บทที่ 51 ปะทะกันในเหลาอาหาร
เมื่อเห็นว่าลู่อวี่ไม่สนใจตัวเอง ชายผู้นี้ก็ะโด่าออกมาทันที “ไม่รู้เป็ไอ้บ้านนอกที่ใด คุณภาพของหอจุ้ยเซียนนับวันยิ่งตกต่ำลงเรื่อยๆ แม้แต่คนเช่นนี้ก็ได้รับอนุญาตเข้ามาที่นี่ เด็กๆ ไล่พวกมันออกไปให้ข้าที เห็นพวกมันแล้ว ส่งผลต่อความอยากอาหารของข้า”
“ขอรับ!” มีคนตอบรับทันที
“ฮ่า ฮ่า มีเื่สนุกให้ดูแล้ว นายน้อยรองตระกูลเจียง ไม่ใช่คนที่จะเข้าหาด้วยได้ง่ายๆ ไปหักหน้าเขาเช่นนั้น จะต้องโดนหยามน้ำหน้าแน่นอน”
“เจียงหยวนจวิ้นผู้นี้มีนิสัยอันธพาล ชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ ชอบหาเื่ผู้อื่นเป็งานหลัก ตอนนี้มาถูกคนท้าทายเช่นนี้ จะปล่อยบุรุษทั้งสองผู้นั้นไปได้อย่างไร น่าเสียดายแล้ว!”
“สหายหลี่เ้าพูดเบาๆ หากมีคนมาได้ยินเข้า ทุกคนจะซวยกันหมด ตระกูลเจียงขึ้นชื่อเื่อันธพาลที่สุดในโลกบำเพ็ญเพียรแห่งเทียนตู เื่นี้มีใครไม่รู้บ้าง? ช่างเถอะ มาร่ำสุรากันดีกว่า!”
แม้ว่าชื่อเสียงที่ลู่อวี่เป็คนปรุงโอสถจะแพร่กระจายไปทั่วทั้งเทียนตู ต่อให้จะมีหลายคนเชื่อ ทว่าในอดีตตัวของลู่อวี่นั้น คือจอมเสเพลเ้าสำราญ อีกทั้งมีพลังยุทธ์ที่ต่ำต้อยในแวดวงผู้บำเพ็ญเพียรจริงๆ ทุกคนจึงพอได้ยินชื่อเสียงกันมาบ้าง แต่ไม่เคยสนใจมาก่อน ดังนั้นคนที่เคยพบเจอกับลู่อวี่จริงๆ และจดจำได้ จึงมีน้อยยิ่งนัก
หยางเซิ่นเฉิงก็สังเกตเห็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติในเวลานี้เช่นเดียวกัน เขาเป็เพียงนักพรตสันโดษผู้หนึ่ง อย่าว่าแต่ทำให้นายน้อยรองตระกูลเจียงขุ่นเคืองใจ แม้แต่องครักษ์ธรรมดาผู้หนึ่ง ก็ไม่ใช่คนที่เขาจะทำให้ขุ่นเคืองใจได้ ตอนนี้เมื่อเห็นว่านายน้อยรองตระกูลเจียงผู้นั้น เหมือนจะมาหาเื่พวกเขา ก็รู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาทันที แต่เมื่อหันไปทางคุณชายลู่ที่อยู่ตรงหน้าเขาผู้นี้ ดูเหมือนจะไม่แยแสเลยด้วยซ้ำ ก็ไม่รู้ว่านี่ไม่รู้จริงๆ หรือไม่สนใจผู้ใดเอาเสียเลยมากกว่า
เวลานี้องครักษ์ของตระกูลเจียงเดินมาอยู่ด้านหลังของลู่อวี่แล้ว และเอ่ยปากว่า “หากพวกเ้าสองคนรู้จักกาลเทศะจงรีบไสหัวไปประเดี๋ยวนี้ อย่าให้ข้าต้องลงมือ มิเช่นวันนี้ก็ยากที่จะไปจากหอจุ้ยเซียนแน่นอน!”
บรรดาลูกค้าทั้งสตรีและบุรุษภายในร้านเกือบสี่สิบคน ที่อยู่ชั้นบนเหลาอาหารต่างพากันมองมาทางนี้อย่างเยาะเย้ย มีที่เสียดาย มีที่ดีอกดีใจที่ผู้อื่นโชคร้าย และยังมีที่ทำทองไม่รู้ร้อน และถึงขั้นที่คนที่อยู่ชั้นล่างก็รู้การเคลื่อนไหวของคนที่อยู่ชั้นบน และมีหลายคนที่เงยหน้าขึ้นไปมองบนชั้นสาม
ในขณะที่หยางเซิ่นเฉิงตื่นเต้นกำลังจะลุกขึ้นโต้แย้ง แต่กลับเห็นลู่อวี่ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไม่มีท่าทีโกรธเลย แต่พูดเพียงว่า “ไสหัวไปให้พ้น ข้าไม่มีเวลามาสอนสุนัขเช่นเ้า ให้เ้านายไร้สมองของเ้าดูแลปากตัวเองให้ดีเถอะ รอจนกว่าตระกูลเจียงจะครองเทียนตูได้ก่อน แล้วค่อยออกมาโอ้อวด!”
“หาที่ตายซะแล้ว!” องครักษ์ตระกูลเจียงผู้นั้นลงมือทันที ยกมือฟาดลงบนหัวของลู่อวี่ นี่คิดจะฆ่าทิ้งกันแล้ว! แต่คำพูดของลู่อวี่มันก็ฟังไม่เข้าหูจริงๆ ถึงแม้เ้านายไม่สั่งเขาก็รู้ว่าควรทำอย่างไร
“เหอเหอ!” เสียงที่แทบไม่ได้ยินดังขึ้นในอากาศ เมื่อมือขององครักษ์ตระกูลเจียงโจมตีมาที่ลู่อวี่ ฝ่ามือนั้นอยู่ห่างจากศีรษะของลู่อวี่เพียงคืบ มันเล็กจนมองแทบไม่เห็น หลังจากนั้นองครักษ์ก็ล้มหงายท้องลงไป โดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ และตรงกลางหน้าผากก็มีจุดแดงค่อยๆ ขยายออกและ คิดไม่ถึงว่าเขาจะตายเสียแล้ว
ทั่วทั้งชั้นสามเงียบกริบจนได้ยินเสียงเข็มตกกระทบพื้น ทุกคนตกตะลึงอ้าปากค้างกับฝีมือที่เด็ดขาดและโเี้ของลู่อวี่ ที่นี่คือเมืองเสวียนจ้ง และที่เขาเพิ่งลงมือสังหารไปนั้น คือองครักษ์ตระกูลเจียงที่อยู่ในอันดับสองของตระกูลใหญ่ทั้งเจ็ดแห่งเทียนตูเชียว
่เวลาอันเงียบสงบกินเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ และจากนั้นก็มีเสียงวิจารณ์ดังพึมพำขึ้นบนเหลาอาหารทันที
“ฮะ ถึงกับสังหารองครักษ์ของตระกูลเจียงเลยหรือ? กล้ามาก ฝีมือโเี้ยิ่งนัก!”
“กล้าลงมือตามอำเภอใจโดยไม่เกรงกลัวผู้ใดเช่นนี้ คนผู้นี้คงมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาแน่ อย่างน้อยชื่อเสียงของตระกูลเจียงก็ไม่ทำให้เขาหวาดกลัว เมื่อสักครู่นี้ ชายหนุ่มผู้นั้นใช้อาวุธวิเศษอะไรกัน เหตุใดถึงไม่มีร่องรอยเล่า? มันรวดเร็วมาก จนไม่สามารถบอกความแตกต่างได้!”
“มันไม่ใช่อาวุธวิเศษอะไร หากข้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็แสงแห่งศาสตรา หรือว่าชายผู้นี้จะฝึกวิชากระบี่ แต่ในเทียนตูของเรามีเพียงสำนักกระบี่ทลายฟ้าที่ฝึกฝนวิชากระบี่ หรือว่าจะเป็ศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาคนใดของสำนักกระบี่ทลายฟ้า? มิฉะนั้น จะกล้าสังหารองครักษ์ของตระกูลเจียง ต่อหน้านายน้อยรองของตระกูลเจียงได้อย่างไร?”
“ตระกูลเจียงชอบวางอำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะตอบโต้อย่างไร คิดไม่ถึงว่างานคารวะรับศิษย์ของตระกูลหลินยังไม่ทันเริ่ม ก็มีการแสดงชั้นยอดให้รับชมเสียแล้ว!”
ใบหน้าของเจียงหยวนจวิ้นในเวลานี้ บรรยายได้เพียงดุร้ายน่ากลัว ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า จะมีคนกล้าเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของตระกูลเจียง และสังหารองครักษ์ของตัวเองต่อหน้าต่อตาเขา นี่ไม่ใช่เพียงการตบหน้าเท่านั้น แต่มันเป็การยั่วยุตระกูลเจียงชัดๆ ในฐานะลูกชายคนรองของตระกูลเจียง หากไม่สามารถสับอีกฝ่ายออกเป็ชิ้น ๆ ได้ เขาจะกล้าออกจากจวนได้อย่างไร?
แม้ว่าตระกูลเจียงชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ แต่พวกเขาไม่ได้ขลาดเขลา ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าลงมือสังหารองครักษ์ของตัวเอง เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ ไม่ใช่คนที่ไม่มีภูมิหลังใด ดังนั้นจึงอดกลั้นความขุ่นเคืองอยากจะกำจัดทิ้งเอาไว้ในใจ และแสยะยิ้มอย่างน่าสะพรึงกลัว “คุณชายช่างกล้าหาญนัก กล้าสังหารแม้กระทั่งคนของตระกูลเจียงของเรา เช่นนี้ไม่ใช่ว่าไม่เห็นตระกูลเจียงของเราอยู่ในสายตาหรือ? ข้าเจียงหยวนจวิ้นนายน้อยรองของตระกูลเจียง ไม่ทราบว่าเ้าชื่อแซ่อะไร!”
ลู่อวี่ยกกาสุราบนโต๊ะขึ้นมา แล้วรินใส่แก้วตนเองอย่างอารมณ์ดี และพูดออกมาช้าๆ ว่า “หา้าให้ผู้อื่นเคารพ ก็ต้องเคารพผู้อื่นก่อน ในเมื่อตระกูลเจียงของเ้าไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา เช่นนั้นแล้ว ผู้อื่นต้องง้อตระกูลเจียงของเ้าด้วยหรือ? ข้าจะไม่ถือสาเอาความเ้า นั่นเป็เพราะข้าใจกว้างพอ ไม่ใช่เกรงกลัวเ้า! คนบำเพ็ญเพียรฝืนกฎ์เพื่อเสาะแสวงหาทางธรรม ต้องใจเย็นไม่หุนหันพลันแล่น เมื่อเผชิญหน้ากับอันตรายต้องไม่เกรงกลัว สังหารคนน่ารังเกียจที่พูดจาไร้มารยาท คิดไม่ซื่อผู้หนึ่ง ยังต้องมีความกล้าอะไร ตลกเสียจริง!”
คำพูดนี้ของลู่อวี่ถึงแม้เสียงจะไม่ดังมาก แต่มีความเด็ดขาดและน่าเคารพยำเกรง บวกกับสีหน้าท่าทีที่ไม่ตื่นตระหนกกับสิ่งที่เผชิญอยู่ แต่กลับทำให้รู้สึกเย่อหยิ่ง ทั้งยังทำให้รู้สึกปกติและไม่ทำให้รู้สึกต่อต้านหรือขัดใจ
“หาก้าให้ผู้อื่นเคารพ ก็ต้องเคารพผู้อื่นเสียก่อน! คำพูดนี้ ข้าจัวชิงเฟิงขอคารวะคุณชายหนึ่งจอก!” ทันใดนั้นก็มีเสียงดังฟังชัดหนึ่งดังขึ้นมา ทุกคนถึงกับหันไปมอง ตรงโต๊ะฝั่งตรงข้ามในห้องโถงทรงกลม บุรุษวัยกลางคนในชุดขาว ท่ามกลางบุรุษสามคนและสตรีหนึ่งคน กำลังมองมาที่ลู่อวี่ในเวลานี้ พร้อมทั้งยกแก้วขึ้นชื่นชม ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเห็นด้วยกับคำพูดของลู่อวี่
แต่ลู่อวี่ทำเพียงยิ้มจางๆ และพยักหน้าลงเล็กน้อย ถือว่าเป็การตอบกลับ
“ฮ่า ฮ่า…” เจียงหยวนจวิ้นโกรธจนหัวเราะเยาะ ไม่เคยมีผู้ใดกล้าพูดกับเขาเช่นนี้มาก่อน ไม่เคยมีเลย ถึงกับลุกขึ้นพรวด เพราะอดกลั้นความรู้สึกไว้ไม่ไหว เสียงหัวเราะเงียบหายไป ทันใดนั้นน้ำเสียงเรียบเฉยกลับดังขึ้นมาทันที “เ้าจะยอมหรือไม่ยอมก็แล้วแต่ ไม่ว่าเ้าจะมีที่มาอย่างไร หรือมีพลังยุทธ์สูงส่งถึงขั้นใด หากวันนี้ข้าว่าเ้าต้องตาย เ้าก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงพรุ่งนี้ เ้าเชื่อหรือไม่?”
หลังจากพูดจบ ตัวของเขาก็เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น สายตาจ้องเขม็งมองไปทางแผ่นหลังของลู่อวี่ ทำราวกับจะฆ่าจะแกง ในเวลาเดียวกัน ก็มีสามนักพรตวัยกลางคนที่ดูทรงพลัง และมีพลานุภาพมายืนอยู่ด้านหลังเขาแล้ว และมองมาทางนี้อย่างเฉยชา
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา บรรยากาศชั้นบนก็ยิ่งตึงเครียดมากขึ้น!
ชายวัยกลางคนในชุดขาวที่เพิ่งพูดสนับสนุนลู่อวี่ขยับตัวเล็กน้อย และกำลังจะพูดอะไรอื่นอยู่นั้น ก็ถูกชายชราผู้หนึ่งที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันโบกมือห้ามไว้ แล้วพูดด้วยเสียงเบาโดยมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้ยิน “พวกเราไม่ต้องลงมือ ภายภาคหน้าตระกูลเจียงอาจคิดแค้นเราได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็ต้องทำให้ตระกูลเจียงขุ่นเคืองจนเอาเป็เอาตายกับเื่นี้ เมื่อสักครู่นี้เ้าก็แสดงจุดยืนชัดเจนพอแล้ว นายน้อยตระกูลลู่ มีจอมเทพขั้นกำเนิดเทพเ้าคอยปกป้องอยู่ข้างๆ ไม่มีทางเสียเปรียบได้!”
สตรีเพียงคนเดียวภายใต้อาภรณ์สีม่วงในกลุ่มคนนั้น ก็หันมาดูเช่นกัน นางพยักหน้าลงเล็กน้อย และเห็นด้วยกับคำพูดของชายชรา ดวงตางดงามมองไปยังลู่อวี่ ที่ยังสงบนิ่งในระยะไกลด้วยความแปลกใจไม่น้อย สำหรับคนที่ดูแก่เรียนในชุดสีเทาที่เหลืออยู่ กลับก้มหน้าลงตลอด และสนใจแต่ดื่มสุราของตัวเอง ทำเหมือนกับว่าเื่ราวตรงหน้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย
ชายวัยกลางคนในชุดขาวพยักหน้าช้าๆ และไม่ออกหน้าพูดอะไรอีก
ทางด้านลู่อวี่เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในที่สุดก็ค่อยๆ หันหน้ากลับมามองดูใบหน้าของเจียงหยวนจวิ้นด้วยสายตาแปลกใจ จนมีสีหน้าที่เรียบเฉยไร้อารมณ์ และััได้ถึงดวงตาอาฆาตได้อย่างชัดเจน หลังจากหายใจไปไม่กี่ครั้ง มุมปากก็ยกขึ้น แสดงให้เห็นรอยยิ้มจางๆ และพูดเบาๆ ว่า “เ้ามีปัญหาทางจิตหรืออย่างไร? วางมาด เช่นนี้คิดว่าตัวเองเป็มหาเทพหรือ? ไสหัวไปไกลๆ มาตรฐานของหอจุ้ยเซียนนี้ นับวันยิ่งไร้คุณภาพลงเรื่อยๆ จริงๆ แม้แต่คนเช่นนี้ก็ปล่อยให้เข้ามาได้ ส่งผลต่อความอยากอาหารของข้าจริงๆ!”
“หึ!” ไม่รู้กี่คนที่เผลอหัวเราะดังออกมา โดยไม่ทันระวัง หลังได้ยินประโยคนี้
เจียงหยวนจวิ้นถึงกับหน้าดำคล้ำขึ้นมาทันที กัดฟันและโบกมือพูดว่า “จัดการมันให้ข้า ข้าจะทำให้มันตายทั้งเป็!”
องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังเจียงหยวนจวิ้นทั้งหมดเป็องครักษ์ส่วนตัว ที่ทางตระกูลจัดเตรียมไว้ให้เขา และมีพลังยุทธ์ที่สูงกว่าขั้นฟันฝ่าทั้งหมด ซึ่งมีขั้นพลังยุทธ์สูงกว่าลู่เสียงที่เป็องครักษ์เดิมของลู่อวี่ไปขั้นใหญ่หนึ่ง นี่เป็เพราะความแข็งแกร่งของตระกูลด้วย แม้ว่าตระกูลลู่จะมียอดฝีมือขั้นฟันฝ่ามากเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับตระกูลอันดับสองในเทียนตูแล้ว จำนวนย่อมน้อยกว่ากันมาก แม้ว่าจะมียาอายุวัฒนะที่ลู่อวี่กลั่นออกมาให้ตอนนี้ แต่ใน่เวลาสั้นๆ ก็ไม่สามารถนำมาอุดช่องว่างด้านความแข็งแกร่งโดยรวมนี้ได้
เมื่อเห็นว่านักพรตขั้นพลังฟันฝ่าสามคนวิ่งเข้ามาหาแล้ว ลู่อวี่กลับยังไม่มีทีท่าตอบสนอง ใจของหยางเซิ่นเฉิงก็เย็นเยือกขึ้นมาทันที เดิมทีคิดว่าบุรุษผู้นี้ที่กล้าทำให้ตระกูลเจียงขุ่นเคืองใจเช่นนี้ คงจะมีความมั่นใจ และคิดว่าตัวเองคงจะมีวิธีรับมือและวิธีแก้ปัญหาที่เพียงพอ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าคุณชายผู้นี้จะเป็คนหัวแข็ง เวลานี้ดันมาอยู่กับเขาด้วยสิ หากเช่นนี้ก็เหมือนเขาเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย? แต่ตอนนี้จะมาคิดเสียใจคงไม่มีประโยชน์ ทั้งยังไม่อาจทนมองตาปริบๆ รอให้ผู้อื่นเข้ามาสังหารได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ก็พร้อมสู้ตาย กัดฟันและพร้อมที่จะลงมือทันที เขาในฐานะนักพรตสันโดษผู้หนึ่ง ที่มีพลังยุทธ์เพียง่ต้นของขั้นพลังจิตเท่านั้น แม้แต่เซียนหยกที่ใช้ในการฝึกฝนยังมีไม่พอ จึงถือเป็เื่ปกติที่จะไม่มีอาวุธวิเศษอยู่ในมือ ดังนั้น จึงทำได้เพียงใช้คาถาที่เคยฝึกฝนมารับมือกับศัตรูไว้เท่านั้น
ทันใดนั้นพลังที่รุนแรงหนึ่งก็เข้าปกคลุมทั่วทั้งหอจุ้ยเซียน “หยุดเดี๋ยวนี้! ผู้ใดช่างกล้าหาญ ถึงได้มาลงมือในเมืองเสวียนจ้งโดยไม่ได้รับอนุญาต”
ยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ ก็มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในเหลาอาหาร และหยุดอยู่ตรงหน้าองครักษ์ตระกูลเจียงทั้งสาม ที่มีพลังยุทธ์ขั้นฟันฝ่า บุรุษผู้นี้ดูมีอายุมากกว่าหกสิบปี สวมชุดคลุมสีน้ำเงินเข้ม และมีส่วนสูงปานกลาง แต่สิ่งที่สะดุดตาที่สุด คือดวงตานกอินทรีคู่นั้นของเขาที่คมกริบอย่างยิ่ง
คนที่มาก็คือติงหย่งไท่ ผู้เฒ่าที่บังคับใช้กฎหมายของหอบังคับใช้กฎหมายในเมืองเสวียนจ้ง และเพิ่งได้รับการแจ้งเตือนจากเถ้าแก่ร้านของหอจุ้ยเซียน และรู้ว่ามีคนกำลังต่อสู้กันในเมือง ดังนั้นจึงรีบมาดูสถานการณ์ทันที
พร้อมทั้งเหลือบมองเจียงหยวนจวิ้น ซึ่งยืนตัวตรงอยู่แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย บุรุษผู้นี้เขารู้จักดี คือนายน้อยรองของตระกูลเจียง ผู้มีนิสัยชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ จากนั้นก็หันหน้าไปมองทางลู่อวี่ และเพราะอีกฝ่ายหันหลังอยู่ เขาจึงดูไม่ออกว่าลู่อวี่เป็ใครมาจากที่ใดกัน แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด รูปร่างนี้ทำให้เขารู้สึกคุ้นตานัก นอกจากนี้ กล้าที่จะมีความขัดแย้งกับนายน้อยรองของตระกูลเจียงได้ อีกทั้งยังไม่เป็อะไร หากกล่าวว่าไร้ซึ่งความแข็งแกร่ง อย่างไรเขาก็ไม่เชื่ออยู่ดี