เด็กชายกำลังคิดจะะโออกไป ทันใดนั้นเขาก็ต้องปิดปากตัวเองไว้แน่น เสียงที่ตัวเองกำลังจะส่งออกไปถูกกดกลับไป เพราะเขาได้ยินเสียงฝีเท้าของคนที่ไล่ตามพวกเขามา........ พวกมันใกล้เข้ามาทุกที
บางทีอาจจะเพราะหมดแรง หรืออาจจะเป็เพราะรู้ว่าตัวเองไม่สามารถหนีไปจากการตามล่าของพวกมันได้แล้ว สิ่งที่ชายหนุ่มอุ้มไว้ในอ้อมแขน........... ภายใต้การปกปิดของค่ำคืนอันมืดมิดบวกเข้ากับเสื้อผ้าที่โบกพัดไปตามสายลม เขากอดกระชับมันไว้ราวกับว่ามันเป็เด็กชายวัยสี่ห้าขวบ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่เข้าใกล้มากขึ้นดังเข้ามาในหูเขาก็หันกลับไปและยืนอยู่ข้างขอบผาสูงชัน เผชิญหน้ากับหุบเหวที่แทบมองไม่เห็นก้นตรงหน้า เขาใช้น้ำเสียงเย็นที่ชวนให้ขนลุกซู่พูดออกมาทีละคำช้าๆ “ไม่ว่าพวกแกจะเป็ใคร....... ถ้าวันนี้ฉันสามารถมีชีวิตรอดไปได้ ฉันจะใช้หนี้เืในวันนี้........ สนองกลับพวกแกเป็หมื่นเท่า!!!”
พูดจบเขาก็ะโลงไป เขาะโลงไปจากหน้าผาตรงหน้าท่ามกลางม่านตาที่หดเล็กลงของเด็กชายตัวน้อย.......
เงาร่างสีดำสองเงาปรากฏตัวออกมาจากความมืดมองไปยังชายหนุ่มที่กอดเด็กชายตัวน้อยะโลงไปจากหน้าผาจากนั้นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “เหอะ ขนาดอยู่ต่อหน้าพวกเรายังคิดจะะโหน้าผาไปอีก......ใจกล้าไม่เบา แต่น่าเสียดาย แกไม่มีโอกาสแล้วล่ะ”
สิ่งที่มีกลิ่นของดินปืนฟุ้งกระจายออกมาถูกเงาร่างนั้นยกขึ้น เสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆแล้วเงาสีเพลิงก็ถูกจุดขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่าก่อนเขาจะยิงออกไปตามทิศทางที่ชายหนุ่มเพิ่งจะะโลงไป............
ปั้ง!!
ท่ามกลางประกายไฟที่ะเิออกจากการโจมตีครั้งนั้นร่างของชายหนุ่มและสิ่งที่เขากอดเอาไว้ในอ้อมแขนก็กลายเป็เถ้าถ่านกระจายออกไปเต็มท้องฟ้าท่ามกลางเปลวไฟและตามมาด้วยเสียงหัวเราะอันดำมืดที่เต็มไปด้วยการดูถูกสองเสียง
เด็กชายตัวน้อยปิดปากของตัวเองแน่นด้วยชีวิตเพื่อไม่ให้ตัวเองส่งเสียงออกไปแม้เพียงนิดเดียว ดวงตาเบิกกว้างมีน้ำตาไหลทะลักออกมามากมาย เล็บของเขาจิกเข้าไปบนท่อนขาเพื่อให้ตัวเองตื่นตัวเอาไว้.......... จนช่องว่างระหว่างนิ้วมือของเขามีเืสดๆไหลซึมออกมา
ร้องไห้ไม่ได้ ส่งเสียงออกไปไม่ได้........... เขาตายไม่ได้ เขาจะทำให้ชีวิตที่พี่ชายแลกมาด้วยชีวิตของตัวเองสูญเปล่าไม่ได้.....ถ้าเขาตายใครจะแก้แค้นให้พ่อกับแม่ แล้วใครจะแก้แค้นแทนพี่ชายของเขา.........
“โอ้ อาวุธของมนุษย์นี่ก็ไม่เลวเหมือกันนะ เป็สิ่งที่น่าสนใจจริงๆ อย่างงี้เอากลับไปเล่นซักหน่อยดีกว่า”
“ภารกิจสำเร็จแล้ว รีบกลับไปรายงานเถอะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเราควรจะอยู่นานนัก”
นั่นเป็สองประโยคสุดท้ายที่เด็กชายตัวน้อยได้ยินในคืนนั้น ในตอนนั้นเขาได้สลักน้ำเสียงของคนทั้งสองคนเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ หลังจากที่เขาเติบโตขึ้นอีกหน่อยในที่สุดเขาก็เริ่มตระหนักได้ว่าคำว่า “มนุษย์” จากปากคนพวกนั้น.......มีเพียงสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์เท่านั้นถึงจะเรียกคนอื่นๆว่า “มนุษย์” เช่นนี้
ในค่ำวันนั้นมันเหมือนกับค่ำคืนอันยาวนานของเด็กชายที่มีอายุเพียงสี่ขวบ ไร้ญาติขาดมิตร เขาที่ไม่มีบ้านอีกต่อไปแล้วได้แต่บอกประโยคหนึ่งซ้ำๆกับตัวเอง นั่นก็คือ....... มีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
เพียงแต่ว่า ห้าปี สิบปี สิบห้าปี........... จนกระทั่งเขาโตขึ้นมา จนกระทั่งเขามีความสามารถแข็งแกร่งขึ้นในทุกๆวัน จนกระทั่งเขาอายุ 20 ปี เขาก็ยังคงหาศัตรูพวกนั้นไม่เจอเลย เขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าพวกมันเป็ใคร แล้วทำไมพวกมันจะต้องทำแบบนี้กับพวกเขาด้วย
…………
…………
“พี่ครับ ผมรู้ว่านั่นไม่ใช่พี่แน่ๆ....... เพราะพี่ตายไปแล้วเพื่อปกป้องผม......... ผมเห็นร่างของพี่สลายไปต่อหน้าต่อตา แต่ผมกลับได้แต่ซ่อนอยู่อีกฝั่งไม่กล้าส่งเสียงออกมา นั่นมันเป็ฉากที่โหดร้ายเกินไปสำหรับผม แต่ทำไมแผ่นหลังของเขาถึงทำให้ผมคิดถึงพี่ขึ้นมาได้..............”
“ถ้า์มีจริง แล้ว.........พี่ครับ พี่กำลังมองผมเงียบๆอยู่บน์ใช่ไหมครับ..........”
เย่เทียนเซี่ยถอนหายใจยาวออกมา เขาลุกขึ้นนั่งบนที่นอนอีกครั้ง หลังจากนิ่งเงียบไปสักพักก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้อง
ตอนนี้เป็เวลาเที่ยงตรงซึ่งเป็เวลากินข้าวเที่ยง ซูเฟยเฟยยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่ ไม่กี่วันมานี้เธอคอยทำความสะอาดบ้านของเย่เทียนเซี่ยมาโดยตลอด ความขยันและความพยายามพวกนั้นไม่เหมือนคุณหนูใหญ่ของครอบครัวมหาเศรษฐีเลยสักนิด ในทางกลับกันเธอกลับเหมือนพนักงานในบริษัททำความสะอาดมากกว่า และภายใต้ความขยันของเธอทั้งหลังของเย่เทียนเซี่ยจึงได้สว่างสดใสเหมือนใหม่ เมื่อเย่เทียนเซี่ยมองไปที่เธอ ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยบางสิ่งบางอย่าง
“เทียนเซี่ย รีบมาเร็ว” ซูเฟยเฟยที่ยืนอยู่ชั้นบนมองเย่เทียนเซี่ยที่เพิ่งเดินออกมา จากนั้นก็รีบะโเรียกเขาทันที แม้ว่าเย่เทียนเซี่ยจะย้ำแล้วย้ำอีกว่าเขาสกุลเย่ แต่เธอก็ยังคงเรียกเขาว่าเทียนเซี่ยอย่างถือดี อีกทั้งยังคล่องปากมากขึ้นทุกวันๆอีกด้วย จนสุดท้ายก็เป็เย่ทียนเซี่ยเองที่ต้องปล่อยมันไป
เย่เทียนเซี่ยเงยหน้าขึ้นมองไปที่ตำแหน่งที่ซูเฟยเฟยยืนอยู่ก่อนจะขมวดคิ้วแน่นแล้วก้าวขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว
“เทียนเซี่ย นายดูสิ ประตูห้องนี้เปิดไม่ออกเลย ตอนนี้เหลือแค่ห้องนี้ห้องเดียวที่ยังไม่ได้ทำความสะอาด” ซูเฟยเฟยเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาบนหน้าผากพร้อมกับปัดเส้นผมที่ปรกลงมาบนหน้าผากไปด้วย เพราะหาชุดแยกต่างหากไม่เจอเวลาที่เธอทำความสะอาดเธอจึงต้องใส่ผ้ากันเปื้อนและในตอนนี้บนผ้ากันเปื้อน ใบหน้าและเส้นผมของเธอก็มีฝุ่นเต็มไปหมด แต่ใบหน้าของเธอกลับปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจที่กลับทำให้เธอดูงดงามยิ่งขึ้น และก็ทำให้หัวใจของเย่เทียนเซี่ยเต้นถี่แรงอีกด้วย
“ห้องนี้ไม่ต้องทำความสะอาด” สีหน้าของเย่เทียนเซี่ยมีแววจริงจังในแบบที่ซูเฟยเฟยมองไม่เห็น “ห้องอื่นๆที่นี่จะทำยังไงก็แล้วแต่เธอ แต่ห้องนี้เธอเข้าไปไม่ได้เด็ดขาด เข้าใจไหม?”
ซูเฟยเฟยอึ้งไปพร้อมกับความไม่พอใจที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาทีละน้อย “ทำไมล่ะ หรือว่าข้างในนี้......... โอ้ ข้างในนี้คงไม่ได้ซ่อนอะไรบางอย่างที่นายไม่อยากให้คนอื่นเห็นเอาไว้หรอกนะ”
“เธอจะคิดอย่างนั้นก็ได้ สรุปคือห้ามเข้าไปแค่นั้นแหละ” เย่เทียนเซี่ยพูดอย่างจริงจัง
แต่ความเข้าใจที่เขามีต่อผู้หญิงไม่ได้มีมากมายขนาดนั้น ความอยากรู้อยากเห็นของผู้หญิงนั้นมีมากมายจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่ที่เธอถือว่าเป็บ้าน ยิ่งเป็สถานที่ที่ไม่อยากให้เธอรู้ เธอก็ยิ่งปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะรู้ให้ได้
“เอาล่ะๆ” ซูเฟยเฟยทำปากยื่น เธอพยักหน้าแล้วพูดออกไป “ข้าวเที่ยงทำเสร็จแล้ว นายไปกินก่อนเถอะ........เอ่อ หรือว่านายจะไปอาบน้ำก่อนล่ะ ตัวนายมีกลิ่นเหงื่อหน่อยๆด้วย นี่อาจจะลดเสน่ห์ความเป็ผู้ชายของนายลงไปได้เลยนะ เอาล่ะ รีบไปอาบน้ำเถอะ!”
ซูเฟยเฟยพูดไปด้วยพร้อมกับดันหลังเย่เทียนเซี่ยให้ลงไปด้านล่างด้วย เย่เทียนเซี่ยดมกลิ่นของตัวเองไปมา.......เอาเถอะ วันนี้อากาศร้อนมาก อาบน้ำเย็นทุกวันตอนเที่ยงก็ดูเหมือนจะไม่เลวเหมือนกัน
ซูเฟยเฟยเหมือนพี่เลี้ยงเด็กที่ทำอาหารเสร็จแล้วก็จัดวางขึ้นโต๊ะ เธอบิดี้เีแล้วนั่นเท้าคางอยู่บนโต๊ะ มือขาวของเธอเคาะโต๊ะอย่างไม่รู้ตัว สีหน้าของเธอเงียบงัน แต่แล้วเธอก็เผยรอยยิ้มน้อยๆขึ้นมา หูของเธอฟังเสียงน้ำหยดเปาะแปะที่ดังแว่วมา ตอนนี้เธอเริ่มคุ้นชินกับการอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับผู้ชายแล้ว แล้วเธอก็ไม่ได้ใจเต้นแรงอย่างสับสนตอนได้ยินเสียงผู้ชายอาบน้ำด้วย และตอนนี้......เธอก็ทำอาหารเสร็จแล้วและกำลังนั่งรอเขาอยู่ที่โต๊ะอาหารเงียบๆ ฉากแบบนี้เธอเคยได้เห็นและได้อ่านมาจากทีวีและนิยายเท่านั้น ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าฉากแบบนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเองเร็วขนาดนี้.......แต่เธอก็พบว่าตัวเธอเองที่เกลียดการรอคอยอย่างเห็นได้ชัดกลับมีความสุขแปลกๆกับความรู้สึกที่ต้องรอคอยอย่างตอนนี้ ทุกครั้งที่เป็แบบนี้เธอจะคิดว่าตัวเองชอบเขาเข้าแล้วโดยไม่ระวังหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นทำไมเธอถึงไม่สงสัยอะไรในตัวเขาเลย และยังยอมทำอาหารให้เขารวมทั้งนั่งรอเขาอีก
มันน่าจะเป็ความชอบสินะ หรือบางทีมันอาจจะเป็ความรู้สึกอยากพึ่งพาและขอบคุณ...... เพียงแต่ว่า เธอสูดหายใจเข้าไปเล็กน้อย ต่อให้มันเป็ความชอบจริงๆ ก็ดูเหมือนว่ามันจะเป็ความชอบที่ไม่มีทางสมหวัง เพราะเธอเข้าใจดีว่าสายตาที่เขามองมาที่เธอแม้ว่ามันมักจะมีความชื่นชมอยู่ในนั้น แต่จริงๆแล้วเขาดูเหมือนจะจงใจรักษาระยะห่างกับเธอเอาไว้ อีกทั้งเขายังเริ่มพูดกับเธอก่อนน้อยมากจริงๆ
เมื่อกวาดตามองไปทางห้องของเย่เทียนเซี่ย ซูเฟยเฟยก็ลุกขึ้นแล้วเปิดประตูห้องนั้นเข้าไป เตียงนอนที่ปรากฏสู่สายตายังคงยุ่งเหยิง เธอเก็บกวาดมันอย่างตั้งใจแล้วสายตาของเธอก็กวาดมองไปยังลิ้นชักข้างเตียงโดยไม่ตั้งใจ เธอลังเลอยู่สักพักแต่ก็อดที่จะใจเต้นตูมตามไม่ได้ เธออยากจะรู้ในสิ่งที่เธอสงสัย เธอเดินเข้าไปแล้วเปิดลิ้นชักชั้นบนสุดอย่างระมัดระวัง
ในลิ้นชักอันว่างเปล่ามีเพียงกุญแจดอกหนึ่งนอนนิ่งอยู่ที่มุมในสุดของลิ้นชักเท่านั้น
ซูเฟยเฟยหยิบกุญแจดอกนั้นขึ้นมาอย่างสงสัยจากนั้นก็คิดอะไรขึ้นมาได้ เธอดันลิ้นชักนั้นกลับเข้าไปโดยไม่ได้สนใจว่าลิ้นชักด้านล่างอีกไม่กี่ช่องนั้นจะมีอะไรอยู่ภายใน เธอเดินอย่างรีบร้อนจนแทบจะกลายเป็วิ่งไปที่ชั้นบน บางทีนี่อาจจะเป็กุญแจของห้องที่ถูกล็อกเอาไว้ห้องนั้น
ความอยากรู้อยากเห็นสามารถฆ่าแมวตัวหนึ่งได้ฉันท์ใดมันก็สามารถฆ่าหญิงสาวทุกคนได้ฉันท์นั้น
เมื่อเธอสอดกุญแจเข้าไปในช่องแล้วหมุนเบาๆทันใดนั้นเสียงตัวล็อกที่ขยับเล็กน้อยก็ดังขึ้นมา ประตูห้องที่ล็อกอย่างแ่าส่งเสียงออกมายามประตูถูกเปิดออก ใบหน้าของซูเฟยเฟยปรากฏความตื่นเต้นและความระแวง........ และยังมีความพึงใจที่ได้ค้นพบความลับเล็กๆของเขาอีกด้วย ซูเฟยเฟยเหลือบตามองไปทางห้องน้ำเหมือนขโมยก่อนจะผลักประตูเข้าไป
กลิ่นที่ทำให้คนมึนเมาพุ่งเข้ามาทันที แม้ว่าเธอจะรู้จักน้ำหอมราคาแพงบนโลกนี้เป็อย่างดีแต่เธอก็ไม่เคยัักับกลิ่นหอมที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจมากมายเท่านั้น กลิ่นหอมหวานชวนมึนเมานี่คืออะไร ในที่สุดตอนนี้เธอก็ได้รู้แล้ว มันช่างเป็กลิ่นอายที่สามารถทำให้คนอยากจะลุ่มหลงมัวเมาจริงๆ
เมื่อมองเห็นทุกอย่างในห้องนี้เธอก็ยืนนิ่งอยู่ในนั้นสักพักโดยไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป
ผ้าม่านสีม่วงอ่อนปิดบังหน้าต่างเอาไว้ทำให้แสงสว่างที่ลอดเข้ามาภายในห้องนี้ถูกบดบังจนกลายเป็สีม่วงเรือๆ สีม่วงเป็สีที่สูงสง่าในวัฒนธรรมหัวเซี่ย สีม่วงแสดงถึงกลิ่นอายของเทพเซียน และที่อยู่ตรงหน้าของเธอในตอนนี้ก็คือห้องสีม่วงอันอ่อนหวาน
พื้นไม้ไผ่ด้านล่างปูพรมสีม่วงทับอีกชั้น ไร้ที่ติ....ดวงตาของเธอในตอนนี้มองไม่เห็นรอยตำหนิเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว หนังห้องที่ติดวอลเปเปอร์รูปดวงดาวทำให้ห้องนี้อบอุ่นและอ่อนโยน ตู้เสื้อผ้าไม้สีอ่อนและโต๊ะเครื่องแป้งมีกลิ่นอายหรูหราส่งออกมา แค่มองก็รู้ว่ามันจะต้องแพงมากอย่างแน่นอน แล้วยังมีโซฟาผ้าสีม่วง หมอนอิงที่กระจัดกระจายอยู่ข้างเตียง และยังมีเตียงนอนและผ้าม่านลายลูกไม้นั่นอีก.........
มันเป็ห้องนอนของผู้หญิงคนหนึ่งที่แสนอบอุ่นราวกับความฝัน ซูเฟยเฟยแน่ใจว่าตัวเธอเองไม่เคยเข้ามาในห้องนี้มาก่อน และยิ่งไม่เคยทำความสะอาดห้องนี้ด้วย แต่เทียบกับด้านนอกที่เคยเต็มไปด้วยความสกปรกแล้ว เมื่อก้าวเข้ามาในห้องนี้เธอก็รู้สึกราวกับเพิ่งก้าวออกมาจากโลกหนึ่งสู่โลกใบใหม่อีกใบ
เธอยืนนิ่งอึ้งอยู่ในนั้น ซูเฟยเฟยทำได้แค่มองไปโดยรอบอย่างตกตะลึงแต่กลับไม่ได้เดินเข้าไปด้านในอีกแม้แต่ก้าวเดียว ในใจลึกๆของเธอกลัวว่าจะทำให้ห้องที่ไร้ที่ติห้องนี้แปดเปื้อน
ห้องของผู้หญิง........ ทำไมในบ้านหลังนี้ถึงมีห้องของผู้หญิงอยู่ได้ ไหนจะทั้งสะอาดอบอุ่นและหรูหราแบบนี้อีก........ เพราะเขาตั้งใจทำความสะอาดทุกวันหรือเปล่า? แล้วผู้หญิงที่อยู่ที่นี่ล่ะ......... เธอเป็ใคร แล้วเธอไปไหนแล้ว.....
เสียงฝีเท้าที่จงใจก้าวลงไปอย่างหนักหน่วงดังขึ้นอยู่ข้างหูของเธอทำให้เธอตื่นขึ้นจากโลกแห่งภาพลวงตา เธอหันกลับมาก็ได้เห็นใบหน้าน่ากลัวที่แสนเ็า......... ั้แ่อยู่ร่วมกันมาหลายวันไม่ว่าเธอจะล้ออะไรเขา หรือยกเื่อมยิ้มขึ้นมาเยาะเย้ยเขา หรือทำเื่สร้างความเสียหายเล็กๆน้อยๆอะไรเขาก็ไม่เคยโกรธจริงๆเลยสักครั้ง.......... นี่เป็ครั้งแรกที่เธอเห็นเขาแสดงสีหน้าน่ากลัวขนาดนี้ออกมา สีหน้าแบบนี้ทำให้ความกลัวผุดขึ้นมาในใจของเธอ หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว
