บทที่ 52 ใครไม่เข้าพวก
พญาวานรเป็ลูกสมุนของหญิงสาวคนนี้? ฉินชูมองหน้าซั่งซูอวี๋ด้วยความสงสัย
“สัตว์อสูรจำแลงกายเป็มนุษย์ นางเพิ่งบรรลุตบะขั้นที่หก เนื่องจากเพิ่งจำแลงกายจึงอ่อนแอ ทำให้มีสภาพเหมือนที่พวกเราเห็นนางในตอนแรก” ซั่งซูอวี๋พูดขึ้น
“แน่ใจหรือ” ฉินชูไม่ค่อยเชื่อเท่าไร นางสวยออกขนาดนั้นจะเป็สัตว์อสูรได้อย่างไร
ซั่งซูอวี๋พยักหน้า “คร่าวๆ ก็พอยืนยันได้ เพราะว่าจังหวะการหายใจของนางยังไม่สมบูรณ์ จึงแตกต่างจากการหายใจของมนุษย์อยู่เล็กน้อย แต่อีกไม่นาน การแปลงร่างคงเสร็จสมบูรณ์ นางมองข้าด้วยสายตาเป็ปรปักษ์ ดวงตาแฝงจิตสังหาร เพราะข้าเป็คนฆ่าพญาวานร”
“ขั้นที่หก... แบบนี้มันไม่น่ากลัวเกินไปหรือ” ฉินชูกุมขมับ
“โบราณสถานชิงหวางตกทอดมาเป็เวลาช้านาน พวกสัตว์อสูรเปี่ยมพร์ที่หลุดเข้ามาที่นี่ในยุคแรกๆ ย่อมเติบโตขึ้นตามกาลเวลา” ซั่งซูอวี๋พูดขึ้นอย่างใไม่แพ้กัน แต่ด้วยนิสัยที่เยือกเย็นสุขุม จึงไม่ได้แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาเหมือนกับฉินชู
“บางทีเ้าอาจพูดถูก” ฉินชูพูดขึ้น
“อืม ที่เอวของนายคืออะไร” ซั่งซูอวี๋เหลือบมองแผลที่หน้าท้องของฉินชู
เมื่อได้ยินคำพูดของซั่งซูอวี๋ ฉินชูก็ก้มหน้ามองที่เอวของตัวเอง มีป้ายหยกทรงเหมือนสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนเหน็บอยู่ที่เข็มขัดที่เอวของเขา
“นี่คืออะไร” ฉินชูหยิบป้ายหยกขึ้นมา
ซั่งซูอวี๋รีบก้าวเข้ามาและวิเคราะห์ป้ายหยกกับฉินชู ตอนที่ฉินชูเข้ามาที่นี่ ยังไม่มีของพรรค์นี้เหน็บอยู่ที่เอวเลย
หลังจากวิเคราะห์กันอยู่สักพัก ฉินชูกับซั่งซูอวี๋ก็มองตากันไปมา และแล้วก็ลงความเห็นเป็เสียงเดียวกันว่าป้ายหยกทรงสี่เหลี่ยมเหมือนขนมเปียกปูนนี้คือป้ายลัญจกรชิงหวาง
ก่อนเข้ามา เหล่าผู้าุโของสำนักชิงหยุนได้อธิบายลักษณะเด่นของป้ายลัญจกรชิงหวางให้เหล่าลูกศิษย์ฟังอย่างละเอียด และป้ายหยกในมือของฉินชูในตอนนี้ก็มีคำว่า ‘ชิง’ สลักอยู่อย่างชัดเจน เป็ป้ายลัญจกรชิงหวางไม่ผิดแน่
“คงเป็ตอนที่นางจับแขนเ้าพยุงตัวเองขึ้น แล้วแอบเหน็บสิ่งนี้ไว้ให้เ้า” ซั่งซูอวี๋พูดขึ้น
“เราได้สิ่งนี้มาด้วยกัน หลังจากกลับไปสำนักชิงหยุน เราจะแบ่งแต้มคุณูปการกันคนละครึ่ง” ฉินชูเก็บป้ายลัญจกรชิงหวางลงก่อนพูดขึ้น
“ฉินชู มีเื่บางเื่ที่เ้าไม่รู้ ท่านเ้าสำนักไม่เคยบอกเื่นี้ให้ลูกศิษย์ในสำนักฟัง แต่เ้าสำนักรุ่นที่สามของสำนักชิงหยุนเคยสั่งเสียเอาไว้ว่าหากผู้ใดหาป้ายลัญจกรชิงหวางเจอ ผู้นั้นจะกลายเป็เ้าของโดยปริยาย อีกทั้งยังกลายเป็ว่าที่เ้าสำนักคนต่อไป ดังนั้น ทางที่ดีที่สุด เ้าอย่าเพิ่งมอบให้ทางสำนักดีกว่า ตอนนี้สถานการณ์ในสำนักค่อนข้างวุ่นวาย ความรับผิดชอบของผู้ป้ายลัญจกรชิงหวางก็หนักยิ่ง” ซั่งซูอวี๋มองหน้าฉินชูพลางเอ่ย
“ทำไมเ้าถึงบอกเื่พวกนี้กับข้า แล้วเ้ารู้เื่พวกนี้ได้อย่างไร” ฉินชูมองซั่งซูอวี๋ เขาเริ่มรู้สึกว่าสถานะของซั่งซูอวี๋ไม่ธรรมดา
“ข้าเคยไปเข้าพบท่านผู้เฒ่าาุโโม่เพื่อขอสืบทอดเคล็ดวิชากระบี่กายสิทธิ์ แต่กลับไม่เป็ผล เพราะท่านผู้เฒ่าบอกว่าได้ถ่ายทอดให้เ้าแล้ว ซ้ำยังบอกเห็นผลว่าเ้าบรรลุวิถีกระบี่ขั้นเจี้ยนหลิงแล้ว ต่อมาข้าจึงฝึกวิชากระบี่ของท่านผู้เฒ่าาุโหลิง ท่านผู้เฒ่ารู้ว่าสักวัน ข้าต้องจากสำนักชิงหยุนไป ดังนั้นจึงเล่าเื่พวกนี้ให้ข้าฟัง และท่านผู้เฒ่าหลิงก็เป็คนสั่งให้ข้ากดตบะตัวเองเพื่อเข้าร่วมสำรวจโบราณสถานชิงหวางแห่งนี้ ถือเป็การขัดเกลาตบะไปในตัว” ซั่งซูอวี๋ตอบฉินชู
“ถ้าไม่มอบให้ แล้วข้าจะเอาอะไรไปแลกกับแต้มคุณูปการเพื่อแบ่งให้เ้า” ฉินชูคิดว่าซั่งซูอวี๋ไม่น่าโกหก เพราะไม่ค่อยมีใครรู้เื่เคล็ดวิชากระบี่กายสิทธิ์เท่าไรนัก
“ข้าไม่สน พวกเราสำรวจตรงอื่นกันเถอะ ดูว่าจะมีของดีอะไรเหลืออยู่บ้าง” พูดจบ ซั่งซูอวี๋ก็เดินนำเข้าไปในหอแห่งหนึ่งทันที
ฉินชูตามเข้ามาในหอ แต่ข้างในกลับว่างเปล่าและไม่มีร่องรอยอะไรเหลืออยู่
เมื่อไม่มีอะไร ฉินชูกับซั่งซูอวี๋ก็ไปสำรวจหออื่นๆ ในเขตพื้นที่หอร้อยชัยต่อ
เขตพื้นที่หอร้อยชัยกว้างขวางมาก แต่ละพื้นที่ล้วนบันทึกประวัติยอดฝีมือผู้ล่วงลับเอาไว้
เวลาสองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ฉินชูกับซั่งซูอวี๋สำรวจมาถึงเขตด้านหลังหอร้อยชัยแล้ว ซึ่งด้านหน้าของพวกเขาตอนนี้เป็ตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง
ประตูตำหนักเขียนตัวหนังสือกำกับไว้ตัวใหญ่ว่า ‘ชิงหวาง’
“ตำหนักชิงหวาง ที่นี่น่าจะเป็พื้นที่ใจกลางของโบราณสถานชิงหวาง” ซั่งซูอวี๋พูดขึ้น
“ถ้างั้นก็มาสำรวจกันเถอะ สำรวจเสร็จค่อยกลับไปรวมตัวกับคนอื่นๆ” ฉินชูพูดขึ้น เขานัดกับพวกไป๋อวี้เอาไว้ว่าจะกลับไปเจอกันที่จุดรวมพลภายในห้าวัน และตอนนี้ก็เป็วันที่สี่แล้ว
เมื่อเข้ามาด้านในตำหนักชิงหวาง ฉินชูกับซั่งซูอวี๋ก็พบกับบัลลังก์แท่นหนึ่งในตำหนัก โดยที่มีกระบี่เล่มหนึ่งเสียบอยู่ด้านขวามือ
ซั่งซูอวี๋เหลือบมองฉินชู เพราะฉินชูผายมือให้นาง เขารู้ดีว่ากระบี่เล่มนั้นอาจเป็สมบัติชั้นเลิศ แต่เขาได้ป้ายลัญจกรชิงหวางไปแล้ว หากเอากระบี่เล่มนี้ไปอีก คงไม่เหมาะสม
เห็นเช่นนั้น ซั่งซูอวี๋ก็เดินเข้ามาที่ด้านหน้าบัลลังก์ เอื้อมมือออกมาจับด้ามกระบี่หมายจะดึงมันขึ้นมา
ครืด!
เสียงกระบี่สั่นสะท้านอย่างรุนแรง ซั่งซูอวี๋ถูกคลื่นพลังกระแทกจนถอยออกมาที่เดิม
กระบี่ยาวยังคงสั่นไหวไม่หยุด แต่ไม่นานก็มีเงาร่างมายาของคนคนหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งเงาร่างมายานั้นก็กำลังมองมาทางฉินชูกับซั่งซูอวี๋
“พวกเ้าเป็ใคร” เงาร่างมายานั้นพูดขึ้น
“ลูกศิษย์แห่งสำนักชิงหยุน นามว่าซั่งซูอวี๋” ซั่งซูอวี๋ประสานมือคารวะเงาร่างมายาพร้อมแนะนำตัว แต่ฉินชูกลับรู้สึกอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาคิดว่าเป็ศิษย์รับใช้ไม่ใช่เื่หน้าอาย แต่ตอนนี้เขากลับไม่กล้าแนะนำตัวเองขึ้นมา
แต่สุดท้ายฉินชูก็ตัดสินใจประสานคารวะเงาร่างมายานั้น “ศิษย์รับใช้แห่งสำนักชิงหยุน นามว่าฉินชู”
“สมัยนี้ ศิษย์รับใช้ฝึกตนจนบรรลุตบะขั้นที่สองระดับสมบูรณ์แล้วกระนั้นหรือ ทั้งที่อายุยังไม่เยอะ” เงาร่างมายานั้นมองพินิจฉินชูก่อนพูดขึ้น
ฉินชูไม่พูดอะไร เขาจะพูดอะไรได้ จริงอยู่ที่ศิษย์รับใช้ก็จัดว่าเป็ลูกศิษย์ของสำนักชิงหยุนเช่นกัน แต่ก็ไม่สำคัญเท่าศิษย์สายในและศิษย์สายหลัก
ยังไม่รอให้ฉินชูตอบกลับ เงาร่างมายานั้นก็โบกมือขึ้นควบคุมกระบี่ลอยขึ้นกลางอากาศและพุ่งเข้าสังหารซั่งซูอวี๋ทันที
ซั่งซูอวี๋ถอยหลังหลบก้าวหนึ่ง กระบี่ยาวพลันถูกชักออกมาตวัดปัดป้องการโจมตีทันที
ฉินชูถอยกลับไปหนึ่งก้าว แต่เป็การถอยหลังกลับไปสังเกตการณ์ ตอนนี้ซั่งซูอวี๋ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไร้แรงจะสู้กลับ
เงาร่างมายาได้แต่โบกมือไปมาสบายๆ แต่กระบี่กลับตวัดฟาดฟันในอากาศราวกับถูกควบคุมโดยมือของผู้ฝึกตนจริงๆ
เวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ซั่งซูอวี๋ถูกโจมตีไล่ต้อนไปจนถึงประตูตำหนัก
“เป็เวลาหนึ่งถ้วยชาแล้ว หายาก ช่างหายากจริงๆ” เงาร่างมายานั้นพูดกับซั่งซูอวี๋
ซั่งซูอวี๋ประสานมือคารวะเงาร่างมายา นางรู้ว่านี่เป็การทดสอบ
“ต่อให้เ้าจะมาถึงตำหนักหลังนี้ได้ แต่เ้าไม่เข้าพวก เื่บางเื่ไม่เกี่ยวกับเ้า” เงาร่างมายาหันมาพูดกับฉินชู
“บอกว่าไม่เกี่ยวข้องก็พอทนได้ แต่ศิษย์ผู้น้อยขอพูดไว้อย่าง แม้ศิษย์รับใช้จะไม่มีสถานะ แต่ก็ไม่ควรจะใช้คำพูดเช่นนี้” เมื่อถูกพูดใส่แบบนี้ ฉินชูก็เริ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์ ไม่เข้าพวก...แบบนี้หมายความว่าอย่างไร
หึ!
เงาร่างมายาแค่นเสียงในลำคอ ก่อนปัดมือขึ้นอีกครั้ง กระบี่ยาวพลันพุ่งเข้าใส่ฉินชูทันที
เคล้ง!
ฉินชูชักกระบี่ออกมาและร่ายกระบวนท่าไร้พ่ายขึ้นป้องกันการโจมตี
เงาร่างมายาโบกมือควบคุมกระบี่โจมตีฉินชูอย่างต่อเนื่อง
เห็นเช่นนั้น ฉินชูจึงควบคุมจิตรวมศูนย์เข้าถึงวิถีกระบี่ขั้นเจตจำนงกระบี่ จากนั้นก็เริ่มร่ายกระบวนท่ากระบี่พื้นฐานพร้อมกับพุ่งเข้าใส่กระบี่อย่างไม่เกรงกลัว
ตามจังหวะไม่ทัน หลังจากป้องกันการโจมตีได้สองครั้ง ฉินชูก็รู้ตัวว่าตัวเองตามจังหวะกระบี่ของอีกฝ่ายไม่ทัน และแล้วกระบวนท่ากระบี่ในมือก็เริ่มเปลี่ยนไป
“ฆ่ามนุษย์ โค่นอสูร สังหารมารปีศาจ ใบดาบวิเศษ จงสำแดงอิทธิฤทธิ์กำราบเทพมาร” ฉินชูเอ่ยเสียงต่ำ เมื่อเข้าถึงวิถีกระบี่ขั้นเจี้ยนหลิงได้แล้วก็สำแดงพลังของเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์ออกมาทันที
