บทที่ 53 พิธีฝากตัวเป็ศิษย์
และแล้วก็เป็ไปอย่างที่คาดการณ์ไว้ เ้าอ้วนฟางเอ่ยปากเมื่อไรมีข่าวใหญ่ทุกที ลู่อวี่พูดด้วยความแปลกใจ “แต่งงานกับนายน้อยตระกูลหลิน? หากข้าจำไม่ผิด นายน้อยตระกูลหลินหมั้นหมายกับตระกูลเจียงแล้วไม่ใช่หรือ? หรือว่าจะให้เด็กผู้หญิงผู้มีความสามารถผู้นี้เป็อนุภรรยา? เด็กหญิงผู้นี้เต็มใจหรือ”
บุรุษอวบอ้วนวางแก้วสุราลง แล้วหยิบผลไม้วิเศษขึ้นมาจากบนโต๊ะลูกหนึ่ง จากนั้นก็กัดไปแรงๆ คำหนึ่งแล้วพูดอย่างไม่พอใจ “หากไม่ยอมแล้วจะทำอย่างไร? หากตระกูลหลินไม่มัดนางไว้ติดตัว แล้วจะส่งต่อ ‘คัมภีร์ไฟ์จื่อหยาง’ ให้นางได้อย่างไร? อ้อ ใช่แล้ว ได้ยินว่าเมื่อหลายวันก่อน ท่านประมือกับนายน้อยรองตระกูลเจียง เพราะสตรีงามผู้หนึ่ง ไม่ทราบว่านางเป็ใครกันเล่า?”
ลู่อวี่พูดตอบด้วยความโมโห “สตรีงามอะไรกัน มันไม่เคยมีเื่นี้!”
เ้าอ้วนฟางหย่วนจ้องไปที่ลู่อวี่ด้วยตาเล็กๆ ที่แม้จะทำตาโตเพียงใด มันก็ยังดูเล็กอยู่ด้วยความแปลกใจ ด้วยสีหน้าที่เหลือเชื่อ และพูดว่า “ได้ยินมาว่ามีคนเห็นไม่น้อย และบอกว่าท่านสังหารองครักษ์ของตระกูลเจียงด้วย เหตุใดถึงไม่มีเื่นี้เกิดขึ้นเล่า?”
“ข้าสังหารคน เพราะว่าคนตระกูลเจียงมายั่วยุข้า มันเกี่ยวอะไรกับสตรีงาม? อีกอย่างวันนั้นข้าก็ไม่พบเห็นสตรีงามแม้แต่ผู้เดียว!” ลู่อวี่ี้เีที่จะอธิบาย
ในเวลานี้ มีคนเดินเข้ามาทางประตูห้องโถงอีกหลายคน รวมทั้งเด็กหนุ่มสองสามคนที่อายุไม่มาก เมื่อฟางหย่วนเห็นเข้า ก็รีบลุกขึ้นแล้วโบกมือให้พวกนั้นทันที “ทางนี้!” เมื่อบุรุษพวกนั้นสังเกตเห็น ก็ส่งยิ้มให้และเดินมาทางนี้
จากนั้นฟางหย่วนถึงได้นึกถึงลู่อวี่ที่นั่งด้านข้างขึ้นมาได้ จึงรีบพูดขึ้นมาทันที “คนพวกนี้เป็สหายของข้า ประเดี๋ยวข้าจะแนะนำให้สหายลู่รู้จัก แม้ว่าสถานะของพวกเขาจะสู้สหายลู่ไม่ได้ แต่พวกเขาก็มีคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดา”
“ฮ่าๆ สหายฟางมาเร็วกว่าเราอีก หรือว่าเจอสตรีงามที่ใดกัน?” คนที่เดินเข้ามามีด้วยกันสามคน คนที่พูดคือบุรุษรูปร่างสูงผอมในชุดสีเขียว ดูจากหน้าตาแล้วคงมีอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี พลางพูดจาหยอกเย้าเล่นกับฟางหย่วน พลางลอบสังเกตลู่อวี่ไปด้วย แม้ว่าระดับพลังยุทธ์ของพวกเขาเหล่านี้อาจไม่สูงมากนัก ทว่าแต่ละคนต่างก็มีแผนการอยู่ในใจ คนที่นั่งแถวแรกได้ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป สามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งที่สามได้ เห็นได้ชัดว่าสถานะของบุคคลนี้ไม่ต่ำต้อยแน่นอน
“อย่าพูดจาไร้สาระ!” ฟางหย่วนพูดด้วยความไม่พอใจ แล้วหันไปพูดกับลู่อวี่ “สหายลู่ คนผู้นี้คือถังเส่าหง นายน้อยของตระกูลถังแห่งจงโจว นั่นคือหลิวอวี่ นายน้อยตระกูลหลิวแห่งจงโจว และนั่นคือเกาซวี่ นายน้อยของตระกูลเกาแห่งภูมิภาคตะวันตก” ขณะที่เขาพูด ก็ดึงคนมาแนะนำให้ลู่อวี่รู้จักด้วย
ยกเว้นถังเส่าหง หลิวอวี่มีความสูงปานกลาง รูปร่างแข็งแรงกำยำ มีความองอาจห้าวหาญ หากถูกจัดให้อยู่ท่ามกลางคนสามัญทั่วไป แล้วแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งสักหน่อย คงถูกเข้าใจผิดว่าเป็พวกอันธพาลแน่นอน คนสุดท้ายเกาซวี่ ดูเป็คนอบอุ่น แต่แววตากลับมีความดุร้ายฉายชัดอยู่ บอกได้เลยว่าเขาคือหมาป่าที่ห่อหุ้มตัวด้วยหนังแกะ
ดังคำกล่าวที่ว่า กาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์ สหายของฟางหย่วน เป็คนเช่นนี้กันหมด และตัวเขาเองก็ไม่เป็ข้อยกเว้นเช่นกัน
“นี่คือลู่อวี่ นายน้อยของตระกูลลู่ คิดว่าพวกเ้าทุกคนคงจะรู้จัก พวกเราสองคนเล่นด้วยกันมาั้แ่เด็กจนโต” ฟางหย่วนหน้าตายิ้มแย้ม แนะนำให้สองสามคนนั้นรู้จัก
พูดตามตรง แม้ว่าเ้าของเดิมร่างของลู่อวี่ และฟางหย่วนจะเล่นด้วยกันมา แต่มันก็ไม่นานนัก เหตุผลที่ยังคงเหมือนเดิมเมื่อพบเจอกัน นั่นเป็เพราะพวกเขาทั้งคู่ มีนิสัยเสเพลเกเรเหมือนกัน ถึงได้อยู่ด้วยกันได้ นอกจากนี้ลู่อวี่ยังมีสถานะสูงส่ง ฟางหย่วนก็จงใจผูกมิตรกับเขาด้วย ถึงได้มีมิตรภาพที่ดีต่อกัน ไม่เช่นนั้นนิสัยของลู่อวี่คนก่อน คงไม่เห็นคนที่มีฐานะเช่นฟางหย่วนอยู่ในสายตา
“ข้าเคยพบกับสหายลู่มาแล้ว!” แม้ว่าหลายคนจะพอเดาได้ว่า ลู่อวี่คงไม่ใช่คนธรรมดา แต่เมื่อได้ยินว่าบุรุษรูปหล่อตรงหน้าพวกเขาคือนายน้อยของตระกูลลู่ ก็ตกตะลึงอ้าปากค้างกันทีเดียว การได้สานสัมพันธ์กับคนปรุงโอสถสักผู้หนึ่งล้วนเป็ความใฝ่ฝันของผู้คนมากมาย วันนี้เมื่อพวกเขาสามารถสานสัมพันธ์กับคนปรุงโอสถขั้นห้าที่อายุน้อยที่สุดในเทียนตูผู้หนึ่งได้ แล้วจะไม่ให้พวกเขามีความสุขได้อย่างไร?
ลู่อวี่ไม่ได้ลุกขึ้น ทำเพียงยิ้มและทักทายกับบุรุษหน้าใหม่สองสามผู้นี้เพียงเล็กน้อย และเชิญให้พวกเขานั่งลง จากนั้นก็ขอให้สาวใช้เพิ่มจอกสุราให้อีกสองสามใบ แต่โต๊ะไม่ใหญ่นัก มันพอดีสำหรับสองคน หากมีมากกว่านี้ก็จะแน่นเกินไป อีกทั้ง่นี้เป็่ที่ยอดฝีมือจากทุกแขนงและบุคคลสำคัญมีอำนาจ กำลังทยอยกันเข้ามาพอดี ดังนั้นฟางหย่วนและคนอื่นๆ จึงยังพอมีไหวพริบ อยู่พูดคุยกับลู่อวี่เพียงไม่กี่คำก็ขอตัว
การเดินทางมาเมืองเสวียนจ้งในครั้งนี้ ได้มีโอกาสสานสัมพันธ์กับลู่อวี่บุคคลสำคัญเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่เสียแรงเปล่าที่มาแล้ว หากกลับไปพูดกับคนในตระกูล อาจนำผลประโยชน์มาให้พวกเขามากขึ้น
“เซินหยวนชิง หัวหน้าศิษย์ของเขาหนิงชุยเฟิงมาถึงแล้ว!”
“ผู้เฒ่าหลี่ซั่ง แห่งสำนักหมื่นกระบี่มาถึงแล้ว!”
“บุตรชายประมุขสำนักเทียนซือเต๋า จางจ้าวเหลยมาถึงแล้ว!”
ไม่รู้ว่าด้านนอกเริ่มะโแนะนำชื่อผู้เข้าร่วมงานกันั้แ่เมื่อไร เห็นได้ชัดว่าคนที่มาตอนนี้ล้วนเป็คนที่มีสถานะไม่ธรรมดา การเรียกชื่อเปรียบเสมือนให้ความเคารพและยอมรับต่ออำนาจที่ตัวแทนเช่นพวกเขามาเข้าร่วมงาน
“เจียงหยวนจวิ้น นายน้อยรองของตระกูลเจียงแห่งตงหยวนมาถึงแล้ว!”
ลู่อวี่ตกตะลึงเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าบุรุษผู้นี้จะหน้าด้านถึงเพียงนี้ วันนั้นถูกเขาไล่ออกจากหอจุ้ยเซียนไปแล้ว และยังหักหน้าเขาต่อหน้านักพรตหลายสิบคน แต่กลับโผล่หน้ามาที่เช่นนี้อีก หรือว่ามีอีกเหตุผลที่จำเป็ต้องมา
เจียงหยวนจวิ้นจำเป็ต้องมาจริงๆ พิธีฝากตัวเป็ศิษย์ของตระกูลหลิน แทบไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย แต่เพราะครั้งนี้ประมุขตระกูลหลิน หลินฉงซิ่น รับลูกศิษย์เข้ามา และเป็เพราะ หนึ่งคือ ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเจียงกับตระกูลหลิน สองคือ เพื่อประโยชน์ของตระกูลเจียง เขาจะไม่มาได้อย่างไร
แต่เมื่อเด็กนำทางนำเขามาถึงที่นั่ง และพบว่าคนที่อยู่ตรงข้ามคือลู่อวี่ คนน่ารังเกียจผู้นั้น ก็อดโกรธขึ้นมาไม่ได้ ในเวลานี้ นอกจากที่นั่งว่างสี่ที่นั่งแล้ว ที่อื่นๆ ก็เต็มไปด้วยนักพรต ไม่ว่าเจียงหยวนจวิ้น ตอนนี้จะอารมณ์เสียมากเพียงใด ก็ต้องฝืนเก็บไว้ ไม่เช่นนั้นจุดประสงค์ของการมาแสดงความยินดีในวันนี้ คงจะไม่บรรลุผล แต่อาจจะลงมือก่อเื่วุ่นวายขึ้นก่อนพิธีจะเริ่ม หากเป็เช่นนั้น มันจะส่งผลเสียต่อเขามากกว่า
แต่เมื่อเห็นลู่อวี่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ก็รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อตระกูลเจียงที่เขาเป็ตัวแทนนั้นแข็งแกร่งกว่าตระกูลลู่เป็ไหนๆ แต่ตำแหน่งของเขากลับด้อยกว่าอีกฝ่าย เพราะมีคติความเชื่อเื่ทิศทางมาแต่สมัยโบราณ ด้านซ้ายเหนือกว่าและด้านขวาด้อยกว่า เห็นได้ชัดว่าแม้แต่ตระกูลหลิน ก็ให้ความสำคัญกับฐานะของลู่อวี่ที่สูงกว่าเขา ซึ่งมันทำให้เขายิ่งโกรธและไม่พอใจมากยิ่งขึ้น
ลู่อวี่ ไม่สนใจอารมณ์ความรู้สึกของเจียงหยวนจวิ้น ในเวลานี้ เมื่อมีผู้คนมาถึงมากขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศในห้องโถงใหญ่ก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา แต่น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักกัน และในบรรดาคนที่เขารู้จัก ยกเว้นไม่กี่คนที่เพิ่งได้รับการแนะนำจากฟางหย่วน คนอื่นๆ ก็ไม่เป็มิตรกับเขามากนัก
ในทางตรงกันข้ามคนสองคนที่นั่งข้างๆ เขา น่าสนใจมากกว่า ที่นั่งด้านที่มีตำแหน่งค่อนข้างสูงเป็ชายชราหัวโล้น มีหนวดเคราและคิ้วขาว หากไม่ใช่เพราะแต่งกายต่างกัน ลู่อวี่ยังเคยคิดว่าอีกฝ่ายคงเป็หลวงจีนที่มีสมณศักดิ์สูงจากที่ใดสักรูปหนึ่งเสียอีก แต่เมื่อได้ยินชื่อที่กล่าวแนะนำ ก็ดูเหมือนว่าจะเป็ยอดฝีมือผู้หนึ่ง ชื่อว่าเิคง ซึ่งตอนนี้มีพลังยุทธ์อยู่ใน่ปลายของขั้นตงซวนแล้ว เป็ยอดฝีมือที่ถือว่าเก่งกาจยิ่งนักในเทียนตู
สำหรับสตรีที่มีผ้าคลุมสีม่วงผู้นั้น แม้จะไม่เคยเห็นรูปหน้าค่าตากันมาก่อน แต่รูปร่างสง่างาม ผิวขาวราวกับหิมะ โดยเฉพาะดวงตางดงามที่ใสราวกับหยดน้ำคู่นั้น ที่ดูเหมือนจะเดาใจใครต่อใครได้ ทำให้ผู้คนที่พบเห็นครั้งแรก เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่สู้อีกฝ่ายไม่ได้ ยังมีสาวใช้และหญิงชราผู้หนึ่งเดินตามหลังมาด้วย ชื่อที่กล่าวแนะนำของสตรีผู้นั้น นางมีนามว่าไป๋เยวี่ยเหร่า มาที่นี่ในฐานะประมุขของตระกูลเล็กๆ ที่เขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แต่ลู่อวี่ไม่มีทางเชื่อว่า สถานะทางสังคมของตระกูลเล็ก ๆ นี้ จะทัดเทียมกับเขาได้
ในขณะที่ลู่อวี่กำลังเพ่งมองสตรีในชุดสีม่วงอยู่นั้น จู่ๆ นางก็หันหน้ากลับมาถามด้วยแววตาที่ฉายแววยิ้มแย้ม “คุณชายลู่มีธุระอะไรหรือ?”
ลู่อวี่ถึงกับใไปไม่เป็ และไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ดังนั้นจึงพูดเพียงว่า “ไม่มีอะไร เพียงแต่สงสัย ตระกูลที่แม่นางเอ่ยถึง ลู่อวี่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่ทราบว่าแม่นางไป๋ พอจะแนะนำให้ข้าสักหน่อยจะได้หรือไม่?”
ไป๋เยวี่ยเหร่า กล่าวว่า “ไม่มีอะไรให้ต้องแนะนำ เยวี่ยเหร่าเพียงทำตามความปรารถนาสุดท้ายของบิดา ก่อตั้งตระกูลเล็กๆ ขึ้นใหม่ในเทียนตู ทั้งตระกูลรวมถึงคนรับใช้และองครักษ์มีเพียงร้อยคนเท่านั้น คุณชายลู่ไม่เคยได้ยินมาก่อนนับว่าไม่แปลก! แต่คิดว่าคุณชายลู่กำลังสงสัยว่า เหตุใดประมุขตระกูลเล็กๆ เช่นข้าถึงมานั่งอยู่แถวแรกได้เสียมากกว่า เื่นี้ไม่มีอะไรต้องปกปิด บิดาของข้าและประมุขตระกูลหลินเป็สหายคนสนิทกัน และแน่นอนว่าคงไม่ปฏิบัติต่อข้าไม่ดี!”
“อ้อ? ที่แท้ก็เป็เช่นนี้เอง!” แม้ว่าลู่อวี่ยังคงรู้สึกว่าเหตุผลนี้ค่อนข้างจะขัดใจไม่น้อย แต่ทั้งสองพบกันครั้งแรก เปิดใจพูดกันได้ถึงเพียงนี้ ก็ถือว่าจริงใจต่อกันแล้ว
“เหตุใดคุณชายลู่ถึงได้สนใจมาเข้าร่วมพิธีฝากตัวเป็ศิษย์ที่นี่เล่า?”
วันนี้เป็ครั้งที่สองแล้วที่มีคนถามคำถามนี้ ลู่อวี่ยังคงตอบด้วยคำตอบเดิม “ข้าใคร่รู้เื่ไฟแท้จื่อเสวียน และว่างไม่มีอะไรทำ ดังนั้นจึงมาดู แล้วแม่นางไป๋มาทำอะไรที่นี่?”
“แน่นอนว่าก็ต้องมาเปิดหูเปิดตาหาประสบการณ์ และทำความรู้จักกับนักพรตผู้มีความสามารถเช่นคุณชายลู่ หากมีปัญหาในภายภาคหน้า วิ่งไปร้องขอความช่วยเหลือ คงไม่ถูกปฏิเสธให้อยู่แต่เพียงนอกประตู!” ไป๋เยวี่ยเหร่าทำเป็จริงครึ่งไม่จริงครึ่ง พูดติดตลก
“แม่นางไป๋ล้อเล่นเก่งจริง!” ลู่อวี่ไอแห้งๆ และไม่ตอบอะไรอื่นอีก
ไป๋เยวี่ยเหร่ารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ในขณะที่กำลังจะพูดอย่างอื่นอยู่นั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงะโเรียกชื่อที่ประตูะโดังขึ้น “ผู้เฒ่าสามตระกูลเซี่ยแห่งตงหลิงมาถึงแล้ว!”
หลังจากนั้นก็มีคนะโแนะนำต่อทันที “ผู้ดูแลตำหนักมหาเทพเมืองเทียนตู อู๋ยง นักพรตอู๋มาถึงแล้ว!”
ทันทีที่สองผู้นี้มาถึง เสียงที่ดังเจี๊ยวจ๊าวแต่เดิมในห้องโถงใหญ่ ก็เงียบลงไปมากในทันที แม้ว่าคนจากตระกูลอันดับหนึ่งในเทียนตูและคนจากตำหนักมหาเทพ เ้าเหนือหัวของเทียนตูที่ส่งมานั้นจะไม่ใช่บุคคลสำคัญอะไร และแม้ว่าทางตำหนักเทพจะส่งมาเพียงผู้ดูแล แต่สถานะก็ไม่ใช่เื่ที่คนในห้องโถงใหญ่จะเทียบเคียงได้
ผู้เฒ่าสามของตระกูลเซี่ยแห่งตงหลิง ดูเหมือนชายวัยกลางคนในวัยสามสี่สิบปีผู้หนึ่ง ที่มีรูปลักษณ์สง่างาม ใบหน้าขาว ไร้หนวดเครา มีความสง่างามเหมือนปัญญาชนเมื่อยามที่ย่างเท้าเดินเข้ามา ส่วนนักพรตอู๋ยงจากตำหนักมหาเทพผู้นั้น สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินเรียบง่าย ดูเหมือนอายุสี่สิบห้าสิบปี ดวงตาราวกับสายฟ้าแลบ ดูมีพลานุภาพที่ทรงพลังอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าเป็คนที่คอยคุมอำนาจมาอย่างยาวนาน
ทั้งสองผู้นี้มาถึงโดยที่ไม่มีใครมาก่อนหลัง และดูเหมือนจะเป็คนรู้จักกัน ดังนั้นจึงเดินเข้ามาด้วยกัน โดยไม่สนใจสายตาที่จ้องมองมาจากทุกคนในห้องโถงแม้แต่น้อยนิด!
“ฮ่าฮ่า สหายรักทั้งสองมาอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย หลินฉงซิ่นรู้สึกตกตะลึงเพราะได้รับความเมตตาที่คาดคิดไม่ถึงจริงๆ!”
ในเวลานี้ มีเสียงดังมาจากด้านหลังของห้องโถง เมื่อลู่อวี่หันไปมอง ก็เห็นว่าเป็ชายวัยกลางคนที่เดาอายุไม่ออก เขาสวมชุดคลุมสีม่วงและมีรูปร่างหน้าตาที่สง่างามน่าเกรงขาม
“สหายหลินเกรงใจกันไปแล้ว!” ผู้เฒ่าสามตระกูลเซี่ยและนักพรตอู๋ ทั้งสองที่ยังไม่ได้นั่งลง ต่างก็รีบเข้ามาทักทายกัน และคนที่มานั้นก็คือหลินฉงซิ่น ประมุขตระกูลหลินนั่นเอง หากพูดถึงสถานะทางสังคมกันจริงๆ แล้ว ก็มีสถานะที่สูงกว่าพวกเขาสองคนไม่น้อย