ค่ำคืนปีใหม่ม่อเวิ่นเฉินนั้นอยู่เป็เพื่อนซูฉีฉีตลอดทั้งคืน จนกระทั่งฟ้าสางซูฉีฉีถึงได้เดินกลับห้องตนเองไปด้วยอาการมึนๆ เมื่อนางถึงห้องก็นอนหลับลงไปทันที
หัวใจที่เดี๋ยวทุกข์เดี๋ยวสุขของนางนั้นก็ไม่อาจสงบได้อีก เขาทำได้แล้ว แต่ว่าทำไมเขายังต้องแต่งงานกับฮวาเชียนจืออีก
ด้วยนิสัยของเขา ขอเพียงเขาไม่ยินยอมฮ่องเต้ของแคว้นป่ายฮวามีหรือจะออกคำสั่งกับเขาได้ เพราะถึงอย่างไรเสียเขาก็เป็ท่านอ๋องของแคว้นต้าเยียนไม่ใช่ท่านอ๋องของแคว้นป่ายฮวา
เื่ในจวนอ๋องนั้นซูฉีฉีได้จัดการจนคุ้นเคยแล้วชีวิตของนางจนท้ายที่สุดแล้วก็ยังคงราบเรียบ ไม่ได้มีเื่ใดๆ มาวุ่นวายกับนางไม่เหมือนชีวิตของนางตอนที่อาศัยอยู่ที่โรงซักล้าง แต่นางก็ไม่มียศศักดิ์ดั่งเช่นที่พระชายาควรมี
ชีวิตของนางแค่ข้องเกี่ยวกับม่อเวิ่นเฉินเท่านั้น อารมณ์ของนางก็เช่นกัน
เพราะว่าม่อเวิ่นเฉินกำลังจะแต่งฮวาเชียนจือเข้ามาทำให้จวนอ๋องใน่ระยะนี้วุ่นวายเป็อย่างมากอีกทั้งก็ยังทำให้ซูฉีฉียุ่งจนไม่มีเวลาทำอย่างอื่นแม้ว่านางจะไม่ยินดีกับงานแต่งครั้งนี้ แต่นางก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอันใดได้
มิสู้ปล่อยให้ทุกอย่างเป็ไปตามธรรมชาติ
ม่อเวิ่นเสวียนที่อยู่ไกลถึงเมืองหลวงเองก็ได้ยินข่าวที่ม่อเวิ่นเฉินนั้นจะแต่งชายารองทว่าเขากลับไม่ยื่นมือมายุ่งเกี่ยว ทำเพียงแค่ส่งคนนำของขวัญมาให้ตอนนี้ม่อเวิ่นเสวียนนั้นสำรวมเป็อย่างมาก
อย่างน้อย ในเวลาอันสั้นนี้เขาก็ไม่กล้าหาเื่ม่อเวิ่นเฉินอีก
งานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ของม่อเวิ่นเฉินนั้นแน่นอนว่ามีคนคนหนึ่งที่ขาดไม่ได้อย่างแน่นอน
หลังจากปีใหม่ผ่านพ้นไปเหลยอวี๊เฟิงก็เดินทางมาจวนอ๋องด้วยตัวคนเดียวแล้วอีกทั้งยังเดินไปมาอย่างชำนาญทางยิ่งกว่าสำนักเหลยของตนเสียอีก
“ทำไมเ้าถึงคิดตกแล้วตัดสินใจจะแต่งกับญาติผู้น้องที่รูปโฉมงดงามผู้นั้นกัน?” เหลยอวี๊เฟิงนอนพิงเข้ากับเก้าอี้ยาว ขาของเขายกขึ้นมาพาดขาอีกข้างหนึ่งไว้ดวงตาทั้งสองหรี่ลงเล็กน้อยขณะมองสำรวจม่อเวิ่นเฉินขึ้นๆ ลงๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
“เสด็จน้าสั่งให้ข้าดูแลนางให้ดีๆ” ม่อเวิ่นเฉินนั้นไม่เคยมีเื่ปิดบังเหลยอวี๊เฟิงมีอะไรก็จะพูดออกมา
“ก็เลยต้องดูแลถึงบนเตียงงั้นหรือ” เหลยอวี๊เฟิงกระตุกมุมปากขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจ“เช่นนั้น ซูฉีฉีจะทำเช่นไร? ”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้ออกมานั้น ดวงตาของเขากลับมีประกายปรากฏขึ้น “ข้ามิเชื่อหรอกว่านางจะยินยอม ไม่หึงหวงเลย?” จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบาเสมือนพูดกับตนเอง“นอกจากว่าในใจของนางจะไม่มีเ้าอยู่ถ้าเช่นนั้นการพนัน...ของพวกเรา...”
จากนั้นใบหน้าของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มเ้าเล่ห์ขึ้น
ม่อเวิ่นเฉินที่เดิมมีสีหน้าราบเรียบนั้นก็ขมวดคิ้วที่เข้มดุจหมึกของตนนั้นเบาๆดวงตาที่สว่างดุจดวงดาวนั้นก็มีประกายปรากฏขึ้นแวบหนึ่งก่อนจะหายไปในเวลาอันสั้น
“ตอนแรกที่เอ่ยถึงการพนันนั้นเ้ามิได้พูดว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนมิใช่หรือ” ตอนนี้สีหน้าของม่อเวิ่นเฉินนั้นมิได้ผ่อนคลายนักทว่าเขากลับเอ่ยประโยคที่ทำให้เหลยอวี๊เฟิงแทบจะกระอักเืออกมา
เมื่อพูดเช่นนี้เกรงว่าเหลยอวี๊เฟิงยากนักที่จะชนะแล้วเอาของจากเขาไปได้เสียแล้ว
ม่อเวิ่นเฉินในทางกลับกันนั้น ขอเพียงเขามีเวลาเพียงพอผู้ชนะนั้นช้าเร็วก็ยังคงเป็เขา
ประโยคนี้ทำให้เหลยอวี๊เฟิงมีโทสะไม่น้อยเขาชี้นิ้วไปทางม่อเวิ่นเฉินแต่กลับไม่รู้จะพูดอะไรออกมา
จริงอยู่ ที่ั้แ่ไหนแต่ไรมา เขาก็ไม่เคยเอาชนะม่อเวิ่นเฉินได้แม้ว่าทุกครั้งจะแพ้เพราะเล่ห์เหลี่ยมและเขานั้นก็คอยระมัดระวังเป็อย่างมากแต่ว่าครั้งต่อไปเขาก็ยังตกหลุมพรางอยู่ดี
ดวงตามืดสนิทของม่อเวิ่นเฉินนั้นมองไปในทิศทางอันไกลโพ้นมิได้สนใจเหลยอวี๊เฟิงที่กำลังมีโทสะแม้แต่น้อย “ดาบเสวียนหยวนยังไงเสียก็ต้องเป็ของข้า”
“ถ้าหากตลอดชีวิตของซูฉีฉีนั้นไม่มีทางรักเ้า ข้าก็ต้องรอเ้าไปตลอดชีวิตงั้นหรือ?” เหลยอวี๊เฟิงรู้สึกไม่พอใจ เขาชอบเจียวเหว่ยมากเหลือเกินคิดหาวิธีมากมายแต่ก็ไม่สามารถได้มันมาเสียที
ยอมไม่ได้ ยอมไม่ได้จริงๆ
ม่อเวิ่นเฉินพยักหน้าเป็การตอบว่าใช่ ก่อนที่ความเยือกเย็นจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขาจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วเดินไปทางบานประตู “ใคร?”
เสียงนั้นทุ้มเข้ม แฝงไปด้วยความอันตราย จากนั้นเหลยอวี๊เฟิงก็ลุกขึ้นเช่นกันและดีดตัวเหาะไปทางประตู
แต่ว่าม่อเวิ่นเฉินและเหลยอวี๊เฟิงนั้นกลับไม่เห็นอะไรสักอย่างแม้แต่เงาของคนก็ไม่เห็น คนทั้งสองหันมาสบตากัน
ก่อนที่เหลยอวี๊เฟิงจะยักไหล่ “ที่ไหนมีคนกันเ้าก็ระวังตัวมากไปแล้ว ที่นี่เป็ถึงจวนอ๋องติ้งเป่ยโหว” เขาเอ่ยพลางเดินกลับไป เขานั้นยังคงจมอยู่กับความเศร้าโศก
ในใจนึกเพียงแต่พิณเจียวเหว่ยของเขา
คิ้วทั้งสองของม่อเวิ่นเฉินขมวดเข้าหากันเขามิได้หมุนเดินกลับไปที่โถงรับรองแขกในทันที แต่กลับยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
เขารู้สึกว่าเมื่อครู่มีคนอยู่ตรงนี้เป็แน่แต่ว่าต้องเป็คนที่มีความสามารถถึงขั้นไหนจึงทำให้เขาจับตัวเอาไว้ไม่ได้ ถ้าหากมียอดฝีมือเช่นนั้นจริงคงเป็ที่เลื่องลือในยุทธภพนานแล้วกระมัง
ทันใดนั้นสมองเขาก็ผุดความคิดที่น่ากลัวออกมา เขารู้สึกว่าบางทีเมื่อครู่อาจมีคนอยู่จริงๆ...และเป็คนที่เขาไม่หวังจะให้เป็ที่สุดผู้นั้น
เมื่อครู่เขานั้นกำลังคุยอะไรกับเหลยอวี๊เฟิงอยู่?
ม่อเวิ่นเฉินส่ายศีรษะเขายืนอยู่ตรงนั้นเป็เวลานานจนในที่สุดก็เดินกลับไปบางทีอาจเป็เพราะตนระแวงมากเกินไป ถ้าหากเป็นางจริงด้วยพื้นฐานที่ไม่เป็วรยุทธ์แม้แต่นิดเดียวของนางมีหรือจะหายตัวไปได้อย่างรวดเร็วเช่นนั้น
“ไม่มีคนใช่หรือไม่” เหลยอวี๊เฟิงจ้องไปที่ม่อเวิ่นเฉินอย่างไม่สบอารมณ์“เอาเถอะ พวกเรากำหนดเวลาหน่อยดีหรือไม่?”
ประโยคหลังนั้นกลับเอ่ยออกมาอย่างมีเลศนัย พลางหันไปสบตากับม่อเวิ่นเฉิน
ม่อเวิ่นเฉินยิ้มขณะมองไปที่เหลยอวี๊เฟิง ก่อนจะส่ายศีรษะ “เอาเถอะ เห็นแก่ท่าทีที่ซื่อตรงของเ้าเวลาก็กำหนดไว้ในอีกครึ่งปีข้างหน้าแล้วกัน”
เขานั้นมีความมั่นใจในตัวเองเต็มเปี่ยม
เขารู้ว่าซูฉีฉีนั้นมีใจให้กับตน แม้ว่าจะไม่ได้เด่นชัดมากแต่ก็ยังพอจะรู้สึกได้
“แป๊ะ” เหลยอวี๊เฟิงตบมือเข้าด้วยกันก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง“ดี ดี อย่างนี้สิถึงจะพอรับได้”
นอกห้องโถงใหญ่ ซูฉีฉีนั้นกำลังพิงเข้ากับหลังบานประตูเงียบๆไม่ขยับแม้แต่น้อย ดวงตาทั้งสองของนางปิดสนิท สีหน้าขาวซีดมือที่อยู่ใต้แขนเสื้อนั้นกำแน่นเข้าหากัน
นางกัดริมฝีปากที่เรียวบางของตนแน่น นางได้ยินอะไรนี่เป็คำถามที่นางถามตัวเองซ้ำๆ ที่แท้ทั้งหมดนั้นเป็เพียงแค่การพนัน
ใจที่แต่เดิมกำลังว้าวุ่นนั้น ตอนนี้ก็ได้จมลึกถึงก้นบ่อต่อให้นางแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่อาจยอมรับความจริงนี้ได้
มิน่าละ เขาถึงจะแต่งฮวาเชียนจือเข้ามาสำหรับเขาแล้วนางก็เป็เพียงแค่เครื่องมือในการชนะพนันเท่านั้นจะมีตัวตนหรือไม่มีก็ได้หรือว่าจะเป็แค่เครื่องมือที่เขาใช้รักษาชีวิตของตนเท่านั้น
หรืออาจเป็เพราะว่าเขาไม่อยากจะแพ้การพนันในครั้งนี้
การช่วยเหลือและความอ่อนโยนในแต่ละครั้งนั้นแท้จริงแล้วล้วนไม่ใช่เื่จริง
ล้วนไม่ใช่เื่จริง...
นางพยายามห้ามน้ำตาของตัวเองไม่ให้ไหลออกมา แต่ว่านางกลับทำไม่ได้ขนตาเรียวยาวกำลังสั่นขณะที่หยดน้ำตาค่อยๆ ไหลผ่านแก้มของนาง ซึมเข้าไปในปากทำให้มีรสชาติเค็มๆที่ปลายลิ้น
นางทำเพียงแค่พิงอยู่ที่หลังบานประตู ปล่อยให้น้ำตารินไหลออกมา
จนกระทั่งม่อเวิ่นเฉินและเหลยอวี๊เฟิงออกจากห้องไปนางถึงยกมือขึ้นค้ำกำแพงแล้วค่อยๆ ก้าวเท้าทีละก้าวกลับห้องพักของตน
ความเ็ปในหัวใจของนางค่อยๆ เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆในสมองก็คิดถึงเื่ราวในอดีตที่ผ่านมาทั้งหลาย
บางทีถ้านางพักอาศัยอยู่ที่โรงซักล้างตลอดไปนั้นคงจะเป็ทางเลือกที่ดีที่สุดเช่นนั้นก็จะไม่รู้สึกเ็ปหัวใจเช่นนี้แล้ว อย่างมากที่สุดนางก็แค่ได้รับสายตาเหยียดหยามเท่านั้น
นางอยากจะเสียใจกับการตัดสินใจของตน ทว่าตอนนี้นางรู้สึกว่าไม่ทันเสียแล้วมารดาของตนไม่อยู่แล้วสิ่งยึดมั่นอย่างเดียวที่ทำให้นางอยากมีชีวิตอยู่นั้นก็ได้มลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
ซูฉีฉีนอนฟุบลงไปกับโต๊ะ ก่อนจะออกแรงเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของตน
นางจะต้องมีชีวิตต่อไปอย่างกล้าหาญเพราะนางยังต้องแก้แค้นให้กับมารดาของตนอยู่
จะต้องทำให้ได้
หลังจากผ่านปีใหม่ไป จวนอ๋องก็ยังคงมีบรรยากาศครึกครื้น
ม่อเวิ่นเฉิน เหลยอวี๊เฟิงและเหลิ่งเหยียนกำลังนั่งล้อมอยู่ใต้ต้นเหมยดื่มด่ำรสชาติของชากันอยู่ แต่กลับไม่มีท่าทีผ่อนคลาย
“ฮวาฉือได้ก่อตั้งพรรคเด็ดบุปผาใหม่แล้ว อีกทั้งยังจะรวมยุทธภพเป็หนึ่งเ้าว่าโอกาสเป็ไปได้สูงหรือไม่? ” ชุดสีขาวของเหลยอวี๊เฟิงสะบัดไปตามสายลมสะท้อนกับดอกเหมยที่เบ่งบานเป็สีแดงสดโดยรอบนั้นยิ่งทำให้เขาดูโดดเด่นเป็อย่างมาก
โครงหน้าที่งดงามนั้นแฝงด้วยความกระล่อนออกมาเล็กน้อย
ม่อเวิ่นเฉินที่สวมชุดสีดำสนิทนั้นยังคงมีบารมีเสมือนาาที่อยู่เหนือผู้คนเช่นนั้นเหมือนเช่นเดิม“เป็ไปได้ถึงสิบส่วน”
เหลิ่งเหยียนมองไปที่คนทั้งสอง มิได้เอ่ยอะไรออกมา
“ทำไมถึงคิดเช่นนั้น?” เหลยอวี๊เฟิงไม่ค่อยเข้าใจนักแม้ว่าเขาจะไม่เคยต่อกรกับฮวาฉือแต่ก็รู้ว่าความสามารถนั้นมิได้เหนือไปกว่าม่อเวิ่นเฉิน
อีกทั้งเดิมยังเป็แค่โจรูเา ไม่มีสติปัญญาเท่าไหร่นัก
“คนนั้นไม่อาจตัดสินได้จากรูปลักษณ์” ม่อเวิ่นเฉินเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบางๆ“บางที มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะเป็คู่ต่อสู้ที่มีฝีมือที่สุดของข้า”
เหลยอวี๊เฟิงและเหลิ่งเหยียนล้วนมิได้เอ่ยต่อพวกเขาเชื่อในคำพูดของม่อเวิ่นเฉิน เขานั้นไม่เคยมองคนผิดมาโดยตลอด
เมื่อพูดเช่นนี้ พวกเขาคงต้องระวังฮวาฉือผู้นี้ให้มากเสียแล้ว
เพราะว่าการต่อสู้ครั้งนั้นระหว่างม่อเวิ่นเสวียนและม่อเวิ่นเฉินนั้นได้ดึงคนในยุทธภพมาเกี่ยวข้องด้วยทำให้ยุทธภพตอนนี้นั้นถือได้ว่าแตกกระจายไม่เป็กลุ่มแล้ว ฮวาฉือถือโอกาสนี้ลงมือเรียกได้ว่าเป็คนมองการไกลและมีสายตาที่หลักแหลมมาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้