ราวๆ เมื่อสามเดือนก่อน หมู่บ้านเมฆาขาวที่ตั้งอยู่ตรงเชิงเขายักษามีเื่ประหลาดเกิดขึ้น
ทีแรกตอนยามค่ำคืนมีคนได้ยินเสียงปีศาจดังอยู่ในความมืด จากนั้นมีชาวบ้านบางคนเห็นกับตาว่าตอนกำลังเร่งกลับหมู่บ้านยามพลบค่ำนั้น ก็มีมือสีดำฉุดลากผู้คนออกไป เหลือไว้เพียงเสียงกรีดร้องร้องโหยหวน แล้วคนผู้นั้นก็หายเข้าไปในความมืดมิด
บางครั้งก็มีคนที่วิ่งหนีเข้าไปในหมู่บ้านได้ทันก่อนจะถูกจับไป แล้วมือสีดำที่เกาะอยู่บนร่างก็ส่งเสียงร้องประหลาดราวกับถูกไฟลวก ก่อนจะหดกลับเข้าไปในความมืดอย่างรวดเร็ว ไม่แม้จะกล้าล้ำเส้นเข้ามา ราวกับมีพลังไร้รูปลักษณ์กำลังปกป้องผู้คนในหมู่บ้านอย่างเงียบงัน
คนที่จุดธูปในศาลเ้ากล่าวว่า ที่ปีศาจพวกนั้นมิกล้าย่างกราย เป็เพราะท่านพระโพธิสัตว์กวนอิมที่หมู่บ้านเคารพบูชานั้นคอยปกปักรักษาทั้งสิ้น ขอเพียงแค่มีท่านพระโพธิสัตว์องค์ทองคำประดิษฐาน หมู่บ้านเมฆาขาวย่อมปลอดภัยไปอีกวัน คนในหมู่บ้านเองต่างก็เชื่อหมดใจไร้ซึ่งความเคลือบแคลง และคอยดูแลพระโพธิสัตว์องค์ทองคำเสียยิ่งกว่ามารดาแท้ๆ
จนกระทั่งค่ำวันหนึ่ง ชาวบ้านเกือบทุกคนต่างก็มารวมตัวกันดื่มสุราระบายทุกข์ หัวข้อสนทนาของพวกเขาล้วนข้องเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกคว่ำในูเายักษา
มีบางคนคำนวณ หาก้าไปเมืองัทมิฬที่อยู่ใกล้หมู่บ้านเมฆาขาวที่สุด ก็ต้องเดินทางสี่วันเป็อย่างน้อย และต้องค้างคืนในป่า แต่ทว่าตอนนี้ทุกคนไม่กล้าแม้แต่ออกจากหมู่บ้านหลังฟ้ามืดเสียด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเื่ค้างแรมอยู่กลางดงป่าผีคร่ำครวญอันมืดมิดเลย เมื่อหวนนึกถึงจุดจบของผู้ที่ตกตายไปอย่างอนาถแล้ว ทุกคนต่างส่ายหน้าถอนใจ และล้มเลิกความคิดที่จะจากไป
“ไปไม่ไหวหรอก เกรงว่าชีวิตนี้คงจะไปไม่ได้แล้ว” ชายวัยกลางคนยกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวด้วยสีหน้าหดหู่
“ขอแค่ไม่ออกจากบ้านยามวิกาล ที่นี่ก็ยังอยู่ได้น่า”
“ถูกต้อง ข้างนอกอันตรายยิ่งนัก อยู่ที่นี่ไปก็ไม่ได้แย่อะไร”
นายพรานเฒ่าลู่เห็นว่าทุกคนเอาแต่คร่ำครวญ ซัดเหล้าขาวลงท้องไปสองจอกก็ยังถอนใจไม่หยุด จนในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว ด้วยความเมามาย จึงตบโต๊ะลุกขึ้นยืน แล้วเอ่ยอย่างเ็า “ลู่เต้า พวกเรากลับบ้านเถอะ! อยู่กับพวกไร้ประโยชน์พวกนี้นานๆ เข้า สักวันได้กลายเป็คนธรรมดาเหมือนพวกมัน”
ชายหนุ่ม ลู่เต้า ที่แต่งกายเหมือนนายพรานก็รู้ทันทีว่าปู่เมาสุราแล้ว จึงรีบเอ่ยขอโทษแทน “ขออภัย ปู่ข้าดื่มมากไปแล้ว ขออภัยด้วย”
ลู่คงพลันขมวดคิ้วยกนิ้วชี้ดีดหัวลู่เต้าอย่างแรง “เ้าต่างหากที่ดื่มเยอะ! ข้าไม่ได้เมา!”
ลู่เต้าไม่สนใจความเ็ปที่ศีรษะ ใจคิดเพียงอยากยุติเื่นี้โดยเร็ว บุรุษผู้หนึ่งที่นั่งห่างออกไปมองลู่คงด้วยสายตาเหยียดหยาม แล้วก็หัวเราะเยาะออกมา “ข้ายังคิดว่าเป็ผู้ใดที่พูดจาโอ้อวด ที่แท้ก็เป็นายพรานเฒ่าลู่คงผู้เลื่องลือกับหลานชายอายุสิบเจ็ดที่ยังหวังว่าจะทะลวงจุดชีพจรได้นี่เอง”
ชายชราอึกอักราวกับถูกแทงจุดตายจนพูดไม่ออก จากนั้นจึงหันไปแย้งด้วยความโมโห “ลู่เต้าจะต้องทะลวงจุดชีพจรได้แน่นอน!”
“พอเถอะ” ชายที่ชื่อหวังหู่หาได้สนใจลู่เต้าไม่ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเ็า “คนที่มีพร์ในการฝึกตน อย่างช้าก็ทะลวงจุดชีพจรได้ก่อนสิบห้าปี ไม่เห็นเคยได้ยินว่ามีใครทะลวงจุดชีพจรได้ตอนอายุสิบเจ็ด!”
ลู่คงพลันพูดไม่ออก แม้ริมฝีปากจะสั่นระริก แต่กลับพูดไม่ออกเลยสักคำเดียว เมื่อวาจาเหล่านี้ออกมาจากปากหวังหู่ก็ทรงพลังเป็พิเศษ เพราะหวังเหล่ย บุตรชายของเขาทะลวงจุดชีพจรได้สำเร็จ และเริ่มต้นการเดินทางฝึกตนเมื่อสามปีก่อนแล้ว
คนที่สอดรู้สอดเห็นก็เห็นว่าสีหน้าลู่คงเปลี่ยนไปโข จึงเอ่ยปากเสริมทันที “เขาว่ามีแต่เด็กหลอกลวง เ้าแก่นี่ก็ไม่ต่างกันเลยไม่ใช่หรือ”
“ถูกต้อง!”
เมื่อหวังหู่เห็นว่าทุกคนเข้าข้างตน ก็โบกมือไล่ชายชราด้วยสีหน้าโอหัง “ไสหัวไปซะ”
ทุกคนที่ได้ยินจึงส่งเสียงโห่ไล่ตาม ทันใดนั้น เสียงโห่ร้องดังไปทั่ว ลู่คงโกรธจนตาเบิกกว้างและหัวฟู ก่อนจะพับแขนเสื้อขึ้นพุ่งเข้าไปหาหวังหู่เพื่อสั่งสอน ลู่เต้ารีบเข้าไปขวางทั้งสองคนเอาไว้ แล้วลากปู่ไปนอกประตู
ระหว่างทางกลับบ้าน ปู่หลานไม่ได้เอ่ยวาจาใดต่อกัน ชายชราที่แสร้งทำเป็ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าบึ้งตึง ลู่เต้ารู้ว่าปู่เป็ห่วงเขามาก จึงได้เถียงกับคนอื่น เพื่อทำลายบรรยากาศอันอึดอัดเช่นนี้ ลู่เต้าจึงปลอบใจเขา “ท่านปู่ จริงๆ ต่อให้ไม่ทะลวงจุดชีพจร ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านกับปู่ก็ดีมากแล้ว ยามกลางวันก็ยังเป็อิสระอยู่นะ”
“อิสระหรือ” ชายชราหันมองไปในความมืดนอกรั้วไม้ “ใครจะไปรู้ว่าพระโพธิสัตว์จะปกป้องพวกเราไปได้อีกนานแค่ไหน ถูกขังอยู่ในสถานที่อันตรายเช่นนี้เรียกว่าอิสระได้อย่างไรกัน”
ลู่เต้าคิดจะพูดอะไรออกไป แต่จู่ๆ ชายชราก็จับไหล่ทั้งสองของลู่เต้าแน่นอย่างอัดอั้น “จำไว้ลู่เต้า ว่าชีวิตนี้ปู่ต้องทุกข์ทรมานไปมากมายก็เพราะทะลวงจุดชีพจรไม่ได้! บนโลกนี้มีเพียงผู้ที่ทะลวงจุดชีพจรแล้วเท่านั้น ที่จะมีพร์ในการฝึกตน มีเพียงผู้ที่ทะลวงจุดชีพจรแล้วเท่านั้น ถึงจะฝึกฝนเคล็ดวิชาได้!”
“เข้าใจหรือไม่” แววตาชายชรามุ่งมั่น
ลู่เต้าเห็นประกายคาดหวังในสายตาของชายชรา แม้เขาจะรู้ดีว่าตัวเองไม่อาจตอบสนองต่อความปรารถนาของชายชราได้ตลอดไป
แต่เขาไม่อยากเห็นชายชรารู้สึกผิดหวัง ดังนั้น ถึงแม้ความคาดหวังนี้จะกลายเป็ภาระกดทับจนเขาหายใจไม่ออก แต่เขาก็ยังคงเลือกที่จะยิ้มพร้อมพยักหน้าให้ชายชรา “อืม”
“แบบนี้สิถึงจะเป็หลานชายของข้าลู่คง! ฮ่าๆ!” ชายชราหัวเราะลั่นพร้อมตบบ่าลู่เต้าอย่างแรง เสียงหัวเราะสดใสดังไปทั่วหมู่บ้านเมฆาขาว
***
ขอบฟ้าเริ่มสว่าง ความมืดถูกแสงสว่างขับไล่ประหนึ่งกระแสน้ำ หลังจากผ่านค่ำคืนอันยาวนาน ในที่สุดทั่วหล้าก็กลับมาส่องสว่าง
บนเขายักษาที่เต็มไปด้วยต้นไม้เก่าแก่ กวางตัวผู้ตัวหนึ่งกำลังวิ่งหนีเอาชีวิตรอดอยู่ในป่า ทุกครั้งที่มันยกกีบเท้าขึ้น ก็จะมีใบไม้แห้งปลิวขึ้นไปบนอากาศ ก่อนที่จะร่วงลงพื้น ร่างของลู่เต้าพุ่งผ่านไล่ตามกวางตัวนั้นไป
ลู่เต้าติดตามลู่คงขึ้นเขายักษามาั้แ่เด็ก จึงรู้จักสภาพแวดล้อมแถบนี้เป็อย่างดี ระหว่างไล่ล่า เขาพบว่ากวางตัวนั้นถึงขั้นวิ่งไปทางเขตต้องห้ามของเขายักษาเพื่อเอาตัวรอด
ลู่เต้าที่รู้สึกไม่ดีนักจึงหยุดฝีเท้าลง นำธนูที่สะพายอยู่บนบ่าลงมาพาดลูกศรขึ้นสายธนู แขนอันแข็งแรงดึงสายธนูจนตึง
เสียง “ฟิ้ว” ดังขึ้น ลูกศรพุ่งไปปักกวางที่กำลังวิ่งหนี ถึงแม้จะโดนจุดตาย แต่พอโห่ร้องด้วยความเ็ปแล้ว มันก็ยังวิ่งไปทางเขตต้องห้ามอยู่ดี
ขณะที่ลู่เต้าลังเลว่าจะตามไปหรือไม่ เสียงทรงอำนาจของปู่ลู่คงก็ดังขึ้นในหัว “ตอนล่าสัตว์ ห้ามเข้าใกล้เขตต้องห้ามเด็ดขาด ที่นั่นอันตรายมาก!”
ลู่เต้ารู้เพียงว่าเมื่อสิบปีก่อนเคยมีการต่อสู้กันระหว่างฝ่ายธรรมะกับฝ่ายอธรรมในเขตต้องห้ามกันอย่างดุเดือด ทั้งสองฝ่ายสู้กันนานหนึ่งวันหนึ่งคืน ระหว่างนั้นฟ้าถล่มดินทลาย ผีร้องโหยหวน สุดท้ายฝ่ายธรรมะก็เป็ฝ่ายคว้าชัย
นับแต่นั้นมา เขตต้องห้ามก็มักจะมีเสียงร้องโหยหวนดังออกมาเสมอ คนส่วนใหญ่ต่างก็หวาดกลัวว่าเป็ปีศาจที่ตกตายไปแล้วอาละวาดขึ้นมา ต่อให้มีเื่เร่งด่วนก็จะเลือกอ้อมไปไกลๆ ไม่อยากเข้าใกล้เขตต้องห้าม เพราะเสียงนั้นน่ากลัวเหลือเกิน
เสียงร้องอันน่าสะพรึงกลัวนี้ดังอยู่หนึ่งปีก่อนจะเงียบไป แต่คนในหมู่บ้านเมฆาขาวก็ไม่เคยลืมความน่าสะพรึงกลัวที่ฝังแน่นอยู่ในหู สำหรับเขตต้องห้ามแล้ว คิดว่าเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง
ลู่คงกำชับหลานชายเพียงเื่นี้เท่านั้น
“น่าโมโห…” ลู่เต้ามองกวางขาพิการที่ค่อยๆ จากไปไกลอย่างไม่พอใจ
คงไม่มีนายพรานคนใดเต็มใจเห็นเหยื่อที่ได้มาอย่างยากลำบากหนีรอดไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น สามเดือนมานี้เขากับปู่ล่าสัตว์อะไรไม่ได้เลย ใช้ชีวิตขัดสนยิ่งนัก
ลู่เต้าครุ่นคิด กวางตัวนี้คงอยู่ได้อีกไม่นาน บางทีอาจจะล้มลงก่อนถึงเขตต้องห้ามก็ได้
เขาเดินตามรอยเืกวางตัวนั้นไปโดยไม่รู้ตัว อากาศเริ่มเย็นะเืขึ้น ยามหายใจมีควันสีขาวลอยออกมาจากปากและจมูก เพียงไม่นานท้องฟ้าก็เริ่มมีหิมะโปรยปราย! ต้องรู้ก่อนว่าตอนนี้เป็่ต้นคิมหันต์!
ทั้งหมดนี้เป็ผลกระทบจากการโจมตีเพียงครั้งเดียวของจอมยุทธ์ฝ่ายธรรมะผู้ตื่นรู้เคล็ดวิชาธาตุน้ำแข็ง
เขตต้องห้ามมีอากาศหนาวเย็นดุจเหมันต์ตลอดทั้งปี ต้นไม้ต่างก็แข็งตายไปนานแล้ว กิ่งก้านต่างแห้งแล้งและไร้ใบไม้แม้แต่ใบเดียว
ลู่เต้าที่ตัวสั่นเทาก้าวเท้าเดินฝ่าหิมะที่โปรยปรายไปตามรอยเืและรอยกีบเท้าบนพื้นหิมะ จนกระทั่งมาถึงหน้าถ้ำน้ำแข็งแห่งหนึ่ง
ลู่เต้าแนบหูฟังเสียงตรงปากถ้ำ ก็ได้ยินเสียงร้องอ่อนแรงของกวาง เสียงนั้นฟังดูทรมานยิ่งนัก เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็ลืมเลือนคำพูดของปู่ไปทันใด ก่อนจะเดินเข้าไปในถ้ำน้ำแข็งเพื่อตามหากวางตัวนั้นอย่างรวดเร็ว
นายพรานที่ดีไม่ควรปล่อยให้เหยื่อได้รับความทรมาน
กำแพงน้ำแข็งสีฟ้าครามส่องประกายแสงสีฟ้าจางๆ ลู่ทางน้ำแข็งกว้างที่เดินเรียงหน้ากระดานกันได้สามคน ไม่นานตรงจุดที่ลึกที่สุด เขาก็พบกวางกำลังดิ้นรนหายใจรวยรินอยู่
ลู่เต้ารู้ว่า สภาพตายมิตายแหล่เช่นนี้เป็่เวลาที่ทรมานที่สุด เขาจึงชักมีดล่าสัตว์ออกมาปลดปล่อยกวางตัวนั้นทันที เขามองเืสดๆ ที่ไหลออกมาจากลำคอของกวางตัวนั้น พร้อมกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณเ้า เพราะการเสียสละของเ้า พวกเราถึงมีชีวิตต่อไปได้”
เืกวางที่ยังอุ่นและมีไอร้อน เมื่อไหลไปถึงกำแพงน้ำแข็งก็ถูกดูดซับอย่างรวดเร็ว แสงสว่างที่ส่องผ่านกำแพงน้ำแข็งก็กะพริบขึ้นมา ในแสงสีฟ้าครามพลันมีสีแดงสดเจือปน
ลู่เต้าที่แบกกวางขึ้นบ่าก็เห็นถึงความผิดปกติ ขณะที่เขากำลังจะวิ่งออกไป ภายในกำแพงน้ำแข็งก็มีแสงสว่างเจิดจ้าออกมา
ครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อนๆ นัก
รู้สึก…
ราวกับว่ามีสิ่งหนึ่งตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล
หลังจากแสงสว่างจางหายไป ความหนาวเหน็บก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง
แรงกดดันไร้รูปร่างกดดันจนลู่เต้าจนรู้สึกอึดอัดยิ่ง
เงาดำรูปร่างคล้ายมนุษย์ปรากฏขึ้นบนกำแพงน้ำแข็งตรงหน้าลู่เต้า เสียงทุ้มต่ำดังก้องไปทั่วถ้ำน้ำแข็ง
“เ้า… ปรารถนาพลังอำนาจหรือไม่”
