไพรบางอย่าง หรือสังหารอสูรต่างถิ่นอะไรพวกนั้นน่ะ”
“สำหรับการทดสอบศิษย์ใหม่แล้ว ถือว่าท้าทายอยู่บ้าง เพราะอสูรบางตัวก็รับมือยากเอาเื่”
“ถึงตอนนั้น เ้ากับแม่ก้อนน้ำแข็งก็ช่วยเหลือกันนะ”
หลี่โม่พยักหน้า พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว เป็พล็อตเื่ที่มักจะมีอยู่ในนิยายอยู่บ่อย ๆ นี่นา
หลี่โม่รู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย
“อาจารย์ขอรับ อิ๋งปิงเป็ถึงศิษย์ของเ้าสำนัก ได้รับการดูแลดีกว่าข้ามากนัก นางจะมา้าให้ข้าช่วยเหลือได้อย่างไรกันเล่า”
ว่าไปแล้ว ตอนที่อาจารย์รับเขาเป็ศิษย์ ดูเหมือนจะเป็เพราะสนใจอิ๋งปิงใช่หรือไม่? เพิ่งจะรู้จักกันไม่นาน ก็เรียกเสี่ยวปิงเอ๋อร์ เสี่ยวปิงเอ๋อร์ แล้ว
อิ๋งปิงก็ดูเหมือนจะไม่ต่อต้านอะไร ทั้งสองราวกับรู้จักกันมานานแล้ว
“ใครบอกว่าอาจารย์ไม่สนใจเ้ากัน”
ซางอู่สูดจมูกเล็กน้อย แล้วหยิบสมุดเล่มเล็กออกมา
“เอาไปฝึกซะ วิชาฝีมือระดับกลาง สำหรับเ้าตอนนี้ถือว่ากำลังดีเลยล่ะ อย่างไรก็ดีกว่าวิชาหมัดหกประสานเยอะ”
บนสมุดเขียนไว้ว่า
《วิชาดาบเพลิงล้างทุ่ง》
อย่ามองว่าเป็แค่วิชาฝีมือระดับกลางนะ หากอยู่นอกสำนัก ก็ถือเป็วิชาลับที่หลาย ๆ สำนักสามารถนำมาใช้เป็วิชาประจำสำนักได้เลยทีเดียว สำนักเล็ก ๆ หลายแห่งก็ยังคงถือว่าวิชาฝีมือระดับล่าง หรือแม้แต่วิชาที่ไม่ได้รับการจัดระดับเป็สมบัติล้ำค่า
“ขอบคุณท่านอาจารย์”
“หึหึ เมื่อกี้ยังบ่นข้าอยู่เลย”
กล่าวจบ ซางอู่ก็โบกมือ สะพายน้ำเต้าเล็ก ๆ ของนาง แล้วเดินออกจากศาลาชิวสุ่ยไป
หน้าโต๊ะ อิ๋งปิงวางถ้วยสุราลง จิตใจกลับคืนสู่ความสงบ การทดสอบศิษย์ใหม่ของสำนัก เื่ที่นางต้องทำ ไม่มีใครช่วยนางได้
นางต้องไปรับมรดกสืบทอด ณ ที่แห่งหนึ่ง แม้จะไม่รู้ว่ามรดกที่หลี่โม่ได้รับนั้นเป็ของใคร แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่นางกำลังจะได้มาแล้ว ย่อมแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เพราะไม่มียอดฝีมือคนใดจะทิ้งมรดกไว้ในแดนบูรพาอันแห้งแล้งนี้หรอก
ส่วนมรดกที่นางจะได้นั้นแตกต่างออกไป เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่ ‘คน’ ทิ้งไว้ให้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้