เล่มที่ 4 บทที่ 104
ครั้นกลับมาที่เรือนม่อเหอ มู่หรงฉิงขอให้ชุ่ยเอ๋อร์นำยามาให้ หลังจากมองดูรอยแดงบนแผ่นหลังของเฉินเทียนหยู นางพลอยรู้สึกเป็ทุกข์ใจ “ท่านพี่ช่างโง่เง่าจริงๆ ถูกตีเป็รอยแดงแล้ว ท่านพี่ไม่เจ็บหรือ?”
“ไม่เจ็บ ตราบใดที่ไม่ตีน้องหญิง ข้าก็มีความสุขแล้ว” ฉีกยิ้มอย่างมีความสุข ยามที่นางใช้ยาทาบริเวณที่มีอาการาเ็ ความรู้สึกเย็นสดชื่นทำให้เขาสบายตัวเป็อย่างมาก หลังจากทายาจนทั่วแล้ว ในจังหวะที่มู่หรงฉิงกำลังสวมชุดให้กับเขา เฉินเทียนหยูก็พูดด้วยอาการตื่นเต้นว่า “น้องหญิง เมื่อหลายอึดใจก่อน ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าข้าจะไปที่ไหนก็ไปที่นั่น และไม่ต้องแจ้งให้ฮูหยินผู้เฒ่าทราบอีกต่อไปแล้วใช่หรือไม่?”
“เป็คำพูดขุ่นเคืองของฮูหยินผู้เฒ่า จะจริงจังกับมันได้อย่างไร?”
“ข้าไม่สน ถึงอย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่าก็พูดไปแล้ว ข้าไม่จำเป็ต้องไปแจ้งฮูหยินผู้เฒ่าอีกต่อไปแล้ว เร็วเข้า พวกเราไปกันเวลานี้เลย พวกเราไปเก็บผลไม้เดี๋ยวนี้เลย” เมื่อเฉินเทียนหยูนึกถึงผลไม้จำนวนนับไม่ถ้วนที่แขวนอยู่บนกิ่งไม้ เขาก็มีความสุขเป็อย่างมาก
มู่หรงฉิงสอนเฉินเทียนหยูเป็เวลานานขณะอยู่ที่โรงเตี๊ยมโดยบอกวิธีการพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าว่าควรจะพูดอย่างไร ถึงจะไม่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าอารมณ์เสีย และยอมตกลงที่จะให้เขาออกจากจวน แต่ไม่คาดคิดเลยว่า เฉินเทียนหยูกลับกระตือรือร้นที่จะปกป้องภรรยา จนทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโมโห กระทั่งเอ่ยคำพูดที่ขุ่นเคืองเช่นนั้นออกมา
และสิ่งที่มู่หรงฉิงไม่คาดคิดมากกว่าคือ เฉินเทียนหยูผู้ขาดความเฉลียวฉลาดและไหวพริบคนนี้กลับทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธเกรี้ยวมากถึงเพียงนั้น ทว่าเขากลับยังคงคิดถึงผลไม้ ควรจะพูดว่าเขาไร้ความคิดเกินไป? หรือควรจะพูดว่าเขาน่าโมโหมากเกินไป?
มู่หรงฉิงเห็นเฉินเทียนหยูจัดของอย่างมีความสุขก็ถอนหายใจโดยปราศจากเสียง ท่านพี่ของนางคนนี้ ปฏิบัติต่อคนที่เขาชอบ ดีเสียจนไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร แต่ในทางกลับกันถ้าปฏิบัติต่อผู้อื่น กลับทำให้ผู้คนเ็ปโดยไม่รู้ตัว
“ไปกันเถอะ ไปกันเถอะ” เฉินเทียนหยูแบกสัมภาระบนหลัง และดึงมู่หรงฉิงหมายจะออกไป มู่หรงฉิงก็อับจนหนทาง จึงเอ่ยถามเฉินเทียนหยูว่า “สิ่งที่ท่านพี่แบกนั้นคืออะไรหรือ?”
“สัมภาระ” ด้วยคำง่ายๆ แต่การตอบคำถามนั้นมีความจริงจังมาก “ข้าอยากจะเอาสัมภาระไปเยอะๆ แล้วเอาผลไม้จำนวนมากกลับมา”
มู่หรงฉิงถึงพูดไม่ออก จากนั้นจึงดึงเฉินเทียนหยูกลับเข้าไปในเรือนเพื่อเก็บเสื้อผ้าสองสามชุดอย่างเงียบๆ ก่อนะโบอกคนที่อยู่ด้านนอก “ปี้เอ๋อร์”
“คุณหนูใหญ่้าอะไรหรือ?” ปี้เอ๋อร์ตอบรับและรีบเดินเข้ามา ครั้นเห็นว่าทั้งสองคนกำลังถือสัมภาระอยู่ นางก็ตกตะลึง “คุณหนูใหญ่ คุณชายรอง จะไปไหนหรือ?”
“คุณชายรองบอกว่า เขาไม่สบอารมณ์และ้าไปเดินเล่นที่วัด ชุ่ยเอ๋อร์ ชุนรุ่ยและชิวเหอรออยู่ในจวน และเ้าไปกับพวกเรา บางทีอาจจะใช้เวลาสามถึงห้าวัน เ้าจงเตรียมเสื้อผ้าไปสักสองชุดเพื่อเปลี่ยนด้วย”
เมื่อได้ยินว่ากำลังจะไปวัด ชุ่ยเอ๋อร์ที่เพิ่งเข้ามาพร้อมน้ำชาก็หัวเราะออกมาด้วยเสียงเบา “คุณชายรองเศร้าแล้วใช่หรือไม่? ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธแล้ว กลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่สบาย? จึงเป็เหตุผลที่อยากไปสวดมนต์ขอพรที่วัดใช่หรือไม่?”
“หลายอึดใจก่อน คุณชายรองพูดว่าวัดบนูเาเงียบสงบ และไม่ต้องใช้เวลานาน คุกเข่าครึ่งวันก็นับได้ว่าเป็การกตัญญู คุณชายรองเพิ่งทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธ จึงรู้สึกผิด นี่ก็พยายามตอแยบอกว่าจะไป แต่ก็เกรงว่าฮูหยินผู้เฒ่ายังคงโกรธไม่หาย ชุ่ยเอ๋อร์ เ้าไปสารภาพผิดต่อฮูหยินผู้เฒ่าสัก่สายๆ โดยบอกว่าคุณชายรองรู้ว่าตัวเองทำผิดไปแล้ว และจะไปสวดมนต์ อย่างมากสามถึงห้าวันก็จะกลับมา”
มู่หรงฉิงรู้สึกว่าความสามารถในการพูดโกหกของนางเริ่มพัฒนาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หากเป็เช่นนี้ต่อไป ถ้าไม่ฝึกจนถึงจุดที่ความรู้และฝีมืออยู่ในระดับสุดยอด คงต้องรู้สึกผิดต่อเฉินเทียนหยูที่ถูกใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลังจากได้ยินคำพูดของมู่หรงฉิง ชุ่ยเอ๋อร์ก็รู้ว่าฮูหยินน้อยกำลังพยายามแก้ตัวให้คุณชายรอง หากพิจารณาจากอุปนิสัยปัจจุบันของคุณชายรอง นางนึกรู้ทันทีว่าคุณชายรองจะตระหนักถึงความรู้สึกผิดเสียที่ไหน คาดว่าหลังจากแต่งงาน เนื่องจากอยู่ในจวนเป็เวลานานมากและไม่อาจอยู่ในจวนต่อไป จึงรบเร้าฮูหยินน้อยให้ขึ้นไปเล่นบนเขา
คิดได้ดังนั้น ชุ่ยเอ๋อร์พูดกับมู่หรงฉิงว่า “บ่าวรับทราบแล้ว เพียงแต่บนูเามีสัตว์ร้าย ถึงแม้ว่าปี้เอ๋อร์จะมีทักษะในการต่อสู้ แต่ถึงอย่างไร ปี้เอ๋อร์ก็เป็ผู้หญิง แต่เพื่อความปลอดภัยของฮูหยินน้อยและคุณชายรอง จะเป็การดีที่จะเรียกจ้าวจื่อซินและชิงยวี่ไปด้วย”
แม้ชุ่ยเอ๋อร์จะไม่มีความรู้สึกดีต่อจ้าวจื่อซิน แต่กระนั้นทักษะของเขาก็ไม่เลวซึ่งเป็ความจริงที่เถียงไม่ได้ที่ว่า บนูเามีสัตว์ร้าย มิหนำซ้ำยังมีอันตรายที่ไม่รู้อีกมากมาย หากคุณชายรองสูญเสียการควบคุม อย่างน้อยยังมีจ้าวจื่อซินที่สามารถควบคุมมันได้
มู่หรงฉิงตอบว่า 'ก็ใช่' และหลังจากสั่งกำชับกับชุ่ยเอ๋อร์ ทั้งสามคนจึงไปที่เรือนหยางเซิงพร้อมกับแบกสัมภาระของตนเอง
คุณชายรองทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธแล้ว และเนื่องจากรู้สึกผิดจึงพาฮูหยินน้อยไปสวดมนต์ขอพรที่วัด เื่ดังกล่าวได้แพร่สะพัดไปทั่วจวนภายในระยะเวลาสั้นๆ
แม่รองเฉินเล่นกับแมงป่องที่อยู่ในมือ ฟังการรายงานของหลิงเอ๋อร์พลางพูดด้วยรอยยิ้มอย่างนุ่มนวล “ความคิดนี้มีเพียงมู่หรงฉิงที่คิดได้ จะบอกว่านางโง่ และนางก็โง่จริงๆ นางหนีไปเช่นนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยิ่งไม่พอใจนาง ต่อจากนี้ไป พวกเราคงไม่ต้องยุ่งอะไรมากแล้ว แค่รอนางกลับมา นางจะมาหาพวกเราด้วยตัวเอง”
“มู่หรงฉิงออกไปกับปี้เอ๋อร์ บางทีคราวนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเ้านายกับบ่าวรับใช้น่าจะดีอีกหน และความพยายามก่อนหน้านี้ที่พวกเราทำก็จะสูญเปล่า”
“ยิ่งให้ความหวังกับนางมากเท่าไร หากพลาดพลั้งก็จะสิ้นหวังมากขึ้น เมื่อยวี้เอ๋อร์เกือบจะดีขึ้นแล้ว มู่หรงฉิงรู้สึกเห็นใจที่มือของนางใช้การไม่ได้ มู่หรงฉิงจะต้องดีกับนางมาก จากนั้นพวกเราก็จะทำงานให้มากขึ้น ถึงเวลานั้น เกรงว่าเป็เื่ยากที่ปี้เอ๋อร์จะจงรักภักดีต่อมู่หรงฉิงอีก” พูดจบก็โยนแมงป่องลงพื้น พลางหาวนอน “หน้าร้อนย่อมเหมาะที่จะนอน เวลาบ่ายเช่นนี้ถ้าไม่พักผ่อนเสียหน่อย คงจะไม่ได้”
ระหว่างพูด ทางด้านมู่หรงฉิงและผู้ติดตามได้ออกจากสวนด้านหลังจวนเฉิน โดยขึ้นรถม้าธรรมดาและมุ่งหน้าไปยังวัดเหรินเซี่ยวบนูเา หลังจากผ่านไปราวสองชั่วยาม ครั้นเห็นว่าแดดแรงมาก คนขับรถม้าจึงขับรถม้าเข้าไปในป่าอันร่มรื่น หลังจากพักเป็เวลาครึ่งชั่วยาม รถม้าถึงได้เคลื่อนไปยังถนนใหญ่อีกหนและเดินตามถนนต่อไป
“ไม่คาดคิดเลยว่าไม่มีใครตามมาเลย ซึ่งทำให้ข้าประหลาดใจจริงๆ” หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม รถม้าจึงเคลื่อนที่ออกจากป่าซึ่งรอบด้านมีความเหมือนกันทุกประการ และแม้กระทั่งสารถีที่ขับรถม้ายังมีหน้าตาคล้ายกันมาก
ด้วยโอกาสที่หายาก แม่รองเฉินกลับไม่ได้ทำอะไร ทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“พวกเราเดินทางอย่างกะทันหันเกินไป นอกจากนี้ยังเป็การตัดสินใจอย่างกะทันหันอีกด้วย แม้ว่ายวี้เอ๋อร์อยากจะบอกอนุอะไรของนาง ถึงกระนั้นก็ไม่มีเวลาและไม่มีโอกาส” จ้าวจื่อซินพูดพลางเอนตัวพิงรถม้าอย่างเกียจคร้าน
เมื่อคืนเขาต้องทรมานเป็เวลานาน ฉะนั้นเขาจึงนอนตลอดทั้งเช้า แต่เขาก็ยังคงรู้สึกเหนื่อยล้าเป็อย่างมาก
“บ่าวคิดว่า ถ้าหนิงเชียนหรงรู้ว่าคุณหนูใหญ่ออกจากจวนเฉิน นางจะต้องฆ่าพวกเราโดยไม่เสียดายค่าใช้จ่ายอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายที่พวกเราคิดออกมาอย่างกะทันหัน ไม่ได้ให้โอกาสยวี้เอ๋อร์ได้รายงานข่าว และแม่รองเฉินในอีกด้านหนึ่ง คาดเดาว่าจะไม่ฆ่าพวกเราในเวลานี้” ปี้เอ๋อร์อธิบายถึงการวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งมู่หรงฉิงก็พยักหน้า “แม่รองเฉินยังคง้าเก็บพวกเราไว้สักพักหนึ่ง เพียงแต่หลังจากกลับจวนในคราวนี้ เ้าอาจจะต้องยุ่งอีกสักเล็กน้อย ถึงเวลานั้น อย่าทำการแสดงพังล่ะ”
คนเราก็เป็เช่นนี้แล เมื่อเ้าไม่รู้ว่าใครเป็ศัตรู เ้ามักจะสับสน ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร แต่หลังจากรู้ว่าจิตใจของใครเป็เหมือนงูและแมงป่อง สมองของเ้าจะแจ่มใส และสามารถเดาได้แม้กระทั่งคู่ต่อสู้จะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไป
ปี้เอ๋อร์สนทนากับมู่หรงฉิงเป็เวลานาน กระทั่งฟ้ามืด รถม้าจึงได้ไปถึงสถานที่รกร้างปราศจากผู้คน แต่ก่อนที่จะเห็นชัดเจนว่าอยู่ที่ไหน มู่หรงฉิงกลับได้ยินเสียงดังก้อง เมื่อมันเงียบลง จ้าวจื่อซินก็ลุกขึ้นและลงจากรถม้า “ลงมาเถอะ ถนนต่อจากนี้จะไม่สบายมากนัก”
คำพูดของจ้าวจื่อซินถูกต้องไม่มีผิด หลังจากคนสองสามคนลงจากรถม้า พวกเขาก็พบว่ากำลังยืนอยู่ในถ้ำซึ่งมีทางเข้ากว้างขวาง สามารถจอดรถม้าได้ถึงสิบคันอย่างไม่มีปัญหา แต่ยิ่งเดินเข้าไปข้างใน ความกว้างจะลดลง สุดท้ายก็มีความกว้างเพียงรถม้าหนึ่งคันเท่านั้น
“นี่จะให้พวกเราเดินไปจนสุดทางถึงทางออกเลยหรือ?” มู่หรงฉิงรู้สึกสับสนขณะมองดูถนนที่ไม่เห็นจุดสิ้นสุด ถ้าจะเดินต่อไป อีกนานแค่ไหนกว่าจะถึงจุดหมาย?
“ใช้เส้นทางลับนี้ ด้วยฝีเท้าของข้า ในเวลาเกือบทั้งวันก็จะสามารถเดินออกไปได้ ด้วยฝีเท้าของเ้า บางทีอาจจะต้องใช้เวลาหนึ่งวัน หนึ่งคืนในการเดินถึงทางออก” จ้าวจื่อซินก้าวเท้าไปข้างหน้าและเดินเข้าไป คำพูดนั้นทำให้หัวใจของมู่หรงฉิงรู้สึกสะท้านเล็กน้อย
ใช้เวลาเดินหนึ่งวันหนึ่งคืน จะไม่ทำให้คนเหนื่อยตายหรือ?
ครั้นเห็นใบหน้าที่ออกอาการสับสนของมู่หรงฉิง เฉินเทียนหยูจึงช้อนตัวมู่หรงฉิงอุ้มขึ้นโดยไม่ได้คิดอะไร “น้องหญิงอย่ากลัว ข้าจะอุ้มน้องหญิงเอง”
นั่นเป็ประโยคแรกที่เฉินเทียนหยูพูดั้แ่ออกจากจวนซึ่งทำให้มู่หรงฉิงอบอุ่นหัวใจ
“ใครบอกว่าจะต้องเดินเล่า? ด้านหน้ามีม้าอยู่ตรงหัวมุม ถ้าเดินไปจริงๆ จะไปถึงที่นั่นเมื่อไรหรือ?” จ้าวจื่อซินหันศีรษะกลับไปจึงเห็นมู่หรงฉิงมองเฉินเทียนหยูด้วยใบหน้าเก้อเขิน ส่งผลให้หัวใจของเขาไม่มีความสุขทันทีทันใด เดิมทีอยากจะหยอกล้อมู่หรงฉิง แต่ไม่คาดคิดเลยว่ากลายเป็การช่วยเหลือให้เ้าโง่เฉินเทียนหยูได้บรรลุผลสมความปรารถนา
เมื่อเดินไปถึงหัวมุม จะเห็นม้าพันธุ์ดีห้าตัวยืนอยู่บนถนนโดยปราศจากเสียง จ้าวจื่อซินพูดพึมพำในใจ 'ถ้าเ้ามีความสามารถ เ้าก็อุ้มม้าเดินไปด้วยสิ’ ะโขึ้นไปบนหลังม้าด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์
เฉินเทียนหยูวางมู่หรงฉิงลงบนหลังม้าอย่างระมัดระวัง หลังจากรับรองได้ว่านางจับสายบังเหียนและไม่มีทีท่าจะตกลงมา เขาถึงะโขึ้นม้าที่อยู่เคียงข้างกัน
“น้องหญิง น้องหญิงกลัวการขี่ม้า”
คำพูดของเฉินเทียนหยู ไม่ใช่สงสัยแต่เป็การรับรอง หลังจากเห็นนางนั่งบนหลังม้าด้วยร่างกายแข็งทื่อ เฉินเทียนหยูจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ยิ่งได้เห็นนางจับสายบังเหียนด้วยท่าทางประหลาด เฉินเทียนหยูก็หัวเราะทันที “น้องหญิงขี่ม้าไม่เป็ น้องหญิงโง่มาก”
“ข้าก็แค่ไม่เคยขี่ม้ามาก่อนก็เท่านั้น” ครั้นได้ฟังเฉินเทียนหยูพูดติดตลก มู่หรงฉิงก็โต้กลับอย่างไม่มั่นใจว่า “ท่านพี่ขี่ม้าครั้งแรก ท่านพี่ก็ขี่เป็เลยหรือ?”
“หือ? ข้าขี่ม้าครั้งแรกเมื่อไรกัน? ข้าจำไม่ได้แล้ว” เอียงศีรษะและครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นเฉินเทียนหยูก็จบการทวนความทรงจำด้วยการส่ายศีรษะ เมื่อเห็นมู่หรงฉิงดึงสายบังเหียนด้วยทีท่าอันน่าตลกเกินไป เขาจึงหนีบท้องม้าพลางกระตุกสายบังเหียน ขยับเข้าหามู่หรงฉิง ก่อนย้ายตัวเองไปนั่งซ้อนบนหลังม้าตัวเดียวกับมู่หรงฉิง
“ข้าชอบการขี่ม้ามากเลย ขี่ม้าล่ากระต่าย น่าสนุกมากที่สุด” เฉินเทียนหยูพูดพร้อมกุมมือของนางทับสายบังเหียน ในขณะเดียวกันก็กอดร่างบอบบางของนางไว้ในอ้อมแขน “น้องหญิง ไม่ต้องกลัว ม้าเก่งมาก มันจะไม่เหวี่ยงและไม่ทำให้น้องหญิงตกลงไป น้องหญิงต้องทำเช่นนี้ น้องหญิงดู มือจะต้อง...”
เป็เื่ยาก เฉินเทียนหยูสอนนางขี่ม้าในฐานะครู แต่เบ้าตาทั้งสองข้างของมู่หรงฉิงคลอด้วยหยาดน้ำตา
เฉินเทียนหยูในเวลานี้ดูเหมือนคนโง่เสียที่ไหน? เขาพูดอย่างชัดเจน และสิ่งที่เขาสอนนั้นมีความจริงจังและชัดเจนเพิ่มมากยิ่งขึ้น และเมื่อถูกเขาจับไว้ มู่หรงฉิงรู้สึกเพียงว่า แม้เสียงของเขาจะยังคงไร้เดียงสา แต่กลับทำให้นางรู้สึกสบายใจอย่างอธิบายเป็คำพูดไม่ถูก...
ครั้นเห็นดวงตาของมู่หรงฉิงกลายเป็สีแดง ปี้เอ๋อร์จึงลอบถอนหายใจ ทันทีที่นางดึงสายบังเหียน นางก็ควบม้าผ่านทั้งสองคนและควบม้าไปข้างหน้า และตอนที่เห็นจ้าวจื่อซินดึงสายบังเหียนและเตรียมจะหันกลับไป นางย่อมไม่ลังเลที่จะขี่ม้าขวางทาง “จ้าวจื่อซิน เวลานี้เ้าไม่ต้องสร้างปัญหาอีกต่อไปแล้ว คุณหนูใหญ่ลำบากมากพอแล้ว”
ปี้เอ๋อร์รู้สึกอย่างคลุมเครือว่า การปล่อยให้จ้าวจื่อซินเข้าใกล้คุณหนูใหญ่ย่อมไม่ใช่เื่ดีนัก อย่างน้อยสำหรับคุณหนูใหญ่แล้ว จ้าวจื่อซินจะต้องไม่อยู่ใกล้เกินไป
จ้าวจื่อซินเหลือบมองปี้เอ๋อร์ปราดหนึ่งอย่างเ็า จากนั้นเลื่อนสายตาไปมองม้าที่เดินช้าๆ เขาเห็นมู่หรงฉิงเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เฉินเทียนหยู ยามที่ทั้งคู่สบตากัน เขารู้สึกว่าความปรองดองของคนทั้งคู่ช่างเจิดจ้าทิ่มแทงดวงตาเป็อย่างมาก มือของเขาจับสายบังเหียนแน่นก่อนดึงสายบังเหียนเต็มแรงและเดินหน้าต่อไป
การเดินทางในครั้งนี้สำหรับมู่หรงฉิงแล้ว นี่เป็ความทรงจำที่สวยงาม อย่างน้อยคราวนี้เฉินเทียนหยูก็ทำให้นางสบายใจ ความอ่อนโยนและความเอาใจใส่อย่างรอบคอบของเขาที่มีต่อนาง ทำให้นางเอนตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขาโดยไม่รู้ตัว แผงอกแข็งแรงคล้ายจะเป็ยาใจที่ทำให้นางกล้าก้าวต่อไปมากขึ้น แม้ว่าอนาคตจะยากลำบาก แต่อย่างน้อยก็จะมีเฉินเทียนหยูคอยอยู่เคียงข้างนางไม่ใช่หรือ?