ฮองเฮามักจะโอบอ้อมอารีเป็พิเศษต่อหน้าเยี่ยนเจาเจาเสมอ
แม้เยี่ยนเจาเจาจะพาแม่ครัวจากหอถงเชวี่ยออกไปโดยไร้เหตุผล ทว่าภายใต้สถานการณ์รู้เห็นเป็ใจของฮองเฮา ย่อมไม่มีใครกล้าว่าอะไร
เยี่ยนเจาเจาเริ่มลุกขึ้นเดินก้าวแรกไปแล้ว ส่วนก้าวที่สอง สิ่งที่นางอยากแก้คือเยี่ยนฟางหวา
เยี่ยนฟางหวาเป็เหมือนแมลงวันบินว่อนตัวหนึ่ง ถึงจะไม่ส่งผลร้ายแรงต่อเจาเจาในตอนนี้สักเท่าไหร่ แต่ก็กวนใจไม่น้อย
เมื่อก่อนเจาเจาอยากเก็บเยี่ยนฟางหวาไว้ดูนางเล่นตลก ทว่ายามนี้หมดอารมณ์เล่นแล้ว
เยี่ยนเจาเจามีหลายสิ่งหลายอย่างต้องทำ ไม่มีเวลามาเล่นขายของกับเยี่ยนฟางหวา
ดังนั้นนางจึงพาท่านหมอหลวงสวีไปบ้านใหญ่ เพราะอยากรู้ว่าเยี่ยนฟางหวากำลังใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไรอยู่กันแน่
หากป่วยจริงก็ไม่เป็ไร ถือเสียว่าตรวจอาการให้นาง ไม่จำเป็ต้องมาขอบคุณตน
หากป่วยการเมือง เยี่ยนเจาเจาจะตบบ้องหูนางสักฉาด แล้วกดนางจมโคลนให้โงหัวไม่ขึ้นเลย
ระหว่างทางไปบ้านใหญ่ เยี่ยนเจาเจาพลันเห็นว่าข้างหน้าไกลๆ ยังมีร่างสูงโปร่งของคนผู้หนึ่ง...เยี่ยนฟางอู๋
ทางที่เยี่ยนฟางอู๋ตรงไปคือบ้านใหญ่เช่นกัน อาจเพราะเมื่อวานเยี่ยนฟางหวาออกไปงานเทศกาลพร้อมกับนาง แต่ขากลับเหลือนางคนเดียวจึงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมากระมัง?
เยี่ยนเจาเจาชะลอฝีเท้าเพราะอยากดูว่าเยี่ยนฟางอู๋จะทำอะไรกันแน่ ทว่าราวกับนางรู้ว่าเยี่ยนเจาเจาอยู่ข้างหลังจึงหันกลับมาส่งยิ้มบางให้และหยุดยืนรอ
รอบกายเยี่ยนฟางอู๋แผ่กลิ่นอายของผู้ทรงภูมิอย่างที่คนอื่นเทียบไม่ติด ทั้งยังหอมกลิ่นกล้วยไม้จรุงใจ นางยืนนิ่งเฉยตรงนั้นราวกับดอกอวี้หลาน[1] สีขาวบริสุทธิ์ที่กำลังบานสะพรั่ง
“พี่หญิงสี่ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้ามาเ้าคะ?”
เยี่ยนเจาเจาวางมือข้างเอวแล้วยอบตัวคารวะก่อนด้วยท่าทีสนิทสนม เยี่ยนฟางอู๋คารวะตอบ ก่อนทั้งสองจะเดินเคียงกันไป
“บนร่างน้องหญิงมีกลิ่นหอมของสาลี่เป็ด ข้าได้กลิ่นมาแต่ไกลแล้ว”
เยี่ยนฟางอู๋ยิ้มบางไม่เห็นฟัน ดูสำรวมอย่างยิ่ง
เยี่ยนเจาเจาพยักหน้าไม่เอ่ยสิ่งใด แต่กลับเก็บเื่นี้ไว้ใจ
่นี้นางจิตใจหดหู่เลยไม่จุดกำยานกลิ่นสาลี่เป็ดมาหลายวันแล้ว นางดมตนเองยังไม่ได้กลิ่นสักเสี้ยว แล้วเยี่ยนฟางอู๋อยู่ห่างขนาดนั้นจะได้กลิ่นหรือ?
เยี่ยนฟางอู๋มีบางอย่างแปลกๆ จริงด้วย ประสาทััทั้งห้าเหนือชั้นกว่าคนอื่นเช่นนี้ มิใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะมี
“พี่หญิงสี่จะไปพบพี่หญิงใหญ่เหมือนกันหรือเ้าคะ?” เยี่ยนเจาเจาถามขึ้นด้วยสีหน้าเหมือนไม่สนใจมากนัก
ใบหน้าของเยี่ยนฟางอู๋ดูวิตกกังวลเล็กน้อย “ใช่ อย่างไรเมื่อวานข้าก็ออกไปพร้อมพี่หญิง เดิมทีคิดว่านางหายดีแล้ว ไฉนได้กลับทรุดหนักจนแย่ลงถึงขั้นนี้ ข้าไม่ควรพาพี่หญิงออกไปเลย”
เยี่ยนเจาเจาเอ่ยต่อคล้ายไม่คิดอะไร “เหตุใดพี่หญิงอยากไปงานวันที่ 4 เดือน 4 เล่าเ้าคะ แต่ก่อนไม่เคยเห็นพี่หญิงไปงานเช่นนี้เลย”
เยี่ยนฟางอู๋ถอนหายใจแ่เบา “ข้าไม่พบอาโหรวของจวนฝูอ๋องมานานแล้ว พอได้ยินว่านางอาจจะไปงานวันที่ 4 เดือน 4 ข้าก็เลยอยากไป และเชิญพี่หญิงใหญ่ไปเป็เพื่อน”
อาโหรวจากจวนฝูอ๋องผู้นี้คือคุณหนูอายุน้อยที่สุดของจวนฝูอ๋อง เป็สหายสนิทของเยี่ยนฟางอู๋ นางไม่ได้มางานวันที่ 4 เดือน 4 คราวนี้จริงๆ
คำตอบของเยี่ยนฟางอู๋ไร้พิรุธเหมือนเคย แม้จะไม่มีประโยชน์ต่อเยี่ยนเจาเจาแต่อย่างน้อยก็ทำให้นางเข้าใจได้เื่หนึ่ง คือเยี่ยนฟางอู๋ผู้นี้ไม่ใช่คนสวยแต่รูปแน่นอน
ทั้งสองเดินพูดคุยเรื่อยเปื่อยจนมาถึงบ้านใหญ่
เรือนของเยี่ยนฟางหวาอยู่ติดกับเรือนหลักในสวนทั่นชิง ชื่อว่าเรือนสราญรมย์ เมื่อหวังซื่อได้ยินว่าเยี่ยนเจาเจากับเยี่ยนฟางอู๋มาเยี่ยมพี่สาว ก็ปล่อยพวกนางเข้ามา
หลังจากเยี่ยนเจาเจาเดินมาหยุดที่ข้างเตียงเยี่ยนฟางหวาก็เห็นว่านางป่วยจนหน้าซีดขาวจริงๆ แววตาเฉื่อยชาเลื่อนลอยคู่นั้นจับจ้องพู่ระย้าที่แขวนเหนือศีรษะราวกับตุ๊กตาเศษผ้าไร้ชีวิตจิตใจ
ทว่าเยี่ยนเจาเจาเพิ่งจะย่อตัวนั่งลง เยี่ยนฟางหวาก็กรีดร้องเหมือนเห็นผี นางกุมหัวซ่อนตัวใต้ผ้าห่มพลางร้องดังลั่นว่า “มีปีศาจ มีปีศาจ้าฆ่าข้า! รีบจับปีศาจ รีบจับมันเร็ว!”
เยี่ยนเจาเจาไม่เคยเห็นนางบ้าคลั่งขนาดนี้มาก่อน เห็นได้ชัดว่าเยี่ยนฟางหวาที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ดูแตกต่างจากในอดีต ความหยิ่งผยองบนร่างนางหายไปจนหมดสิ้น
นางป่วยมาร่วมครึ่งเดือน ร่างที่เดิมค่อนข้างอิ่มเอิบเลยซูบผอมลงไปมาก ทั้งยังดูเหมือนหนังหุ้มติดกระดูกเล็กน้อย ดวงตากลมโตสองข้างเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาและความหมดอาลัยตายอยาก
แต่เยี่ยนเจาเจาไม่มีความรู้สึกเห็นใจต่อเยี่ยนฟางหวาสักนิด ตอนนั้นหวังซื่อเคยให้คนเข้ามาก่อความวุ่นวายในสวนมวลบุปผาหอมและโวยวายหาปีศาจกับทางหนานิเหอ เหตุใดไม่คิดบ้างว่าหากเื่นี้เกิดกับลูกสาวตนเองเล่า?
เยี่ยนเจาเจาอยากมอบสามคำให้หวังซื่อกับเยี่ยนฟางหวา คือคำว่าสมน้ำหน้า
“พี่หญิงใหญ่ เป็ข้ากับน้องหญิงห้า ท่านไม่ต้องกลัว” เยี่ยนฟางอู๋รีบเข้าไปลูบหลังของเยี่ยนฟางหวาอย่างอ่อนโยนแ่เบาเพื่อปลอบนาง
เยี่ยนฟางหวาคงจำเสียงของเยี่ยนฟางอู๋ได้ เลยรีบคว้ามือนางแล้วร่ำไห้ออกมา
เยี่ยนฟางอู๋พึมพำปลอบประโลมอยู่สักพักจนในที่สุดเยี่ยนฟางหวาก็สงบลง ทว่าเมื่อนางกำลังจะพูดบางอย่าง พลันหญิงรับใช้ข้างกายก็รีบวิ่งพรวดพราดเข้ามาเอ่ยนอบน้อมเสียก่อนว่า “คุณหนู นายหญิง้าพบเ้าค่ะ”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“นายหญิงบอกว่าเป็เื่ด่วนเ้าค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว ไปเถิด”
เยี่ยนเจาเจาที่กำลังยืนอยู่ข้างหลังเยี่ยนฟางอู๋ จึงเห็นบรรยากาศกดหน่วงเล็กน้อยที่เล็ดลอดออกมาจากร่างนางครู่หนึ่งได้อย่างชัดเจน
แต่นางยังฝืนยิ้มขอโทษและหันกลับมาบอกลาเยี่ยนเจาเจา ก่อนจะรีบร้อนพาหญิงรับใช้ของตนจากไป
เยี่ยนเจาเจาครุ่นคิดบางสิ่ง ในจวนแห่งนี้ช่างมากความเสียจริง
แต่วันนี้เื่ของเยี่ยนฟางอู๋ไม่ใช่ประเด็นหลัก นางมาเพื่อเยี่ยนฟางหวาเท่านั้น
หลังเยี่ยนฟางอู๋จากไป จิตใจของเยี่ยนฟางหวาก็ตื่นตระหนกขึ้นมาอีก
เยี่ยนเจาเจามองออกว่าสภาพของเยี่ยนฟางหวายามนี้ไม่มั่นคง กระทั่งั์ตาบางส่วนยังขุ่นมัว เห็นได้ชัดว่านางหวาดกลัวเจาเจาจากก้นบึ้งหัวใจอย่างแท้จริง
เยี่ยนเจาเจาก้าวไปข้างหน้าแล้วลูบหลังของนางอย่างแ่เบาเลียนแบบเยี่ยนฟางอู๋เมื่อครู่
จนเยี่ยนฟางหวารู้สึกว่ากลิ่นอายบนร่างเยี่ยนเจาเจาปลอดภัย ไม่เย่อหยิ่งอวดดีเปี่ยมไปด้วยความร้ายกาจเหมือนเยี่ยนเจาเจาในความฝัน
ทำให้เยี่ยนฟางหวาซึ่งป่วยจนเลอะเลือนเกิดภาพลวงตาแปลกๆ เหมือนว่านางกับเยี่ยนเจาเจามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
เจาเจาเห็นดังนั้นก็ยกมือเรียกหมอหลวงหนุ่มสวีข้างหลังตนมาตรวจรักษา
แม้จิตใต้สำนึกของเยี่ยนฟางหวายังอยากจะปฏิเสธ แต่หญิงรับใช้ก็ช่วยเกลี้ยกล่อมนาง “หมอหลวงมาดูอาการคุณหนูแล้ว คุณหนูจะหายนะเ้าคะ”
ท่าทีของเยี่ยนฟางหวาอ่อนลง ท่านหมอหลวงสวีจึงรีบเปิดกล่องยาแล้วฝังเข็มให้เยี่ยนฟางหวา
ระหว่างนั้นเยี่ยนเจาเจาก็นั่งข้างกายเยี่ยนฟางหวานิ่งๆ อยู่ตลอด สายตาของนางนุ่มนวลราวกับระหว่างพวกนางไม่เคยเกิดอะไรขึ้น
หลังจากนั้นไม่นาน หมอหลวงสวีเก็บข้าวของทั้งหมด ก่อนส่งสายตาให้เยี่ยนเจาเจาแล้วถอยออกไปโดยไม่เอ่ยคำใดอีก
ความหมายของหมอหลวงสวีคือเยี่ยนฟางหวาไม่ได้ป่วย ร่างกายนางสมบูรณ์แข็งแรงดี แค่จิตใจสับสนนิดหน่อยเท่านั้น
เยี่ยนเจาเจาขมวดคิ้วมุ่น แต่เพียงครู่เดียวก็ค่อยๆ คลายออก
หญิงรับใช้ของเยี่ยนฟางหวาเดินออกไปหยิบน้ำชาและยา เยี่ยนเจาเจาจึงก้มหัวขยับเข้าใกล้ใบหูของเยี่ยนฟางหวา พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นะเืว่า “เยี่ยนฟางหวา”
เยี่ยนฟางหวาใจนร้องลั่นดังคาด ทว่าเยี่ยนเจาเจากลับจับข้อมือของนางภายใต้ผ้าห่มและตรึงไว้แน่น ทั้งที่ใบหน้ายิ้มอบอุ่น “เ้ากลัวข้าหรือ?”
เยี่ยนฟางหวาลนลานส่ายหัว น้ำตาไหลกลิ้งกลอกลงมา
เมื่อเยี่ยนเจาเจาแน่ใจแล้ว ค่อยกระตุกยิ้มเย็น “ข้าขอเตือนเ้า ต่อไปหากพบหน้าข้าก็เดินหลบไปเสีย แล้วข้าจะไว้ชีวิตน้อยๆ ของเ้า แต่ถ้าเ้ายังยั่วโมโหข้าอีก นิสัยของข้าใช่ว่าเ้าจะไม่ทราบ”
ภายใต้ผ้าม่านโปร่งคลุมเตียงสี่เสา มีเพียงเยี่ยนฟางหวาคนเดียวที่ได้ยินเสียงกระซิบราวปีศาจของเยี่ยนเจาเจา เจาเจาปล่อยข้อมือของนางก่อนเลื่อนมือไปวางทับลงบนลำคอแทน
“หากข้าให้คนใช้กำลัง เ้าว่าคอสวยๆ ของเ้าจะขาดหรือไม่?”
ได้ยินเด็กแรกรุ่นเอ่ยคำพูดเช่นนี้ ความจริงควรจะดูเหลวไหลไร้สาระ...ทว่าเมื่อเยี่ยนฟางหวามองลึกเข้าไปภายในแววตาของเยี่ยนเจาเจาด้วยน้ำตาเอ่อคลอพร่ามัว แล้วเห็นแววอาฆาตเปิดเผยชัดเจนในดวงตาเมล็ดซิ่งคู่นั้น นางพลันร้องไห้ไม่ออก
ไม่ว่าคนเราจะโง่เขลาเพียงใด ทว่า่ที่ความตายคืบคลานเข้ามา ก็มักจะหาผลประโยชน์แล้วหลีกเลี่ยงอันตรายตามสัญชาตญาณได้เสมอ
เยี่ยนฟางหวาตระหนักดีว่าเยี่ยนเจาเจาไม่ได้ล้อเล่น แม้สติของตนเองยังไม่ทันกลับเข้ามา แต่ร่างกายก็พยักหน้าร้อนรนไปแล้ว
“ซื่อสัตย์หน่อย เก็บความลับนี้ไว้ให้ดี มิอย่างนั้นฝันร้ายครั้งต่อไปของเ้าจะมีข้าอยู่ด้วยแน่นอน”
ใบหน้าอ่อนวัยไร้เดียงสา ทว่าริมฝีปากแดงนุ่มนิ่มกลับกล่าววาจาน่าหวาดผวา...เยี่ยนฟางหวาตัวสั่นเทาเหมือนเห็นผี นางเย็นวาบั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้าขึ้นมาทันที
จู่ๆ เยี่ยนเจาเจาก็ยืนขึ้นแล้วตะเบ็งเสียงกล่าวด้วยความงุ่นง่าน “หากพี่หญิงไม่ยินดีพบข้า คราวหน้าข้าคร้านจะมาแล้วเ้าค่ะ”
เด็กหญิงรับใช้กลับเข้ามาได้ยินประโยคนี้พอดี ก่อนจะเห็นเยี่ยนเจาเจาสาวเท้าเดินออกไป ส่วนท่านหมอหลวงสวีก็ตามเยี่ยนเจาเจาราวกับเป็อากาศธาตุ
ฉากนี้เหมือนสถานการณ์ที่เยี่ยนเจาเจากับเยี่ยนฟางหวาแยกย้ายกันไปอย่างไม่สบอารมณ์นับครั้งไม่ถ้วน เลยไม่มีผู้ใดใส่ใจเท่าไหร่
เยี่ยนเจาเจาที่กลับมาเกิดใหม่ ได้สู้กับเยี่ยนฟางหวามาสองชาติ จึงย่อมเข้าใจนิสัยของนางดี
นางมักข่มเหงรังแกคนอ่อนแอและเกรงกลัวผู้มีอำนาจ แม้ไม่รู้มูลเหตุที่นางต้องมานอนอยู่อย่างนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าจิตใจพังทลายแล้ว วันนี้โดนเยี่ยนเจาเจากระตุ้นให้สำนึก หากนางไม่กลัวก็คงจะแปลก
เยี่ยนเจาเจาสาวเท้าออกไปโดยไม่ลังเล ก่อนจะพบเข้ากับบุตรอนุหญิงอีกสองคนของบ้านใหญ่
เยี่ยนฟางชิงกับเยี่ยนฟางเยว่อยู่ที่เรือนพอดี พอเห็นเยี่ยนเจาเจาก็รีบคารวะทักทายกึ่งพิธีการอย่างถ่อมตัว รอจนเยี่ยนเจาเจาเดินผ่านไป ค่อยสบตากันด้วยสีหน้าไม่พอใจ
เยี่ยนเจาเจาเองก็รู้ว่าสองคนนี้คิดสิ่งใดอยู่ ทั้งคู่ล้วนเอาตัวรอดไปวันๆ ภายใต้เงื้อมมือของหวังซื่อมาตลอด นอกจากกิริยากระโตกกระตากและความโง่งมก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล แต่หากพวกนางรนหาที่ เยี่ยนเจาเจาก็ไม่ถือสาที่จะเปลี่ยนพวกนางเป็เหมือนเยี่ยนฟางหวาในวันนี้
เวลาผ่านไปรวดเร็ว รัตติกาลย่ำกรายเข้ามา
ณ เขตชานเมืองห่างจากจวนเยี่ยนไปทางทิศบูรพาประมาณสิบลี้[2] เหรินเหยาที่เพิ่งโดนเยี่ยนเจาเจาส่งออกจากสวนมวลบุปผาหอมกำลังกลับถึงบ้านของตนเอง
นางเพิ่งผลักประตูเปิด พลันกระบี่เล่มหนึ่งก็นาบลงบนต้นคอ
กระบี่สว่างวาบราวหิมะ
เชิงอรรถ
[1] ดอกอวี้หลาน หมายถึง ดอกไม้สายพันธุ์หนึ่งของดอกไม้สกุลแมกโนเลีย นิยมปลูกมากในจีน มีทั้งสีขาว สีชมพู สีม่วง และสีเหลือง
[2] ลี้ หมายถึง หน่วยวัดความยาวของจีน เท่ากับ 500 เมตร