เฉิงอิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงสัยว่า “ให้ข้าดูยาชาสักหน่อย”
หลี่หรูอี้เปิดหีบยาออกทันใดแล้วหยิบขวดดินเผาที่บรรจุยาชาเม็ดออกมาแกว่งไปมาตรงหน้าเฉิงอิ้งสองสามครั้ง
เฉิงอิ้งยื่นมือไปจะคว้าขวดดินเผานั้นด้วยความตื่นเต้น
“หลังผ่าตัดค่อยให้ท่านดู” หลี่หรูอี้รีบเก็บขวดยาอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้มือของเฉิงอิ้งค้างอยู่ในอากาศ
สายตาของนางบังเอิญกวาดผ่านมือของเฉิงอิ้ง ทำให้เห็นว่าบนหลังมือของเขามีรอยแผลเป็น้อยใหญ่อยู่เต็มไปหมด บ้างก็เป็สีเขียวคล้ำ ซึ่งนี่เป็อาการของการถูกพิษ
แพทย์หลวงผู้หนึ่งมีรอยแผลเป็จำนวนมากอยู่บนหลังมือ มีหลายแผลในนั้นที่เกิดจากการถูกพิษ นี่อธิบายได้เพียงประการเดียวว่า แพทย์หลวงผู้นี้ใช้ตนเองทดลองยา
ในหนังสือของโลกก่อน มีเื่ราวของซุนซือเหมี่ยวปราชญ์แพทย์ผู้เลื่องชื่อมาแต่โบราณที่ทดลองยากับตนเอง ผู้ซึ่งกลายมาเป็แบบอย่างให้แก่แพทย์และหมอยาในยุคหลัง
“ท่านทดลองยากับตนเอง?”
เฉิงอิ้งย้อนถามว่า “หากข้าไม่ทดลองยาจะรู้ฤทธิ์ของยาได้อย่างไร” ไม่ใช่แค่เขาเพียงผู้เดียว เหล่าผู้สืบทอดวิชาจากหมอเทวดาทั้งหลายก็ล้วนทำเช่นนี้กันทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงมีฐานะที่สูงลิ่วในวงการแพทย์และยา ซ้ำยังเป็ที่รู้จักเป็อย่างดีของชาวบ้านทั่วไป
“ท่านช่างไม่รักชีวิตเสียเลย โธ่เอ๊ย... ท่านจะพูดเช่นใดก็ดี เอายานี้ไปกิน รีบถอนพิษบนหลังฝ่ามือของท่านเสีย” หลี่หรูอี้รู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่งอยู่ในใจ เพราะต่างก็เป็หมอเหมือนกัน แพทย์ที่อยู่ตรงหน้านี้ทำให้นางรู้สึกว่าตนไม่อาจทัดเทียมเขาได้เลย
เฉิงอิ้งรับโอสถเม็ดไปดมดู ก็รู้ว่ายานี้มีส่วนผสมต่างจากโอสถเม็ดถอนพิษที่ให้แม่ทัพติงกิน สายตาที่เขามองหลี่หรูอี้นั้นเปี่ยมไปด้วยความใคร่รู้และยังมีความเลื่อมใสเพิ่มขึ้นอีกจากนั้นก็กลืนเม็ดยานั้นลงไป น้ำก็ไม่ได้ดื่ม เขากลืนยาลงไปทั้งแห้งๆ เช่นนั้น
เฮ่อส้าวจาวเฝ้ารออยู่นาน จึงเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ ว่า “ขอเชิญท่านหมอเทวดาน้อยเริ่มเถิด”
หลังจากหลี่หรูอี้ช่วยจับชีพจรให้แม่ทัพติงแล้วก็ประกาศอย่างเป็ทางการว่า “จะเริ่มการผ่าตัดแล้ว ญาติสนิทโดยตรงสองท่านและแพทย์หลวงสองท่านอยู่ดูได้ ส่วนคนที่เหลือให้ถอยออกไปให้หมด”
เจียงชิงอวิ๋น พ่อลูกสกุลหลี่ และคนอื่นๆ จึงทยอยถอยออกไป ฮูหยินติง บุตรชายคนโตของแม่ทัพติง เฉิงอิ้ง และเฮ่อส้าวจาวล้วนอยู่ภายในห้อง
แม่ทัพติงนอนราบอยู่บนเตียง เปลือยท่อนบน แผ่นอกขยับขึ้นลง กล้ามเนื้อบนใบหน้าเกร็งตึง ยากจะสะกดความตึงเครียดเอาไว้ได้
หลี่หรูอี้ใช้เหล้ายาทางการแพทย์เจือกับยาชา จากนั้นก็เอาเข็มเงินลงไปแช่ เมื่อนำออกมาก็ใช้เข็มเงินปักลงไปที่ทรวงอกด้านขวาของแม่ทัพติงทีละเล่ม
ยาชาที่อยู่บนเข็มเงินจึงเข้าสู่ร่างกายของแม่ทัพติงและออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว
แม่ทัพติงนอนราบอยู่จึงมองไม่เห็นว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง แค่ได้กลิ่นหอมของสุราที่รุนแรงมาก เขาไม่ได้ดื่มสุรามานานจึงอดที่จะกลืนน้ำลายไม่ได้
เฮ่อส้าวจาวกับเฉิงอิ้งสงสัยอย่างยิ่งว่า เหตุใดหลี่หรูอี้จึงได้ใช้สุราฤทธิ์แรง แต่เห็นชัดว่าเวลานี้ไม่อาจเอ่ยปากถามรบกวนนาง
ใน่เวลาที่สำคัญนี้ หลี่หรูอี้จงใจใช้ปลายมีดปักลงไปที่ทรวงอกด้านขวาของแม่ทัพติง “เจ็บหรือไม่ขอรับ”
แม่ทัพติงไม่รู้สึกว่าอกด้านขวามีความรู้สึกผิดปกติ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าเป็ความรู้สึกอย่างไรกันแน่ และไม่ได้รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด จึงตอบว่า “ไม่เจ็บ”
“รู้สึกชาๆ หรือไม่”
แม่ทัพติงตอบว่า “ใช่”
หลี่หรูอี้เห็นว่ายาชาออกฤทธิ์แล้ว จึงหันมาหยิบมีดผ่าตัดที่สั่งทำมาเป็พิเศษ และเพื่อเบนความสนใจของแม่ทัพติงไม่ให้ตึงเครียดเกินไป จึงถามว่า “ครั้งนั้นท่านต้องศราเ็ที่ใด ยังจำได้หรือไม่ขอรับ”
“จำได้ เป็ทุ่งหญ้าเหยี่ยสือ”
“ฝ่ายศัตรูมีกำลังพลอยู่เท่าใด และพวกท่านมีกำลังพลเท่าใด ศึกครานั้นสู้รบกันกี่ชั่วยาม ท่านสามารถจำได้ทั้งหมดหรือไม่”
คนที่อยู่ด้วยในห้องทั้งสี่คนเห็นว่าหลี่หรูอี้กลับมาถามแม่ทัพติงเื่การทำศึก คล้ายไม่ได้สนใจงานที่กำลังทำอยู่ จึงพากันรู้สึกสงสัย แต่เมื่อเห็นว่าหลี่หรูอี้หยิบมีดผ่าตัดขึ้นมาวางไว้บนอกด้านขวาของแม่ทัพติง ทุกคนก็พลอยตื่นเต้นตามไปด้วย
แม่ทัพติงเอ่ยอย่างค่อนข้างตื่นเต้นว่า “จำได้สิ ต่อให้ข้ากลายเป็เถ้าก็ยังจำได้…”
หลี่หรูอี้ถือมีดขึ้นมาแล้วกรีดลงเบาๆ เปิดเนื้อตรงอกขวาของแม่ทัพติงที่มีหัวศรอาบยาพิษให้แยกออกด้วยความรวดเร็วอย่างยิ่ง
หัวศรทำจากเหล็กจึงขึ้นสนิมไปนานแล้ว และมีพังผืดมาเกาะอยู่เต็มไปหมด เคราะห์ดีที่มันลึกเพียงหนึ่งนิ้วครึ่งเท่านั้น
“กองทัพไอ้เ้าพวกแคว้นหลางสุนัขคลอดออกมามีมากกว่าพวกเรามาก แต่ฝีมือการรบก็ไม่ได้เหนือไปกว่าพวกเรา แม่ทัพของพวกมันชื่อว่า ปาเกิน มันตายด้วยทวนของข้า ก่อนที่ปาเกินผู้นี้จะตายยังยิงศรใส่ข้าดอกหนึ่ง มารดามันเถิด บนศรนั้นมีพิษร้ายแรง ข้าต้องศรก็เวียนหัวตาลายในทันใด หากมิได้เหล่าพี่น้องล้อมกันเข้ามาปกป้องข้าไว้อย่างไม่คิดชีวิต ชีวิตของข้าก็จะต้องถูกทิ้งเอาไว้ในที่ชั่วช้านั่นแล้ว”
น้ำเสียงของแม่ทัพติงยิ่งมีอารมณ์มากขึ้นเรื่อยๆ และพูดเสียงดังขึ้นอีกด้วย ในขณะที่เขากำลังดำดิ่งอยู่ในความทรงจำ จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาที่อกข้างขวา แต่แค่เ็ปเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งยังเทียบไม่ได้กับความเ็ปที่ทิ่มแทงใจครั้งที่ถูกยิงด้วยศรในคราวนั้นเลย
แต่สีหน้าของเขาก็ยังคงเป็ปกติอยู่
ฮูหยินติงคอยดูอยู่ข้างๆ เป็กังวลจนเป็ลมไปแล้ว บุตรชายคนโตของแม่ทัพติงเองก็เคร่งเครียดจนมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมาทั่วทั้งหัว
ส่วนแพทย์หลวงสองท่านหากไม่ได้เห็นกับตาตนก็ยากจะเชื่อได้
หลี่หรูอี้คว้านหัวศรอาบยาพิษพร้อมกับก้อนเนื้อที่มีเืสดๆ และมีพังผืดอยู่รอบๆ ทั้งก้อนออกมาวางไว้บนถาดที่อยู่ทางด้านข้าง จากนั้นก็เอายาจิน่ที่เตรียมไว้เมื่อครู่นี้ออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วเทผงยาที่แสนละเอียดนั้นไปบนาแที่กำลังมีเืสดไหลทะลักออกมา
สามารถมองเห็นได้ด้วยตาว่า เืสดๆ นั้นค่อยๆ หยุดไหล ซึ่งนี่ก็หมายความว่า จะไม่มีเืไหลออกมามากเกินไป
ฮูหยินติงหันไปมองก้อนเนื้อโชกเืในถาด ซึ่งพอจะมองเห็นได้ว่ามีหัวศรเหล็กหัวหนึ่งถูกห่อหุ้มอยู่ในนั้น หัวศรนี้เองที่อาบไว้ด้วยพิษร้ายและเกือบจะเอาชีวิตแม่ทัพติงไป ยามนี้พิษร้ายได้หลี่หรูอี้ถอนพิษให้แล้ว หัวศรก็ถูกกำจัดออกไปจากร่างกายของแม่ทัพติงแล้วด้วย เมื่อนั้นจึงอดที่จะดีใจจนหลั่งน้ำตาออกมาไม่ได้ จึงกล่าวว่า “ท่านพี่ เอาหัวศรออกจากอกขวาของท่านแล้ว และท่านก็ยังอยู่ดี ไม่เป็อันใดแล้วเ้าค่ะ”
“หัวศรของข้าไม่มีแล้วหรือ” แม่ทัพติงนึกว่าตนฟังผิดไป จึงรีบผงกหัวขึ้นมาดู
หลี่หรูอี้ร้องเอ็ดว่า “นอนลงดีๆ ห้ามขยับ”
แม่ทัพติงสะท้านใจและเอนตัวกลับลงไปนอนอีกครั้ง “หัวศรของข้าไม่มีแล้ว แล้วเหตุใดข้าจึงไม่รู้สึกเจ็บเล่า”
แพทย์หลวงทั้งสองท่านเดินเข้ามาและถามพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายว่า “ท่านไม่ได้รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อยหรือ”
“ไม่”
“ไม่มีเลยน่าจะเป็ไปไม่ได้ ต้องเจ็บบ้าง เพียงแต่ท่านคงพอจะทนรับได้มากกว่า” หลี่หรูอี้โบกมือเหมือนไล่แมลงวัน เพื่อบอกให้ตาเฒ่าสองคนที่มีความตื่นตะลึงอยู่เต็มใบหน้าออกไปยืนข้างๆ พร้อมเอ็ดไปว่า “การผ่าตัดยังไม่เสร็จ”
จากนั้นหลี่หรูอี้ก็เทยาจิน่ลงบนาแของแม่ทัพติงอีกครั้ง ดังนี้แล้วเืสดก็หยุดไหลสนิท จึงค่อยเอาผ้าขาวสะอาดชุบเหล้ายาทางการแพทย์เช็ดเืรอบๆ าแให้สะอาด สุดท้ายจึงถอนเข็มเงินส่วนหนึ่งออก
ท่าทางของนางคล่องแคล่วเป็อย่างมาก โดยเฉพาะความแม่นยำรวดเร็วตอนถือมีดคว้านหัวศร ยังมีก้อนเนื้อที่คว้านออกมาก็ไม่ได้เอาออกมากเกินไปแม้สักน้อย ทั้งการใช้มีดและสายตาล้วนล้ำลึกเกินจะเปรียบ ทำให้แพทย์หลวงทั้งสองคนรู้สึกว่าทักษะของนางเรียกได้ว่าเป็วิธีการที่สุดล้ำเลิศ จึงพากันเลื่อมใสมาจากใจและวาจา
แม่ทัพติงเอ่ยเสียงดังว่า “ข้ารู้สึกได้ถึงความเจ็บแล้ว แต่ก็เพียงน้อยนิดเท่านั้น”
หลี่หรูอี้รีบปลอบว่า “ฤทธิ์ของยาชากำลังลดลง ความเ็ปก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น ท่านต้องอดทนสักหน่อย ผ่านคืนนี้ไปได้ก็จะสบายขึ้นบ้างแล้ว”
ยาชาเฉพาะที่ออกฤทธิ์ในเวลาที่สั้นกว่ายาชาที่ใช้ทั้งตัว เมื่อหมดฤทธิ์แล้วผู้ป่วยก็จะรู้สึกเจ็บที่าแ แต่ก็จะน้อยกว่าตอนที่ผ่าตัด มาก
“นี่แค่ยุงกัดข้าเท่านั้น ไม่เจ็บเลยสักนิด ฮ่าๆ... ในที่สุดก็ไม่มีหัวศรแล้ว ท่านหมอเทวดาน้อย ข้าว่านะ ข้าดื่มสุราได้แล้วกระมัง เมื่อครู่ท่านดื่มสุราย้อมใจใช่หรือไม่ สุรานั้นแรงนัก ไปยั่วเ้าตัวตะกละในท้องข้าเข้าให้แล้ว” แม่ทัพติงพูดจบก็ยังขยับริมฝีปากอยู่หลายครั้งด้วย
บุตรชายคนโตของแม่ทัพติงจึงรีบบอกไปว่า “ท่านพ่อ ท่านหมอเทวดาน้อยไม่ได้ดื่มสุรานะขอรับ”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้