กล่าวได้ว่าพวกจ้าวอี้ได้ทำลายความไว้ใจไปแล้ว
โจวหาน ลูกสาวของหรงลี่ปรากฏตัวขึ้น
นี่เป็เื่ที่ช่วยไม่ได้
เพราะเป็ไปไม่ได้ที่ปิดบังข้อมูลกับเธอไปตลอด
โจวหานร้องไห้อย่างหนักราวกับดอกไม้ที่อาบด้วยน้ำฝนขณะที่มองไปยังมารดาของเธอซึ่งยืนอยู่ที่ฝั่งของจำเลย วันนี้เป็วันพิจารณาคดีในชั้นศาล
“จำเลยถูกตัดสินใจมีความผิดฐานฆาตกรรมโดยเจตนา! ตอนนี้ ภายใต้การประกาศคำพิพากษา ขอตัดสินให้จำเลยรับโทษปะา โดยให้รอลงอาญาสองปี...” เมื่อคำตัดสินของผู้พิพากษาสิ้นสุดลง ศาลที่เงียบสงัดก็เกิดความโกลาหลขึ้นทันที
“แม่คะ แม่...”
โจวหานพยายามไปหาแม่ของตน แต่นั่นทำได้ที่ไหนกัน?
เธอทำได้เพียงมองมารดาของตนเดินโซซัดโซเซทีละก้าวออกไป
“แม่ฉันไม่ได้ฆ่าคน! พวกคุณจับผิดคนแล้ว!”
โจวหานยังคงไม่เชื่อเหตุการณ์ตรงหน้านี้ ทันใดนั้น ฝีเท้าของหรงลี่ก็หยุดลง เธอหันหน้ากลับมา นั่นเป็สายตาแบบไหนกัน!
มีความโเี้ การต่อต้าน และความซาบซึ้งอยู่ในนั้น ก่อนจะเปลี่ยนเป็เสียงถอนหายใจยาว
เซี่ยตันและคนอื่นเป็พยานในกระบวนการพิจารณาคดีทั้งหมด
“พวกเรากลับกันเถอะ ยังมีงานที่ต้องไปสะสางอยู่อีก”
เซี่ยตันถอนหายใจแล้วพูดอย่างกระฉับกระเฉง
คำพูดของเธอขัดจังหวะความคิดของจ้าวอี้ ชายหนุ่มได้แต่คิดว่าคดีเหมือนจะผ่านไปอย่างราบรื่นเกินไป ตามวิธีการฆาตกรรมของหรงลี่แล้ว เธอเป็คนที่รอบคอบมาก คนเช่นนี้ทำไมถึงสารภาพอย่างรวดเร็วขนาดนี้ล่ะ?
อย่างไรก็ตาม จ้าวอี้ไม่ได้พูดข้อสงสัยของตนออกมา
ทั้งหมดนี้ไม่สำคัญ
หรงลี่ยอมรับผิดและรับโทษไปแล้ว ข้อสรุปนี้เป็ที่พอใจและครอบครัวของผู้ตายก็พอใจ คนเดียวที่ไม่พอใจเกรงว่าจะเป็ลูกสาวของหรงลี่ แต่ใครจะไปสนใจผู้หญิงบอบบางคนหนึ่งกันล่ะ?
“ยังมีงานอะไรที่ผมต้องทำอีกไหม? หัวหน้า ผมอยากจะไปพักผ่อนสักสองสามวันแล้วเนี่ย”
เฉินตงพูดด้วยใบหน้าทะเล้น พร้อมกับเดินออกมาข้างนอกกับทุกคน
“ตรวจสอบที่มาของกระจกทองแดงบานนั้น ความเห็นของสามเณรสิงเฉินคือให้ครอบครัวผู้ตายนำสิ่งของมาให้เราเก็บรักษาชั่วคราวก่อน ของชิ้นนี้ไม่ธรรมดาเลย”
คำพูดของเซี่ยตันทำให้เฉินตงพยักหน้าซ้ำๆ จ้าวอี้กลับไม่ได้แยแส
สิ่งสมมติ นี่คือการตีราคาของจ้าวอี้ต่อกระจกทองแดงบานนั้น
มีอะไรก็พูดออกมาคือนิสัยของจ้าวอี้ ชายหนุ่มจึงพูดออกไปตรงๆ “หัวหน้าครับ สิงเฉินกับเฉินตงเคยบอกไว้ว่า ใครที่ัักับกระจกบานนั้น คนคนนั้นจะโชคร้าย หลายวันมานี้ผมก็สงบสุขดีนี่? ผมว่ามันเป็วัตถุโบราณธรรมดาชิ้นหนึ่งเท่านั้นแหละ”
เฉินตงชะงัก มองจ้าวอี้ขึ้นๆ ลงๆ “ไม่ถูก ตามหลักแล้วนายควรจะดวงซวยสุดๆ สิ มีอะไรผิดพลาดหรือเปล่าเนี่ย?”
จ้าวอี้มองเขาอย่างดูถูก ที่ยังทำเสแสร้งคิดข่มขู่ให้ตนกลัว
ไม่กี่วันมานี้ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนดีขึ้นไม่น้อย เขามองออกว่าเฉินตงคนนี้แค่ปากร้ายไปหน่อย แต่ไม่ได้มีความคิดเลวร้ายอะไร
“พวกเรากลับเถอะ ดูว่าสิงเฉินจะว่ายังไงบ้าง”
เซี่ยตันตัดสินใจ
ลานเล็กยังเงียบสงบเช่นเดิม เสียงสวดมนต์ชัดแจ้งทำให้คนรู้สึกสบายขึ้นอย่างไม่รู้ตัว คนที่สวดมนต์ไม่ใช่ใครอื่น เป็สามเณรสิงเฉินที่กำลังเดินไปมาอยู่นั่นเอง
“ไม่ต้องสวด ไม่ต้องสวดแล้ว สามเณร พวกเราสองคนคิดผิดแล้วล่ะ ท่านทำอะไรอยู่เนี่ย สองวันมานี้จ้าวอี้ไม่เห็นจะโชคร้ายเลย ท่านสวดมนต์ให้เขาแล้วเหรอ?”
เฉินตงจับหน้าผากมันวาวของสามเณร อีกฝ่ายมองเขาอย่างช่วยไม่ได้และหยุดสวดมนต์
“โยมพี่จ้าว บอก่เวลาตกฟากของโยมมาที อาตมาจะดูดวงชะตาให้”
จ้าวอี้ไม่ได้เชื่อเื่พวกนี้ แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร ถือเป็เื่สนุกเื่หนึ่ง เขาบอกวันเกิดของตนไปอย่างมีความสุข
“โอ้ สุดยอดเลย”
สามเณรสิงเฉินนับนิ้วแล้วพึมพำ จากนั้นใช้สายตาประหลาดใจมองไปที่จ้าวอี้
“มีอะไรผิดปกติเหรอ?”
จ้าวอี้จับต้นชนปลายไม่ถูก
“ดวงชะตาของโยมเป็สี่เสาหลักแห่งดวงชะตา ธาตุหยินและสิ่งชั่วร้ายไม่มีผลกับโยม บวกกับชื่อของโยมมีอักษรไฟสี่ตัวอยู่ด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็เปลวที่ลุกโชติ่ ไม่อาจมองตรงๆ ได้เลย ดูแล้วคนที่ตั้งชื่อให้โยมน่าจะเป็ผู้สูงส่งเลยทีเดียว”
สิงเฉินพูดกับจ้าวอี้อย่างชื่นชม ในสายตาเขาเหมือนเป็สมบัติหายาก
“อ่า มันก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ท่านพูดล่ะนะ งั้นผมขอถามท่านบ้างสิ สามเณร ท่านเคยเห็นผีไหม?”
ในใจจ้าวอี้ไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ ใครเป็คนที่ตั้งชื่อให้ตนงั้นเหรอ? ปู่ของฉันไงเล่า เ้าพวกหัวโบราณ ฉันจะไปเชื่อเื่พวกนี้ได้อย่างไรกัน
สิงเฉินชะงัก ส่ายหน้าอย่างมีความสุข “ไม่เคยเห็นหรอก”
“แล้วนายเคยเห็นมาก่อนไหม?”
จ้าวอี้หันไปถามเฉินตง
“ฉันก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน” เฉินตงส่ายหน้าเช่นเดียวกัน
“สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นหรอกนะ ทำไมพวกนายคิดว่าผีมีอยู่จริงล่ะ? มันอาจจะมีปรากฏการณ์แปลกๆ มากมายที่เราไม่สามารถอธิบายได้อยู่ก็จริง แต่มันไม่ตลกเกินไปหน่อยหรือไงที่จะบอกว่าเป็เพราะผีน่ะ”
“ไม่ๆ สิ่งที่ตาเห็นก็ใช่ว่าจะเป็ความจริงนะ นายไม่เคยเห็นก็ไม่หมายความว่าจะไม่มีอยู่จริงสักหน่อย ในประวัติศาสตร์ประเทศของเรา มีตำนานเกี่ยวกับผีสางเทพเ้าตั้งมากมาย ซึ่งแน่นอนว่าต้องไม่ใช่เื่โคมลอยเป็แน่ นอกจากนี้ยังมีสถานที่อโคจรบางแห่งหรือสิ่งชั่วร้ายที่สามารถจัดการได้เมื่อใช้วิธีที่บรรพบุรุษสืบทอดต่อกันมาอยู่ด้วย”
“คุยเื่อะไรกันครึกครื้นเชียว?”
คนพวกนี้ไม่สามารถโน้มน้าวใครได้ ตอนนี้เอง เหล่าโจวก็เดินเข้ามาจากข้างนอก
เฉินตงแนะนำอย่างคร่าวๆ รอบหนึ่งจากนั้นจึงพูดต่อ “ผอ.ครับ พี่จ้าวหัวดื้อมากเลยครับ พวกเราพยายามอธิบายแล้ว แต่พี่จ้าวไม่เชื่อเื่ลี้ลับพวกนี้เลย”
เหล่าโจวโบกมือพร้อมกับยิ้ม “เหตุผลที่จ้าวอี้เพิ่งเข้ารับตำแหน่งก็เพราะเขามีความรู้ความเข้าใจทางด้านนี้ไม่ค่อยมากเท่าไรนัก ตอนแรกคนส่วนมากที่ย้ายเข้ามาในแผนกของเราไม่ใช่ว่าไม่เชื่อเหมือนกันหรอกหรือ? ให้เวลาเป็เครื่องพิสูจน์เถอะ ฉันได้ยินมาว่าครั้งนี้จ้าวอี้ของเราสามารถไขคดีได้อย่างยอดเยี่ยมเลยนี่นา? พวกเรายังไม่ได้จัดงานต้อนรับจ้าวอี้พอดีเลย พวกเราไปจัดงานเลี้ยงฉลองกันเถอะ คืนนี้ห้ามขาดใครไปสักคนเชียว”
เหล่าโจวพักปัญหานั้นไว้ชั่วคราว มิหนำซ้ำข้อเสนอของเขาทำให้มีเสียงร้องอย่างดีใจดังขึ้นด้วย
คนส่วนมากในที่นี้เป็วัยหนุ่มสาว พวกเขามีนิสัยรักสนุกและสร้างปัญหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ฉันไม่ไปนะ ฉันไม่ค่อยชิน” ผู้เฒ่าสวี่หนึ่งเดียวที่อายุมากแล้วและไม่ค่อยคุ้ยชินเอ่ย
“นั่นไม่ดีเลยนะ พวกเราสองผู้เฒ่าไปหาอะไรดีๆ ดื่มกันหน่อยเถอะน่า รีบจัดการเอกสารให้เสร็จเร็วๆ แล้วพวกเราค่อยออกไป”
เสียงของเหล่าโจวเบาลง ทุกคนก็เริ่มวิ่งวุ่น ประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นมาอีกครึ่งหนึ่ง
จ้าวอี้นำรายงานใส่ไว้ในซองเอกสาร แลเริ่มนึกย้อนถึงคดีทั้งหมดในใจ
ภาพของผู้ตายที่อยู่ในอ่างอาบน้ำตอนนั้น ตามคำพูดของหรงลี่ อาหารเย็นที่เธอทำมีการเพิ่มการข่มกันในอาหารซึ่งนำไปสู่ปฏิกิริยาลูกโซ่ ทำให้ผู้ตายเกิดเส้นเืในสมองแตกตายหลังจากทานอาหารไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ทำให้ดูเหมือนเป็การตายด้วยอุบัติเหตุอย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม จ้าวอี้ยังรู้สึกว่ามีข้อสงสัยหลงเหลืออยู่
อย่างเช่น หรงลี่บอกว่าได้ทิ้งเื่ราวต่างๆ ไปเมื่อสองปีก่อน แต่ตามคำให้การของเธอ ในอาหาร่สองปีนี้ได้ ‘วางยา’ ไว้อย่างต่อเนื่อง แต่ร่างกายของผู้ตายแข็งแรงมาก แม้ว่าเธอจะเป็นักโภชนาการระดับสูงก็เกรงว่าคงไม่ง่ายที่จะทำมาถึงจุดนี้ได้
เพียงแต่คำสารภาพของหรงลี่ก็ดูจะมีเหตุมีผลอยู่
แฟ้มคดีถูกปิดผนึกอย่างรวดเร็ว จ้าวอี้หาคำตอบที่้าไม่เจอ บางทีอาจเป็เขาที่คิดมากเกินไป ชายหนุ่มปลอบใจตนเอง
เมื่อทุกคนต้องขับรถออกไปที่ภัตตาคารในโรงแรม เหล่าโจวก็เรียกให้จ้าวอี้มานั่งคันเดียวกับตน
จ้าวอี้รู้ว่าเหล่าโจว้าพูดอะไรบางอย่างกับตน
“เสี่ยวจ้าว อา... เริ่มคุ้นเคยกับที่นี่บ้างหรือยัง?”
“ก็ดีครับ ทุกคนในแผนกดูแลผมดีมากเลย”
“ฮ่าๆ นายพยศสินะ ฉันได้ยินมาว่า ตอนที่นายมาที่นี่ เฉินตงไม่ค่อยชอบขี้หน้านายเท่าไรนี่นา” เหล่าโจวหัวเราะร่า คนขับรถไม่ใช่ใครอื่น เป็เฉินตงนั่นเอง
ใบหน้าของเฉินตงกลายเป็สีแดง เขาแก้ตัวกลับอย่างไม่ยอมรับ “วันแรกที่จ้าวอี้เพิ่งมา ทั้งตัวเขาอย่างกับพวกทวงหนี้แหน่ะ โทษผมได้ที่ไหนกัน? แต่ตอนหลังความสัมพันธ์ของเราก็ค่อนข้างดีนะครับ พี่จ้าวมีความสามารถ และผมก็นับถือคนมีความสามารถด้วย”
เหล่าโจวหัวเราะอย่างมีความสุข ได้เห็นลูกน้องไม่มีความเกลียดชังต่อกัน นี่ทำให้เขามีความสุขอย่างไม่ต้องสงสัย
“นายสงสัยงานของเราอยู่เหรอ?”
“ใช่ครับ ผอ. ผมคิดว่าเราไม่พุ่งความสนใจของคดีไปไว้ที่เื่ภูตผีเทพเ้านั่นเลยนะครับ มันไม่มีหลักการเลยสักนิด ความจริงมันก็พิสูจน์ได้แล้วนี่ครับว่าฆาตกรในคดีล่าสุดเป็คน ไม่ใช่อะไรก็ตามที่เรียกว่าภูตผีน่ะ” จ้าวอี้อยากรายงานปัญหานี้มานาน ตอนนี้มีโอกาสแล้ว เขาต้องพูดความคิดของตนออกไป
“โอ้! นายศึกษาข้อมูลเื่นี้มาไม่น้อยเลยสินะ งั้นนายจะอธิบายเื่ที่ไม่มีหลักการพวกนั้นยังไงล่ะ?” เหล่าโจวมีความอดทนมาก ดูเหมือนจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเจอปัญหาแบบนี้
จ้าวอี้พึมพำเบาๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เหมือนไม่แน่ใจ “อาจเป็ผลกระทบจากสนามแม่เหล็ก รังสี จิตวิทยาส่วนบุคคล หรือแม้แต่แบคทีเรียกับไวรัสก็ได้มั้งครับ”
“ที่นายพูดก็อาจถูกและอาจผิด มันไม่มีคำตอบหรอกนะ วิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันของพวกเราเพิ่งพัฒนามาได้ร้อยกว่าปีเอง ขณะที่ตำนานภูตผีที่ไม่มีหลักการกลับแพร่หลายมาเป็เวลานานมากแล้ว ที่พวกเราต้องทำไม่ใช่การหาที่มาของมัน แต่เป็การแก้ไขปัญหาที่มันพามา แน่นอนว่าถ้านายสนใจเป็การส่วนตัวล่ะก็ นายสามารถหาสาเหตุที่มันเกิดขึ้นได้นะ”
เหล่าโจวผู้สวมชุดนักพรตโบราณ แท้จริงแล้วระดับวัฒนธรรมของคนคนนี้สูงท่กเลยทีเดียว ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกเบื้องบนเลือกให้เป็ผู้นำ
จ้าวอี้คิดดูแล้วก็แอบเห็นด้วย แต่ก็ยังพูดขึ้นอีกว่า “งั้นเราจะตัดสินว่าคดีมีความเกี่ยวข้องกับเื่พวกนี้ยังไงล่ะครับ?”
“เราไม่จำเป็ต้องตัดสินคดีนี้หรอก กองความมั่นคงสาธารณะของทุกเมืองมีอุปกรณ์พิเศษที่ใช้ในการตรวจสอบและค้นหาพลังงานพิเศษบางอย่างซึ่งพวกเราเรียกว่าพลังหยินอยู่ และคดีแบบนี้ก็จะส่งต่อมาให้เราทำ อย่างไรก็ตามแต่ มันก็อันตรายเกินไปสำหรับเ้าหน้าที่ตำรวจธรรมดาที่จะเข้ามาจัดการกับคดีประเภทนี้ จ้าวอี้ อา... หน้าที่หลักของพวกเราไม่ใช่ไขคดีอย่างง่ายๆ หรอกนะ แต่มันคือการขัดขวางสิ่งเหล่านี้ไม่ให้กระจายอันตรายออกไปจนใหญ่โตไงล่ะ นายเข้าใจใช่ไหม?”
คราวนี้จ้าวอี้เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงมีคนแปลกๆ ในสำนักงานเยอะขนาดนี้ ทุกคนต่างก็เป็คนที่มีพร์ชั้นเยี่ยมทั้งนั้น
เพียงแต่ ทำไมตนถึงมาอยู่ที่แผนกนี้ได้กัน?
ดูเหมือนจะรับรู้ถึงความสงสัยของจ้าวอี้ได้ เหล่าโจวอธิบายต่อ “เ้าหน้าที่ของพวกเรามีน้อยเกินไป และเ้าหน้าที่ของเราก็ไม่สามารถเพิ่มตามอำเภอใจได้ด้วย นายก็รู้ว่าเื่แบบนี้ไม่ควรให้คนทั่วไปรู้เื่ พวกเราทำได้เพียงคัดเลือกคนเดียวจากคนเป็พันคนเท่านั้น อย่ามองว่าเซี่ยตันเป็แค่ผู้หญิงธรรมดาเชียว ถ้าพูดถึงการไขคดีแล้ว เธอเคยมีชื่อเสียงในหน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติ ฉันแค่ขอไปแบบหน้าด้านๆ ว่าให้ย้ายเธอมาที่นี่ แต่กองความมั่นคงก็ไม่ได้หลอกฉันแต่อย่างใด”
ใบหน้าของเหล่าโจวเปล่งประกาย ชัดเจนว่าพอใจในสิ่งที่ตนทำอย่างมาก
ท้ายที่สุดแล้ว มันก็ยังเป็ปัญหาสิทธิ์การเข้าถึงการรักษาความลับ จ้าวอี้มีตำแหน่งไม่ต่ำในกองทัพ ยศทหารของเขาอยู่ที่ร้อยโท เป็ผู้บัญชาการหนึ่งเดียวของหน่วยจู่โจมพิเศษ และเป็เพราะความลับสุดยอดของประเทศทั้งหมดนั้นเองที่ทำให้จ้าวอี้มาอยู่ที่นี่ได้
ครั้นได้ไขข้อสงสัยในใจแล้ว สีหน้าของจ้าวอี้ก็ดูดีขึ้นมาก บางเื่ที่ไม่อาจเข้าใจก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาคร่าวๆ แล้ว
“ใช่แล้ว เร็วๆ นี้ฉันคงมีโอกาสได้พานายไปดูเื่ที่ไม่มีหลักการพวกนั้นด้วยตัวเองล่ะนะ”
เหล่าโจวคิดบางอย่างขึ้นมาได้ เขายิ้มให้จ้าวอี้อย่างมีลับลมคมใน
จ้าวอี้คิดจะถามแต่รถก็จอดสนิทแล้ว
ถึงโรงแรมแล้ว