สินค้าหรือ?
เซี่ยเสี่ยวหลานสนใจมาก
ศิษย์พี่ว่านเองก็สนใจมากเช่นเดียวกัน
ไป๋เจินจูบอกว่าสินค้านั้นคือวิทยุ “ทั้งหมดมี 500 เครื่อง พวกเขาจะส่งไปยังด่าน ส่งมอบที่นั่น ไม่มีคนโดนจับแน่ สินค้าล็อตนี้เธอ้ารับไหม?”
“วิทยุที่อัดเสียงและฟังในเครื่องเดียวใช่หรือไม่?”
ไป๋เจินจูพยักหน้ารับ “แค่ 90 หยวนต่อเครื่องเท่านั้น ต้นทางสินค้าใสสะอาดแน่นอน”
ต้นทางสินค้าของสินค้าเถื่อนจะใสสะอาดได้อย่างไร?
มีเพียงเงื่อนไขเดียว เดิมทีนี่คือของที่ศุลกากรยึดไว้ จากนั้นก็มีคนขายเปลี่ยนมือออกมาอีกครั้งถือว่าชำระล้างเื้ัของสินค้าแล้ว จากสินค้าเถื่อนดำสนิทกลายเป็สินค้าสีเทาที่ไม่มีใครใส่ใจ
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่อยากแตะสินค้าเถื่อน แต่วิธีทำกำไรที่มีความปลอดภัยสูงกว่าแบบนี้พอตั้งอยู่ตรงหน้าเซี่ยเสี่ยวหลาน เธอก็รู้สึกใจเต้นไม่น้อยเหมือนกัน
90 หยวนได้วิทยุที่ฟังและอัดในเครื่องเดียว?
อีกทั้งเป็สินค้านำเข้า?
กระทั่งสินค้าเถื่อนยังไม่อาจขายในราคาถูกเช่นนี้ได้ ลักลอบขนมิใช่การขโมยจึงจำเป็ต้องใช้เงินทุนเพื่อนำเข้าสินค้า และเพิ่มราคาขึ้นทุกขั้นต้องประกันว่าคนร่วมลักลอบขนสินค้าล้วนได้รับผลกำไรเซี่ยเสี่ยวหลานเดาว่าเ้าของสินค้าล็อตนี้รีบเร่งจำหน่ายขอเพียงได้สินค้ามาในราคาต่ำขนาดนี้ ไม่ต้องกังวลเื่การขายแม้แต่น้อย
ปี 84 คือ่เวลาที่วิทยุเถื่อนโด่งดังมากที่สุดหลังจากปีหน้าโรงงานพันธมิตรในประเทศและหน่วยงานรัฐจะลงทุนผลิตวิทยุปริมาณมากความ้าต่อสินค้านำเข้าจะลดลงเป็อย่างยิ่งเหล่านักลักลอบขนสินค้าเถื่อนไม่มีกำไร ย่อมเบนสายตาไปยังสินค้าที่มีอุปสงค์สูงชนิดอื่นแทน
“500 เครื่อง? พี่ไป๋เงินทุนของพวกเราสองคนรวมกันก็ซื้อไม่ไหวหรอก”
จะบอกว่าเธอดื้อแพ่งก็ดี กลัวตายก็ช่าง มีหนทางทำเงินถมเถแท้ๆแค่ขึ้นอยู่กับเวลาช้าหรือเร็วเท่านั้น ทำไมเธอต้องไปเสี่ยงภัยอันตรายกับการค้าของเถื่อนนี้ด้วยาแบนแผ่นหลังของหลิวหย่งผู้เป็ลุงลึกเสียขนาดนั้นเพิ่งได้โอบกอดชีวิตที่เฉียดตายกลับมาไม่นานนี้เอง
เธออยากตั้งหน้าร้านที่ตลาดสินค้าเล็กสะพานเหรินหมินกับไป๋เจินจูั้แ่ค้าปลีกถึงค้าส่ง สินค้าประเภทวิทยุหรือนาฬิกาก็สามารถแทรกวางขายได้ทว่าเมื่อดูจากภายนอก นี่ต้องเป็ร้านค้าที่เป็การเป็งาน
ความจริงแล้วถุงน่องที่เธอได้จากไป๋เจินจูก็เป็สินค้าเถื่อนเช่นกันแต่นี่เป็ของที่เปลี่ยนมือ ‘ฟอกขาว’ เรียบร้อยแล้ว ไม่จำเป็ต้องให้เซี่ยเสี่ยวหลานเสี่ยงอันตรายไปรับสินค้า
ไป๋เจินจูไม่เคยคิดแม้แต่จะให้เซี่ยเสี่ยวหลานไปรับสินค้า
“ฉันส่งวิทยุออกจากด่าน เธอมีเงินเท่าไรก็เอาสินค้าไปเท่านั้น สินค้า 500 เครื่องพวกเขาจำเป็ต้องขายในคราวเดียว ถ้าเงินทุนพวกเราไม่พอค่อยดึงอีกสักคนเข้ามาแบ่งสินค้าก็ย่อมได้”
ใช้ชีวิตในเผิงเฉิงได้สองเดือน ไป๋เจินจูไม่เพียงแต่แต่งกายเหมือนชายจิตใจก็กล้าหาญมากขึ้นด้วยเช่นกัน
เธอพูดจนเซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกตื่นเต้น
ไม่ต้องส่งสินค้าออกไปจากเผิงเฉิงเอง เพียงแค่รอรับสินค้าที่หยางเฉิงถือว่ายังพอพิจารณาได้
เธอไม่จำเป็ต้องส่งสินค้ากลับซางตูด้วยซ้ำ หากเธอสามารถกระจายจำหน่ายวิทยุที่หยางเฉิงได้ก็เรียกว่าได้กำไรอันรวดเร็วหนึ่งก้อนแล้วสินะ? ก่อนออกเดินทางเซี่ยเสี่ยวหลานพกเงินปันผลร้านเสื้อผ้าหนึ่งหมื่นกว่าหยวนติดตัวมาการฝากถอนเงินต่างถิ่นยุ่งยากยิ่งนัก และคนพวกนี้คงรอเงินโทรเลขไม่ไหวเหมือนกัน
ไป๋เจินจูบอกว่าวิทยุหนึ่งเครื่องราคา 90 หยวนสองคนรวมเงินกันได้ 2 หมื่นหยวน ถ้า้ารับซื้อวิทยุ 500 เครื่องก็ยังขาดเงินอย่างเห็นได้ชัดเซี่ยเสี่ยวหลานจึงนึกถึงเฉินซีเหลียงขึ้นมา
เฉินซีเหลียงค้าส่งเสื้อผ้า ต้องมีเงินมากกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานแน่นอนเพียงแต่ไม่ทราบว่าเขาจะกล้ารับสินค้าพวกนี้หรือไม่
หาก้าแบ่งขายสินค้าในหยางเฉิง เฉินซีเหลียงที่พาเธอไปรับเสื้อผ้ายังบ้านของผู้ค้าส่งรายอื่นได้แสดงว่าเขานั้นรู้จักคนไม่น้อย กระจายขายวิทยุหลายร้อยเครื่องจะยากอะไร? ไม่รู้ว่าทุกวันในหยางเฉิงและเผิงเฉิงมีนักค้าเก็งกำไรตั้งเท่าไรที่กำลังค้นหาโอกาสวิทยุ 500 เครื่องที่ไป๋เจินจูพูดถึงนี้น่าจะเป็สินค้ามือหนึ่งหนึ่งเครื่องคิดกำไรเพียงสามถึงสี่หยวนและขายออกไปเป็จำนวนมากเกรงว่าเหล่านักค้าเก็งกำไรก็้าแย่งให้ได้ด้วย
จำนวนเงินถ้วนที่ใช้ได้ของเซี่ยเสี่ยวหลานคือ 13000 หยวน
จากราคาที่ไป๋เจินจูแจ้งไว้ เธอสามารถรับซื้อได้ 100 กว่าเครื่อง ขายเปลี่ยนมือในหยางเฉิงได้กำไรเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถ้าส่งกลับไปทะยอยขายที่ซางตูอย่างช้าๆเธอสามารถทำกำไรได้กว่าหนึ่งเท่าตัว
สินค้านำเข้าที่ไม่ต้องใช้ตั๋วหรือไว่ฮุ่ยเชวี่ยน เพียงควักเงินก็สามารถซื้อได้แล้วปัจจุบันเศรษฐกิจของซางตูมีกิจการสิ่งทอและการขนส่งทางรถไฟคอยประคองอยู่กำลังซื้อไม่ใช่น้อยเลยจริงๆ
“ได้ ถ้าสินค้าดี ฉันตกลงร่วมหุ้น”
ในใจของไป๋เจินจู เซี่ยเสี่ยวหลานหาเงินเก่งเหลือเกินเมื่อเธอยังเห็นชอบว่าดี ไป๋เจินจูจึงมีความมั่นใจมากขึ้น
ศิษย์พี่ว่านกระตือรือร้นยิ่งนัก แต่เซี่ยเสี่ยวหลานและไป๋เจินจูสองคนรวมกันยังรับซื้อสินค้าได้เพียงครึ่งหนึ่งถ้าศิษย์พี่ว่านสามารถลงเงินสองหมื่นกว่าหยวนได้เขาก็ไม่ต้องมาเป็คนคุ้มกันให้แก่เซี่ยเสี่ยวหลานแล้ว เพียงศิษย์พี่ว่านอ้าปากไป๋เจินจูก็รู้แล้วว่าเขา้าพูดอะไร “ศิษย์พี่ทั้งสองพวกพี่มีเงินเท่าไรหรือ ถ้าอยากร่วมหุ้น สามารถคิดเข้ารวมกับส่วนของฉันและเสี่ยวหลานได้ทว่าทำธุรกิจนี่น่ะ เงินมากก็มีวิธีของเงินมาก เงินน้อยก็ได้น้อยหน่อย...แต่ทำธุรกิจมีความเสี่ยงทั้งหมด หากถูกยึดหรือพวกเราโดนหลอกเงินของทุกคนจะสูญเปล่าทันที”
ราคาของสินค้าล็อตนี้ต่ำมาก ลักษณะการขายลดราคาครั้งใหญ่ของผู้ขายยิ่งกำไรสูง ยิ่งยืนยันว่ามีความเสี่ยงมาก
เซี่ยเสี่ยวหลานและไป๋เจินจูกล้าเสี่ยงเพราะพวกเธอพ่ายแพ้ไหว
แม้เงินสองหมื่นหยวนที่ทั้งสองรวมกันจะสูญเปล่า แต่ธุรกิจเสื้อผ้ายังคงอยู่พวกเธอก็สามารถนำเงินทุนที่ขาดทุนไปกลับมาได้อย่างรวดเร็วอยู่ดี
แต่นายว่านและนายหลี่ต้องควักทรัพย์สินของครอบครัวออกมาขาดทุนแล้วขาดทุนเลย อยากพลิกโชคชะตาอีกครั้งย่อมยากมาก
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าไป๋เจินจูจริงใจเกินไปเสียอีกคำพูดนี้ควรปล่อยให้ศิษย์พี่ว่านเสนอด้วยตนเอง จะได้หรือเสียนั้นก็เป็ทางเลือกของเขาเมื่อมีความมุ่งมั่นย่อมนำพาเขาทำกำไรก้อนเล็กได้ ทว่าเมื่อไป๋เจินจูเอ่ยปากก่อนกลับเหมือนไป๋เจินจูกำลังเชิญชวนศิษย์พี่ว่านร่วมหุ้นมากกว่า
เพิ่งมีปฏิสัมพันธ์เพียงสองวันแต่เซี่ยเสี่ยวหลานได้เข้าใจนิสัยของนายว่านและนายหลี่โดยคร่าวๆ แล้ว
ศิษย์พี่ว่านมีท่าทางระมัดระวัง ทว่ากลับดูแคลนธุรกิจเล็กน้อยมักคิดถึงการร่ำรวยเพียงชั่วข้ามคืน...โครงสร้างทัศนวิสัยของคนคนหนึ่งต้องกว้างไกลอยู่แล้ว แต่ใครไม่เริ่มลงมือจากจุดเล็กน้อยบ้างไป๋เจินจูแค่ขายกางเกงตะวันตกราคาย่อมเยาว์ที่หยางเฉิง สองเดือนผ่านไปก็สามารถสะสมทองคำถังแรกโดยอาศัยกำไรเพียงหนึ่งถึงสองหยวนจากนั้นก็ได้รับโอกาสทำกำไรที่รวดเร็วอย่างในครั้งนี้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเซี่ยเสี่ยวหลาน เื่ต่อสู้ไม่เก่งกาจและไม่มีข้อได้เปรียบโดยกำเนิดจากการเป็คนหยางเฉิงเหมือนไป๋เจินจูเธอมีสถานะเป็ผู้เกิดใหม่ อัตคัดขัดสนต้องอาศัยการค้าไข่ไก่สร้างตัวไข่ไก่หนึ่งใบกำไรหนึ่งถึงสองเฟิน ยืนหยัดได้ด้วยความเพียรที่้าจะหลุดพ้นความยากจนและไม่ต้องประทังชีวิตด้วยมันเทศทั้งวัน
ศิษย์พี่ว่านมีอะไร?
มีวิชาป้องกันตัวก็ต้องดูว่าใช้งานอย่างไร
ภาพลักษณ์แรกพบที่ศิษย์พี่หลี่มอบแก่เซี่ยเสี่ยวหลานคือคนหุนหันพลันแล่นไม่ทันไรก็ถกแขนเสื้อเตรียมโรมรันกับเคออีสฺยง แต่พอทำความรู้จักกันเซี่ยเสี่ยวหลานกลับพบว่านี่คือคนที่มีความละเอียดอ่อนในความหยาบกระด้างนิสัยมุทะลุแล้วอย่างไร สมองไม่ทึบก็พอ
ตอนเธอเดินรอบเขตก่อสร้างศิษย์พี่ว่านก็หมดความอดทนก่อนแล้ว
พอมีโอกาสทำเงิน ก็เป็ศิษย์พี่ว่านที่รู้สึกสนใจก่อน
ศิษย์พี่ว่านครุ่นคิด “ฉันกลับไปรวบรวมสัก 900 หยวน ซื้อได้ 10 เครื่องใช่หรือไม่?”
ไป๋เจินจูมองเซี่ยเสี่ยวหลานที่ไม่พูดอะไร เซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้าตกลงมีเมื่อศิษย์พี่ว่านนำ ศิษย์พี่หลี่ก็บอกว่ารวมได้ 900 หยวนเช่นเดียวกัน
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดคำนวณรวมเงินทั้งตัวเข้าด้วยกัน สามารถซื้อได้ 150 เครื่อง
ไป๋เจินจูก็รับซื้อได้ 100 เครื่อง
วิทยุจำนวน 500 เครื่องพวกเซี่ยเสี่ยวหลานสี่คนพยายามร่วมกัน สามารถซื้อได้ 270 เครื่อง ส่วนที่เหลืออีก 230 เครื่องเซี่ยเสี่ยวหลานฝากความหวังไว้กับเฉินซีเหลียง
ใครทำเวลาได้ดีกว่า คนนั้นก็ทำเงินได้ว่องไวกว่าผู้อื่น
ไป๋เจินจูตัดสินใจรับสินค้า จึงมีคนส่งสินค้าตัวอย่างมาให้เธอสองเครื่องเป็วิทยุที่มีระบบบันทึกเสียงในตัวจริงๆ ด้านในยังยัดเทปไว้สองม้วนเพื่อลองฟังเซี่ยเสี่ยวหลานกดปุ่มกระจายเสียง เสียงของสตรีอันคุ้นเคยดังออกมาผ่านลำโพงวิทยุ
“หวานปานน้ำผึ้ง เธอยิ้มหวานราวกับน้ำผึ้งเหมือนมวลบุปผาที่เบ่งบานในสายลมฤดูใบไม้ผลิ...”
บทเพลงของเติ้งลี่จวิน ในเวลานี้ถือว่าเป็ดนตรีที่สร้างมลพิษแก่จิติญญา [1] บทเพลงไพเราะเสนาะหู จะห้ามได้อย่างไร? เมฆเพลิง [2] ย้อมขอบฟ้าเป็สีแดงเหล่าพ่อค้าแม่ขายประจำตลาดสินค้าขนาดเล็กสะพานเหรินหมินกำลังเริ่มเก็บแผงของตนเองท่ามกลางเสียงเพลงหวานซึ้งเซี่ยเสี่ยวหลานหยิบวิทยุหนึ่งเครื่องขึ้นมา รีบเดินทางกลับหยางเฉิงเพื่อระดมทุนในคืนวันเดียวกัน
เชิงอรรถ
[1]หลังจากการปฏิวัติวัฒนธรรมสิ้นสุดลงวัฒนธรรมประชานิยม (Popular Culture)จากฮ่องกงและไต้หวันเผยแพร่เข้าสู่แผ่นดินใหญ่ บทเพลงของเติ้งลี่จวินผู้เป็นักร้องหญิงชาวไต้หวันก็เป็ที่นิยมมากเช่นกันทว่าด้วยเนื้อหาเพลงที่เต็มไปด้วยอารมณ์แบบมนุษย์ไม่ใช่เนื้อหาปลุกใจเหมือนเพลงปฏิวัติครั้งหนึ่งเพลงของเติ้งลี่จวินจึงถูกสั่งห้ามเผยแพร่จากการรณรงค์ต่อต้านมลพิษทางจิติญญาซึ่งเป็การรณรงค์ต้านกระแสความคิดแบบเสรีนิยมที่แพร่หลายในหมู่ชาวจีนเช่นการต่อต้านบทเพลงเนื้อหารักใคร่เกี่ยวกับทางเพศ ต่อต้านศิลปะลักษณะอีโรติก
[2]火烧云 เมฆเพลิง คือ เมฆในเวลาดวงอาทิตย์กำลังขึ้นหรือตกเหมือนปรากฏการณ์ที่คนไทยเรียกว่าผีตากผ้าอ้อม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้