ทุกคนมองศพที่ล้มลงไปกองกับพื้น ด้วยท่าทางโง่เขลา ฝูงชนรู้สึกเหมือนกำลังฝันไป หนึ่งดาบ… เพียงแค่หนึ่งดาบเท่านั้นก็สามารถสังหารกู่ชิงผู้แข็งแกร่งให้ตายลงได้ ชายปริศนาคนนี้ไม่แม้แต่จะให้โอกาสกู่ชิงได้พูดคำว่า ‘ยอมแพ้’ สักนิด
“ดาบนั่น...เร็วมาก” ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างพากันกลืนน้ำลายลงคอเสียงดัง อันที่จริงแล้วพวกเขามองดาบไม่ทันเลยด้วยซ้ำ และไม่รู้ด้วยว่าตั๋วมิ่งใช้ท่าดาบอะไรในการฟันกู่ชิง เห็นแค่แสงแวบๆ ขึ้นมาและทุกอย่างก็จบ
มีเพียงแค่ผู้ฝึกยุทธ์ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาจนอยู่ในระดับสูงสุดเท่านั้น ถึงจะสามารถทำให้กระบวนท่าไร้ร่องรอยขนาดนี้ ซึ่งแน่นอนว่าหลินเฟิงได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาประเภทดาบจนมาถึงระดับสูงสุดแล้ว ดังนั้นจึงสามารถสังหารกู่ชิงในดาบเดียวได้
“ร้ายกาจ!!!” เฟิงเฉียนมองหลินเฟิงด้วยความรู้สึกที่พูดไม่ออก เฟิงเฉียนรู้ว่าถ้าเปลี่ยนตัวเองไปแทนที่กู่ชิงแล้วล่ะก็ เขาคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ความจริงแล้ว หลังจากที่เกิดเหตุการณ์เมื่อวานนี้ เฟิงเฉียนก็ได้เปลี่ยนนิสัยและความคิดของตัวเองได้ และนั่นก็ส่งผลให้พลังของเขาแข็งแกร่งขึ้น แต่ถึงพลังของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นก็ยังไม่สามารถเป็คู่ต่อสู้ของหลินเฟิงได้อยู่ดี
กู่ชิ่งลุกจากที่นั่งทันที ความโกรธเกรี้ยวแผ่ไปทั่วทุกสารทิศ เมื่อเห็นศพของกู่ชิงนอนกองกับพื้น กลิ่นอายอันทรงพลังพลันแพร่กระจายออกมาจากร่างของเขา กู่ชิงตายแล้ว? ต้องรู้ว่ารุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลกู่ นอกจากกู่เหยียนแล้วก็เป็กู่ชิงที่เพิ่งถูกหลินเฟิงสังหารไป
“นี่เ้ากล้าฆ่าเขา!!!” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโมโหตวาดออกมาประหนึ่งเสียงฟ้าร้อง คลื่นพลังที่แฝงมากับเสียงได้ทำลายขวัญของทุกคนเสียกระเจิดกระเจิง
หลินเฟิงเงยหน้าขึ้นไปมองกู่ชิ่งที่ะเิความโกรธออกมา ด้วยสายตาเ็า “นี่เ้าคิดว่าข้าควรจะยืนนิ่งๆ แล้วปล่อยให้เขาสังหารข้าอย่างนั้นเหรอ?”
กู่ชิ่งถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินประโยคนี้ เขากับกู่ชิง้าที่จะสังหารหลินเฟิง แต่กลับไม่อนุญาตให้หลินเฟิงสังหารกู่ชิง??? นี่เป็เหตุผลที่ไร้สาระมาก แต่ทว่าใต้หล้านี้เหตุผลมีไว้ให้ผู้ที่แข็งแกร่งใช้เท่านั้น กู่ชิงเป็คนของตระกูลกู่ ดังนั้นการที่เขาอยากจะสังหารหลินเฟิงย่อมไม่ผิด ซึ่งกลับกันการที่หลินเฟิงสังหารกู่ชิง นี่สิถือว่ามีโทษสมควรตาย!!!
“เ้า!... ดี ดีจริงๆ!!! ข้าจะจำเ้าไว้” กู่ชิ่งมองหลินเฟิงด้วยสายตาเคียดแค้น ทุกคำที่พูดล้วนแฝงไปด้วยเจตนาฆ่า
ฝูงชนได้ฟังประโยคอาฆาตของกู่ชิ่งก็แอบนึกเสียดายหลินเฟิงขึ้นมาในใจ ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะแข็งแกร่งมาก แต่ทว่าเขาบ้าบิ่นเกินไป การที่เขากล้าสังหารรุ่นเยาว์อัจฉริยะของตระกูลกู่ต่อหน้าคนของตระกูล แน่นอนว่าตระกูลกู่คงไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ
“ข้าชื่อตั๋วมิ่ง” หลินเฟิงหันหลังให้กู่ชิ่งแล้วเดินลงเวทีไป แต่ก่อนจะลงไปนั้น เขาได้ทิ้งท้ายประโยคสั้นๆ ว่า “หากเจอคนตระกูลกู่ ข้าจะสังหารมันซะ พบหนึ่งสังหารหนึ่ง พบสองสังหารสอง!!!”
“ฟืด...” เมื่อฝูงชนได้ยินประโยคที่อาจหาญของหลินเฟิง ก็พากันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นี่มันบ้า บ้าไปแล้ว!!! เขากล้าท้าทายตระกูลกู่ซึ่งๆ หน้าแบบนี้เลยหรือ?!
แน่นอนว่าต่อให้เป็รุ่นเยาว์ที่โดดเด่นของเมืองหยางโจว ก็ยังไม่ใจกล้าพูดจาท้าทายตระกูลกู่ซึ่งๆ หน้าแบบนี้เลย แล้วไหนจะคำพูดที่ว่าพบหนึ่งสังหารหนึ่ง พบสองสังหารสอง นี่แสดงว่าตั๋วมิ่ง้าสังหารอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของตระกูลกู่ทั้งหมด เขาไม่เห็นตระกูลกู่อยู่ในสายตาเลยสักนิด
เมื่อรุ่นเยาว์ตระกูลกู่ได้ยินประโยคนี้ก็โมโหขึ้นมาทันที พวกเขาแต่ละคนพากันสบถด่าตั๋วมิ่งอย่างหยาบคาย แต่ในใจของพวกเขากลับเต้นโครมครามไม่หยุด และนึกอธิษฐานอยู่ในใจว่าขออย่าได้เจอไอ้หมอนี่บนเวทีเลย ขนาดกู่ชิงยังโดนสังหารในพริบตา แล้วพวกเขาล่ะ??? ไม่เละเป็โจ๊กคาเวทีหรือ??? เกรงว่าคงมีเพียงกู่เหยียน ที่เป็ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแห่งจิติญญาเท่านั้น ถึงจะสามารถเป็คู่ต่อสู้ให้ตั๋วมิ่งได้ ทางที่ดีที่สุด ให้กู่เหยียนพบตั๋วมิ่งในรอบถัดไปเลยจะดีกว่า แล้วให้กู่เหยียนเป็คนล้างแค้นให้กับกู่ชิงแทน
ไม่มีใครสงสัยในความแข็งแกร่งของกู่เหยียนเลยสักนิด ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแห่งจิติญญาไม่ใช่คนอย่างตั๋วมิ่งจะสามารถเอาชนะได้ ต่อให้แข็งแกร่งขนาดไหนก็ตาม
“หากข้าได้พบมัน ข้าจะทำให้มันต้องตายอย่างทรมานและแก้แค้นให้กับกู่ชิง!!!” กู่เหยียนที่ยืนรวมกลุ่มกับรุ่นเยาว์ตระกูลกู่พูดขึ้นมาอย่างมาดหมาย ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ตั๋วมิ่งอย่างเ็า ขณะที่ปลดปล่อยจิตสังหารอันเยือกเย็นออกมา ตั๋วมิ่งมันต้องตาย!!!
ใช้เวลาไม่นาน ผลการประลองในรอบแรกก็สิ้นสุดลง ผู้แพ้ทั้ง 20 คนถูกคัดออกไปเป็ที่เรียบร้อย เหลือเพียงแค่ผู้ชนะในรอบแรกทั้ง 20 คน ซึ่งการประลองในรอบถัดไป เวทีประลองทั้ง 5 จะถูกแบ่งออกเป็สองฝั่ง เพื่อให้สามารถประลองพร้อมกันได้ และคัดคนออกอีก 10 คน
รอบนี้หลินเฟิงไม่ได้พบคนของตระกูลกู่ แต่กลับพบคนของตระกูลน่าหลันแทน นั่นก็คือ น่าหลันเฉิน
“หากสู้ได้ก็สู้ แต่ถ้าสู้ไม่ได้ก็ให้ยอมแพ้ไป” น่าหลันเฟิงยืนอยู่ในกลุ่มรุ่นเยาว์ของตระกูลน่าหลันด้วยท่าทางสง่างาม เมื่อรู้ว่าคู่ต่อสู้ของน่าหลันเฉินคือใคร น่าหลันเฟิงก็รีบกำชับน่าหลันเฉินทันที
“ขอรับ” น่าหลันเฉินพยักหน้า แต่ดวงตาของเขากลับเป็ประกายอยากรู้อยากลองขึ้นมา ถึงแม้ว่าชื่อเสียงของเขาจะไม่โด่งดังเท่ากู่ชิง แต่ทว่าการบ่มเพาะของเขาก็อยู่ในระดับขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 เหมือนกู่ชิง อีกทั้งเห็นตั๋วมิ่งสังหารกู่ชิงในดาบเดียวอย่างง่ายดาย จึงคิดว่ากู่ชิงกระจอกกว่าที่คิดมาก ถ้าหากตัวเองเอาชนะตั๋วมิ่งได้ ชื่อเสียงของเขาจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
สายตาภายใต้หน้ากากของหลินเฟิงเ็าขึ้นมา ขณะที่ปรายตามองน่าหลันเฟิงอย่างรังเกียจ อะไรคือสู้ได้ก็สู้ แต่ถ้าสู้ไม่ได้ก็ให้ยอมแพ้ไป? ถามเขาสักคำไหม? ว่าเห็นด้วยหรือเปล่า???
คืนก่อนตระกูลน่าหลันได้ส่งยอดฝีมือจำนวนหนึ่งมาลอบสังหารเขา และ้าชีวิตเขา หลินเฟิงไม่ลืมหรอกว่าต้นเหตุทั้งหมดมาจากการที่เขาไม่ยอมให้น่าหลันเฟิงนั่งร่วมโต๊ะด้วยเท่านั้น
“ข้าจะต้องทุ่มพลังในครั้งเดียวเพื่อเอาชนะตั๋วมิ่งให้ได้ หากเป็แบบนั้นชื่อเสียงและอิทธิพลของข้าในตระกูลน่าหลันก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น” น่าหลันเฉินมองไปที่หลินเฟิงอย่างมาดหมาย เขาจะใช้หลินเฟิงเป็หินรองเท้าของเขา!!!
“เร็วไปที่จะคิดแบบนั้น” หลินเฟิงแสยะยิ้มออกมา เพียงแค่มองหน้าก็รู้แล้วว่าน่าหลันเฉินกำลังคิดอะไรอยู่
“จิติญญาแขนเทวะ” ถึงแม้ว่าน่าหลันเฉินอยากจะใช้ตั๋วมิ่งเพิ่มชื่อเสียงให้กับตัวเอง แต่ทว่าเขาก็ไม่กล้าประมาทตั๋วมิ่งเลยสักนิด น่าหลันเฉินเรียกจิติญญาแห่งนักรบของตัวเองออกมา ด้านหลังของเขาปรากฏแขนั์ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอันทรงพลังขึ้นมา แขนข้างนั้นชูขึ้นฟ้าราวกับจะพุ่งขึ้นไปบน์
“นี่คือจิติญญาแขนเทวะ มีเพียงแค่ตระกูลน่าหลันสายตรงเท่านั้นที่จะได้รับสืบทอด มันทรงพลังมาก ว่ากันว่าจิติญญาแขนเทวะมีพละกำลังที่มหาศาลมาก ไม่มีสิ่งใดที่ทำลายไม่ได้ นอกจากนี้ยังสามารถสังหารคนในหมัดเดียวได้”
เมื่อได้ปลดปล่อยจิติญญาแขนเทวะออกมา น่าหลันเฉินก็เริ่มรู้สึกมั่นใจมากขึ้น เขาไม่รอช้ารีบพุ่งเข้าไปโจมตีหลินเฟิงทันที
“กำปั้นพระเ้า!!!”
ไม่ทันได้เข้าประชิดตัว น่าหลันเฉินก็ะโชื่อท่าออกมาอย่างมั่นใจ แล้วปล่อยลมปราณรูปหมัดที่ทรงพลังออกมา เสียงหมัดทะลวงอากาศดังขึ้นราวกับว่าเพียงแค่โดนััเล็กน้อยก็อาจตายได้ทันที
“แข็งแกร่งมาก นี่เป็เคล็ดวิชาประจำตระกูลของท่านเ้าเมือง เคล็ดวิชากำปั้นพระเ้า จุ๊ๆ ระดับการบ่มเพาะของน่าหลันเฉินอยู่ที่ขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมลมปราณถึงได้ทรงพลังขนาดนี้”
ฝูงชนพากันตกตะลึง ชั้นอากาศรอบๆ ตัวของหลินเฟิงพลันบิดเบี้ยวขึ้นมา พร้อมกับหมัดที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้าและกำลังพุ่งตรงมาที่เขา
“หาที่ตาย!!!” หลินเฟิงตวาดเสียงดังแล้วฟันคลื่นดาบออกไป เงาดาบกะพริบไหวอย่างรวดเร็ว หลงเหลือเพียงแสงสะท้อนจางๆ ในอากาศ คลื่นดาบพุ่งทะยานไปด้านหน้า ก่อนจะบดขยี้ปราณหมัดเ่าั้จนแหลกกระจุยและไม่เหลือร่องรอยใดๆ ไว้ ซึ่งขณะเดียวกันตัวดาบได้ปลดปล่อยกลิ่นอายที่น่าเกรงขามออกมา
น่าหลันเฉินเปลี่ยนสีหน้าโดยฉับพลัน เขาปล่อยปราณหมัดออกไปอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ถอยหลัง ยังดีที่เขามีทางถอย
“ตาย”
หลินเฟิงพูดออกมาหนึ่งคำสั้นๆ ที่เป็เหมือนมีดปักลงกลางใจของน่าหลันเฉิน ทันใดนั้นคลื่นดาบที่ทรงพลังก็ะเิออกมา ประกายแสงสว่างวูบก่อนจะพุ่งไปยังลำคอของน่าหลันเฉิน
น่าหลันเฉินที่กำลังถอยหลังก็หยุดชะงักอยู่กับที่ ดวงตาเบิกกว้างราวกับจะถลนออกมา ไม่ได้มีเพียงแค่กำปั้นพระเ้าของน่าหลันเฉินเท่านั้นที่สามารถทำลายร่างคนอื่นได้ ดาบของหลินเฟิงก็สามารถทำได้เช่นกัน
“ดาบทรงพลัง แต่คนทรงพลังยิ่งกว่า”
เมื่อเห็นร่างของน่าหลันเฉินล้มลงไปกองกับพื้น ฝูงชนก็รู้สึกตึงเครียดไปทั่วร่าง สายตาของพวกเขาจ้องมองไปที่หลินเฟิงด้วยแววตาเหลือเชื่อ กระทั่งคนของท่านเ้าเมือง เพียงดาบเดียวก็ตายเรียบ
ท่านเ้าเมืองน่าหลันซยงที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์พลันตัวแข็งทื่อ เขามองหลินเฟิงด้วยแววตาน่ากลัว
“ไอ้ลูกสุนัข!!! นี่เ้ากล้าสังหารคนของตระกูลน่าหลันเชียวเหรอ!!!”
น่าหลันเฟิงตะคอกใส่หลินเฟิงอย่างโมโห เสียงะโของนางทำให้ความเงียบเข้าปกคลุมไปชั่วขณะ
หลินเฟิงปรายตามองไปที่น่าหลันเฟิง พลางพูดอย่างเ็าว่า “ไม่ใช่ว่าท่านเ้าเมืองกำหนดกฎการประลองว่าสามารถสังหารอีกฝ่ายได้ ตราบเท่าที่อีกฝ่ายยังไม่เอ่ยปากขอยอมแพ้ ทำไม? หรือว่าพวกเ้าสามารถสังหารคนอื่นได้ แต่คนอื่นห้ามสังหารคนของท่านเ้าเมือง?! หึ!!! หน้าด้านดีนี่”
“เ้า!!!...” น่าหลันเฟิงเม้มปากแน่น ไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับอีกฝ่ายอย่างไรดี
“เหอะ ภาวนาอย่าให้ต้องมาเจอกับข้าก็แล้วกัน!!!” สีหน้าของน่าหลันเฟิงอึมครึมอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งสายตาของนางยังเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า
หลินเฟิงไม่สนใจคำขู่ของน่าหลันเฟิง เขาหันหลังเดินลงจากเวทีประลอง ขณะที่พูดอย่างเกียจคร้านว่า
“นามของข้าคือ ตั๋วมิ่ง[1] ดาบที่ปล่อยออกไปก็ย่อมเป็ดาบไว้ปลิดชีพ”
ทุกคนมองตามแผ่นหลังของตั๋วมิ่งด้วยความรู้สึกตื่นเต้น ไม่มีใครกล้าดูแคลนตั๋วมิ่งอีกต่อไป คนคนนี้ช่างน่าเกรงขามและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน
ส่วนคนที่ยังไม่ได้ถูกคัดออกนั้นก็แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ทางที่ดีที่สุดก็คืออย่าได้พบกับเ้าตั๋วมิ่งบนเวทีเป็อันขาด!!! มิเช่นนั้นแล้วคงตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเป็แน่!!! เพียงแค่กระบวนท่าเดียวก็สามารถคร่าชีวิตของอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย โดยไม่ปล่อยให้เขาได้มีโอกาสพูดคำว่า ‘ยอมแพ้’
ไม่ช้าการประลองในรอบที่สองก็สิ้นสุดลง เหลือเพียงแค่ 10 คนเท่านั้นที่ผ่านไปยังรอบต่อไป
10 คน ก็น่าจะประลองไปพร้อมๆ กัน 5 เวทีในครั้งเดียวได้
“พักสักครู่ แล้วค่อยเริ่มการประลองในรอบที่ 3” ชายชราเดินขึ้นไปบนเวทีประลอง แล้วประกาศพัก
ฝูงชนต่างรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย พวกเขาแทบจะอดใจรอการต่อสู้ในรอบถัดไปไม่ไหว ในบรรดา 10 คนที่เหลือก็จะมีคนของตระกูลน่าหลัน ตระกูลเหวินและตระกูลหลินอย่างละ 2 คน ส่วนตระกูลกู่เหลือแค่คนเดียว และอีก 3 คนล้วนเป็รุ่นเยาว์อัจฉริยะที่ไม่มีตระกูลใหญ่คอยสนับสนุน ซึ่งคนที่ได้รับความสนใจมากที่สุดก็คือ ตั๋วมิ่ง
“รอบนี้น่าจะเป็การพบกันระหว่างรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุด” เริ่มเกิดการถกเถียงกันขึ้นมาในหมู่ฝูงชนแล้ว
“ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัดก็คงจะเป็น่าหลันเฟิง หลินเชียนกับเหวินเจียง สามคนนี้คือรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุด รองลงมาก็คือกู่เหยียนและชิวหลัน ถัดมาก็เป็หลินหงจากตระกูลหลิน ม้ามืดที่บรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาได้ ส่วนตั๋วมิ่ง เฮ้อ… ถึงแม้ว่าตั๋วมิ่งจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่อาจเอาชนะผู้ที่อยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาได้ ข้าว่าตั๋วมิ่งน่าจะได้อันดับที่ 7 บางทีถ้าโชคดีเขาอาจจะได้เข้าสู่รอบต่อไปก็ได้”
มีบางคนแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมา ซึ่งสิ่งที่เขาพูดก็ดูจะสมเหตุสมผลที่สุด ทำให้คนรอบข้างต่างพยักหน้าเห็นด้วย ถ้าหากตั๋วมิ่งบรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาได้ล่ะก็ อันดับของเขาจะต้องพุ่งทะยานกว่านี้แน่
……………………………………………………………………………………………………………….
[1] ตั๋วมิ่ง แปลว่าปลิดชีพ
