ณ สำนักศึกษาราชวงศ์เทียนอวิ่นภายในหุบเขาเทียนอวิ่น
เมื่อคิมหันต์ฤดูมาเยือน ดอกบัวในทะเลสาบก็เริ่มบานสะพรั่ง และ่เวลานี้คู่รักบัณฑิตหลายคู่ก็กำลังเดินเล่นบริเวณริมทะเลสาบเทียนอวิ่นเพื่อเสพสุขกับบรรยากาศ
ทะเลสาบเทียนอวิ่นเป็ทะเลสาบที่เกิดจากการที่หินอุกกาบาตตกลงมาและกินพื้นที่ไปหลายสิบตารางกิโลเมตร
ภายในศาลากลางทะเลสาบดอกบัวมีสตรีในชุดสีฟ้าผู้หนึ่ง หญิงสาวเ้าของใบหน้ารูปไข่หน้าตาสะสวยราวกับดอกไม้ผู้นี้กำลังออกลวดลายกระบี่ด้วยท่วงท่าที่งดงามชวนมอง จากนั้นนางก็ดีดฝ่าเท้าของตัวเองขึ้นก่อนจะทะยานร่างไปยังทะเลสาบ เท้าของนางเหยียบและยืนบนใบบัว แต่เพียงไม่นานนางก็ปลดปล่อยพลังปราณออกมาพร้อมกับทะยานร่างขึ้นอีกรั้ง และคราวนี้นางก็ตวัดคมกระบี่ปลดปล่อยปราณกระบี่สีครามออกมาด้วย โดยปราณกระบี่นี้ก็ได้กวาดออกไปเบื้องหน้าราวเจ็ดถึงแปดเมตรก่อนจะสลายหายไป
เทพธิดาเริงระบำกลางดอกบัว ปราณกระบี่ปี้เหลียนเซียว
“เยี่ยมมาก ทักษะร่างกายยอดเยี่ยม ทักษะกระบี่ก็ยอดเยี่ยม”
ทันใดนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้น เมื่อมองไปตามทางเดินที่เชื่อมต่อกับศาลาก็พบกับชายหนุ่มรูปงามในชุดคลุมสีขาวผู้หนึ่ง ด้านหลังของเขามีผู้ติดตามอยู่อีกสองคน
ชายหนุ่มผู้นี้มีใบหน้าหล่อเหลาน่ามอง คิ้วดมดุจกระบี่ ดวงตาเปล่งประกายราวกับแสงดาว จมูกโด่งคมสัน ผมยาวสลวยปกคลุมบ่ากว้าง ไม่ว่าใครได้พบเห็นก็คงอดไม่ได้ที่จะแอบชื่นชมในความสง่างามและมาดที่ดูสูงส่งกว่ามนุษย์ปุถุชนทั่วไปของอีกฝ่าย
ส่วนชายหนุ่มสองคนที่เดินตามหลังอีกฝ่ายมาก็คือซั่งกวานเชียนจื้อและอวิ๋นอี้
ชายหนุ่มผู้นั้นปรบมือเดินเข้ามา เป็เวลาเดียวกันกับที่อวิ๋นชิงว่านเก็บกระบี่เข้าฝักก่อนจะทะยานกลับมายังศาลาดอกบัว เด็กสาวไม่สนใจจะชายตามองชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย นางหันหลังเตรียมจะเดินจากไปทันที
“ไอหยา น้องหญิง เ้ากำลังทำอะไรน่ะ ไม่ได้ยินที่ฝ่าาหนานหลิงทรงกล่าวกับเ้ารึ”
อวิ๋นอี้กล่าวตำหนิน้องสาวของตน พร้อมกับยกมือขึ้นขวางหน้าอวิ๋นชิงว่านเอาไว้
“ไม่เป็ไร สหายอวิ๋น อย่าได้ตำหนิว่านเอ๋อร์”
ชายหนุ่มยิ้มละไมท่าทางนุ่มนวลอย่างยิ่ง สายตาที่มองไปยังว่านเอ๋อร์เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
ชายหนุ่มผู้นี้มีนามว่าหนานหลิง ในปีนี้เขาอายุยี่สิบสองปีแล้ว เขาเข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์มานานกว่าสี่ปี และตอนนี้วรยุทธ์ของเขาก็บรรลุถึงระดับหนิงกังแล้ว อีกทั้งยังมีความเป็ไปได้ว่าเขาจะกลายเป็ผู้แข็งแกร่งระดับหยวนตานในอนาคต
นอกจากนี้เขายังมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ บิดาของเขาคือเป่ยอ๋อง หนานหาว
“ท่านพี่ โปรดหลีกทาง”
อวิ๋นชิงว่านกล่าวอย่างเ็า
“เหตุใดเ้าจึงพูดจากับพี่ชายเยี่ยงนี้”
อวิ๋นอี้ขมวดคิ้ว กล่าวขึ้นอย่างขุ่นเคือง
“เหตุใดว่านเอ๋อร์จึงรีบจากไปนัก เ้ามองดูสิ เวลานี้ดอกบัวในทะเลสาบเทียนอวิ่นกำลังบานสะพรั่ง บรรยากาศดีเช่นนี้ เรามานั่งดื่มชาชื่นชมวิวทิวทัศน์อันงดงามด้วยกันดีหรือไม่?”
หนานหลิงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ถูกต้องแล้ว ชิงว่าน ฝ่าาหนานหลิงถึงกับออกปากขนาดนี้แล้ว อย่างไรเ้าก็ช่วยไว้หน้าคนบ้างเถอะ”
ซั่งกวานเชียนจื้อพยายามเกลี้ยกล่อม
ในตอนแรกเขาเองก็ชมชอบว่านเอ๋อร์เช่นกัน แต่หลังจากรู้ว่าหนานหลิงมีความรู้สึกที่พิเศษต่ออวิ๋นชิงว่าน เขาก็ไม่กล้าให้ความสนใจนางอีกต่อไป
แน่นอนว่าเขาย่อมไม่กล้าทำให้หนานหลิงต้องขุ่นเคืองเพียงเพื่อสตรีนางหนึ่ง เพราะถึงอย่างไรคนอย่างเขาก็ไม่เคยขาดแคลนสตรี
“ต้องขออภัยด้วย วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว ้ากลับไปพักผ่อน”
ว่านเอ๋อร์ชำเลืองมองหนานหลิง ก่อนจะผลักมืออวิ๋นอี้ผู้เป็พี่ชายออกและเตรียมจะจากไปทันที
“ว่านเอ๋อร์ เ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือว่าข้าคิดเช่นไรกับเ้า? เหตุใดเ้ายังมัวเสียเวลากับเศษสวะอย่างมู่เฟิงผู้นั้นอีก?”
ในที่สุดหนานหลิงก็เอ่ยปากออกมาอย่างอดไม่ได้
เมื่อว่านเอ๋อร์ได้ฟังถ้อยคำเ่าั้ นางก็ชะงักฝีเท้าลงทันที ดวงตาคู่สวยทอประกายเย็นะเื
ชิ้ง!
เด็กสาวชักกระบี่ในมือออกมา จากนั้นก็ชี้คมกระบี่ไปยังหนานหลิงและกล่าวอย่างเ็าว่า “ท่านชายหนานหลิง มู่เฟิงคือคู่หมั้นของข้า ท่านโปรดให้เกียรติเขาด้วย”
“น้องหญิง ตระกูลอวิ๋นของเราได้ยกเลิกสัญญาหมั้นหมายกับตระกูลมู่ไปแล้ว เ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับมู่เฟิงอีก และเขาก็ไม่ใช่คู่หมั้นของเ้าอีกต่อไป”
อวิ๋นอี้กล่าวขัดในทันที
“นั่นมันเป็พวกท่าน ไม่ใช่ข้า ข้าอวิ๋นชิงว่าน ชีวิตนี้รักมั่นเพียงมู่เฟิงผู้เดียวเท่านั้น”
ความคิดของอวิ๋นชิงว่านนั้นมั่นคงดุจหินผา แต่ั์ตาคู่สวยของนางกลับมีร่องรอยของความคับข้องใจแวบผ่าน
นางทราบดีว่าตระกูลอวิ๋นและตระกูลมู่ตัดขาดกันแล้ว ถึงนางจะไม่เห็นด้วยกับเื่นี้ แต่นางก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แม้ว่านางจะไม่เต็มใจก็ตาม
“รักมู่เฟิง มู่เฟิงตายไปแล้ว เ้ายังจะรักเขาอยู่อีกรึ?”
ซั่งกวานเชียนจื้อหัวเราะเยาะ
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของอวิ๋นชิงว่านพลันเปลี่ยนไปในทันที นางกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “เ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“น้องหญิง เ้าวางกระบี่ของเ้าลงก่อนเถิด เ้าอาจจะยังไม่ทราบข่าว แต่มู่เฟิงตายไปแล้ว เ้าไม่จำเป็ต้องรอคอยคนตายอีก”
อวิ๋นอี้กล่าว
“ว่าอย่างไรนะ! ฟะ เฟิง เฟิงเขา...ไม่ เป็ไปไม่ได้ พวกท่านอย่ามาหลอกข้า!”
เมื่อว่านเอ๋อร์ได้ยินคำพูดนั้น นางก็รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าลงมากลางใจ หัวใจของนางเ็ปอย่างยิ่ง จากนั้นนางก็แผดเสียงออกมาด้วยความโกรธ
“พวกเราไม่ได้หลอกเ้า ข้าเพิ่งได้รับข่าวมาว่ามู่เฟิงเสียชีวิตแล้ว เขาถูกยอดฝีมือระดับหยวนตานสังหาร”
ซั่งกวานเชียนจื้อกล่าวขึ้น ในขณะที่เขากล่าวถ้อยคำเหล่านี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปทางหนานหลิง
“คนอื่นอาจจะสามารถหลอกเ้าได้ แต่ข้าสามารถหลอกเ้าได้รึ? มู่เฟิงตายไปแล้ว เ้าไม่จำเป็ต้องรอเขาอีก ท่านพ่อเตรียมจะหมั้นหมายเ้ากับท่านชายหนานหลิงแล้ว”
ขณะที่กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ อวิ๋นอี้ก็เดินเข้าไปหาเด็กสาวก่อนจะวางมือลงบนไหล่ของนาง
เคร้ง!
กระบี่ในมือของอวิ๋นชิงว่านล่วงหล่นลงพื้นทันใด จากนั้นดวงตาคู่สวยก็หลั่งน้ำตาสีใสให้ไหลลงมาอาบแก้มของนาง เด็กสาวทำได้เพียงยืนนิ่งอย่างตกตะลึง
หนานหลิงขยับตัวเข้าหาเด็กสาว ก่อนจะชำเลืองมองไปทางอวิ๋นอี้ ฉับพลันนั้นซั่งกวานเชียนจื้อและอวิ๋นอี้ก็พลันเข้าใจความหมายในทันที พวกเขารีบถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว หนานหลิงประคองกอดว่านเอ๋อร์เอาไว้ด้วยััที่นุ่มนวล และกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ว่านเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเ้าชอบมู่เฟิง แต่ข้าเองก็จริงใจกับเ้าเช่นกัน คนเราต้องมองไปข้างหน้า เ้าอย่าได้รอคอยคนที่ตายไปแล้วอีกเลย”
“เ้าวางใจเถอะ ข้าจะปฏิบัติต่อเ้าเป็อย่างดี ไม่ว่าสิ่งใดที่เ้า้า สิ่งใดที่เ้าชมชอบ ข้าจะตามใจเ้าทั้งหมด และจะไม่ทำให้เ้าต้องเ็ปใจอย่างแน่นอน...”
น้ำเสียงอ่อนโยนกับถ้อยคำที่เปี่ยมล้นด้วยความรักใคร่ ประกอบกับรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาและสง่างามของเขา รวมถึงภูมิหลังที่โดดเด่น คาดว่าคงมีสตรีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถต้านทานได้
“เฟิง...ไม่ ไม่ ไม่จริง เขาจะไม่ตาย ท่านปล่อยข้า”
ว่านเอ๋อร์พึมพำกับตัวเองทั้งน้ำตา จากนั้นนางก็พยายามดิ้นรนอย่างหนักเพื่อผลักไสหนานหลิงออกไป
เผียะ!
ฝ่ามือของว่านเอ๋อร์ตบลงไปบนใบหน้าของหนานหลิง จากนั้นนางก็วิ่งหนีไปทั้งน้ำตา
หนานหลิงยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดใบหน้าข้างที่โดนตบของตน ก่อนจะมองตามว่านเอ๋อร์ที่วิ่งหนีไป ความอ่อนโยนในแววตาพลันเลือนหายไปทันที
“นังแพศยา ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะเอาชนะเ้าไม่ได้ ถึงเวลาข้าผลักเ้าลงบนเตียงเมื่อใดก็รอดูว่าข้าจะเล่นสนุกกับเ้าอย่างไรบ้าง”
ร่องรอยของความโหดร้ายปรากฏขึ้นในแววตาของหนานหลิงก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
ขณะนั้นเอง พวกอวิ๋นอี้ที่เดินออกไปก่อนหน้านี้ก็เดินกลับเข้ามา พร้อมกับรอยยิ้มเจื่อน “ฝ่าา น้องสาวของกระหม่อมก็เป็เช่นนี้ นางโง่เขลาเบาปัญญา แต่ตอนนี้มู่เฟิงก็ตายไปแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป ท้ายที่สุดนางก็จะลืมเลือนมู่เฟิงไปเองขอรับ”
“ไม่รู้ว่าเ้าคนบัดซบนั่นมีดีอะไร ว่านเอ๋อร์ถึงได้ชอบมันนัก”
ซั่งกวานเชียนจื้อกล่าวอย่างเกลียดชัง
“ว่านเอ๋อร์เป็ชื่อที่เ้าสามารถเอ่ยเรียกได้รึ?”
ดวงตาของหนานหลิงพลันเปลี่ยนเป็เ็า ขณะจ้องมองไปยังซั่งกวานเชียนจื้อ
ซั่งกวานเชียนจื้อถึงกับยิ้มเจื่อน ไม่กล้าพูดอะไรไปมากกว่านี้อีก
“น้องสาวของข้าเล่นกับมู่เฟิงมาั้แ่เด็ก ดังนั้นระหว่างพวกเขาจึงมีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเป็เื่ธรรมดา แต่เมื่อเวลาผ่านไปนางก็จะสามารถเข้าใจได้เอง”
อวิ๋นอี้กล่าว
“มู่เฟิง หากเขายังไม่ตาย ข้าก็อยากจะพบกับเขาเสียหน่อย หากว่าเขาสามารถเข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์ได้ ข้าคงได้เล่นสนุกกับเขา”
หนานหลิงกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าเ็า
“แต่ฝ่าา มู่เฟิงตายแล้วจริงหรือขอรับ?”
อวิ๋นอี้เอ่ยถามย้ำอีกครั้ง
“หึ หัวหน้าหน่วยลับจาง ลูกน้องของท่านพ่อเป็คนลงมือด้วยตัวเอง เ้าเด็กนั่นยังจะรอดชีวิตไปได้อีกรึ? ถึงอย่างไรจางจวีก็เป็ยอดฝีมือระดับหยวนตาน แต่น่าเสียดายที่เขามาถูกมู่เฉินสังหารหลังจากทำภารกิจ ชีวิตของยอดฝีมือระดับหยวนตานต้องแลกมากับชีวิตของเ้าเด็กนั่น ช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย”
หนานหลิงสบถอย่างเ็า จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
เด็กหนุ่มสองคนหันมามองหน้ากัน ภายในใจได้หมดข้อสงสัยแล้ว จากนั้นพวกเขาจึงรีบเดินตามหลังอีกฝ่ายไปทำราวกับ้าจะประจบประแจงทันที หากพวกเขาได้ร่วมเดินไปกับหนานหลิงแล้วละก็ อนาคตของพวกเขาย่อมรุ่งโรจน์อย่างแน่นอน...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้