เซี่ยเสี่ยวหลานตัดสินใจอธิบายให้โจวเฉิงฟัง
โจวเฉิงเคยพูดแล้ว เขาไม่มีคู่หมั้น ไม่มีหญิงสาวในดวงใจ เซี่ยเสี่ยวหลานจะชี้แจงเื่ของตนบ้างไม่ได้เชียวหรือ?
“ฉันไม่มีความสัมพันธ์กับจางเสเพลจริงๆ ก่อนหน้านี้เขาเคยคุกคามฉัน และโดนหวังเจี้ยนหัวซึ่งเป็จือชิงในหมู่บ้านต้าเหอขับไล่ไป ฉันเลยติดต่อกับหวังเจี้ยนหัว เวลาผ่านไปคนสองคนก็เกิดความรู้สึกดีๆ ขึ้น แต่ยังไม่ได้คบกันอย่างเป็ทางการ หวังเจี้ยนหัวดันกลายมาเป็พี่เขยฉันเสียแล้ว... เธอคงรู้เื่ราวหลังจากนั้นทั้งหมดดี ครอบครัวดูถูกบีบบังคับ ข่าวลือไม่มีมูลเริ่มแพร่ออกไปทั้งในและนอกหมู่บ้าน ฉันจึงตัดขาดกับตระกูลเซี่ย”
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่อยากพูดถึงเื่ราว่นี้จริงๆ !
หากจะบอกว่าเธอมีประสบการณ์ด้านความรัก เธอยอมรับว่าเธอเคยมี ทว่านั่นเป็เื่ของชาติก่อน
พอลืมตาตื่นในชาตินี้ ก็มีความทรงจำที่เธอไปมาหาสู่กับหวังเจี้ยนหัวเพิ่มขึ้นมา เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่เหมือนกัน โชคดีที่เธอกับหวังเจี้ยนหัวไม่เคยทำเื่ผิดประเพณี มิเช่นนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานต้องสะกดจิตตนว่าถูกสุนัขกัดอีกแน่นอน
แต่ในสายตาผู้อื่น สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เธอกระทำ เื่เปลือกนอกเดิมแต่สลับจิติญญา เซี่ยเสี่ยวหลานสามารถบอกกับคนอื่นได้หรือ?
โจวเฉิงไม่ได้เตรียมใจไว้นัก อยู่ดีๆ เซี่ยเสี่ยวหลานก็กล่าวถึงเื่ในอดีต
ได้ยินเซี่ยเสี่ยวหลานพูดว่าเคยมี ‘ความรู้สึกดี’ ร่วมกับหวังเจี้ยนหัว หัวใจของโจวเฉิงเหมือนถูกใครทุบอย่างแรง โจวเฉิงไม่ใช่เทพ เขาคือคนเดินดินธรรมดา ถ้าเป็ก่อนหน้านี้ คิดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเคยรู้สึกดีกับคนอื่นก็ไม่เป็ไร ต่อให้เคยแต่งงานเคยมีลูก นั่นไม่เป็อุปสรรคที่โจวเฉิงจะชอบเธอหรอก—ทว่าความชอบนี้ลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ ความ้ามีเพียงเราสองและความอยากของอารมณ์เสน่หาจึงปรากฏออกมา พอได้ยินเซี่ยเสี่ยวหลานพูดถึงชายอื่น โจวเฉิงหึงหวงเหลือทน
ความรู้สึกดีแบบไหนกันเล่า?
ความรู้สึกดีแบบเคยจับมือ?
ความรู้สึกดีแบบเคยโอบเอว?
ในดวงตาของโจวเฉิงมีพายุฝนกำลังก่อตัว เขาถามด้วยน้ำเสียงแหบห้าว
“หลังจากนั้นล่ะ ตอนนี้เธอยังมีความรู้สึกดีต่อเขาอยู่หรือไม่?”
เซี่ยเสี่ยวหลานมองเขาอย่างแปลกใจ “ไม่มีหรอก ทุกวันนี้ฉันรอคอยให้เขากับเซี่ยจื่ออวี้ตกอับ การรักกันและเลิกรากันไม่ได้ประหลาด แต่หวังเจี้ยนหัวเลิกราอย่างไม่ซื่อตรงเอาเสียเลย ฉันเกลียดเขาเอาตอนนี้ยังสายไปเสียด้วยซ้ำ”
อีกทั้งหวังเจี้ยนหัวไม่ตรงกับรสนิยมของเธอเลยสักนิด!
หากตื่นขึ้นมาจากการเกิดใหม่ และเธอได้แต่งงานกับหวังเจี้ยนหัวแล้ว บางทียังพอฝืนยอมรับชะตากรรมได้ การแต่งงานคือความรับผิดชอบ คงไม่สามารถสลัดสามีเ้าของร่างเดิมทิ้งโดยไร้ต้นสายปลายเหตุใช่หรือเปล่า? แต่ถ้าไม่ได้แต่งงาน เซี่ยเสี่ยวหลานน่าจะเลือกเลิกราอย่างเบิกบานมากกว่า
การมีความรักนั้นมีอิสระเสรี ตราบใดที่คนสองคนไม่ได้ก้าวเข้าสู่งานวิวาห์ ไม่จำเป็ต้องยึดถือสัญญา การหย่าต้องสองฝ่ายเห็นชอบ ในขณะที่การเลิกราขอเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคิดว่าไม่เหมาะสมก็พอ เซี่ยเสี่ยวหลานกล้ายืนยันว่าตนเองไม่ชอบคนอย่างหวังเจี้ยนหัว ไม่ว่าเมื่อไร ชายที่เกาะหญิงกิน เธอไม่ให้คุณค่าทั้งสิ้น
ั้แ่ชาติก่อนจวบจนชาตินี้ ก็มีแค่โจวเฉิงที่ทำให้หัวใจสาวน้อยของเธอล้นหลาม
เธอใช้ั์ตาใสแวววาวมองโจวเฉิง คิดว่าเขาช่างแปลกยิ่งนัก เธอยังแสดงออกว่าชอบโจวเฉิงไม่ชัดเจนอีกหรือ?
ถ้าไม่ชอบ คงไม่ทำลายหลักการว่าด้วยตนเองจะไม่มีความรักในตอนนี้หรอก
ถ้าไม่ชอบ เธอจะส่งของให้โจวเฉิงไปทำไม
ถ้าไม่ชอบ เธอจะซื้อแพะให้หน่วยงานโจวเฉิงเพื่ออะไร ไม่ใช่ว่าเงินทองมากมายเหลือเฟือจนไม่มีที่ให้ใช้จ่ายเสียหน่อย!
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ปฏิญาณตนอธิบายต่อ พอถูกดวงตาคู่นี้ของเธอมอง อารมณ์ฉุนเฉียวของโจวเฉิงก็สลายสิ้นอย่างรวดเร็วเหมือนตอนที่มันมา
หึหึ ถ้าไม่ใช่เพราะหวังเจี้ยนหัวนั่นหน้ามืดตามัว เขาก็คงไม่มีโอกาสได้เคียงข้างกับภรรยาของเขาเช่นนี้
หวังเจี้ยนหัวจะเอาอะไรมาแข่งกับเขาเล่า คนน่ารังเกียจที่หันหางเสือตามทางลม [1] ไม่พ้นเห็นว่าลูกพี่ลูกน้องของเสี่ยวหลานสอบติดมหาวิทยาลัยจึงเปลี่ยนไปคบกับเซี่ยจื่ออวี้แทน ทิ้งแตงโมมาเก็บเมล็ดงา แค่นึกถึงสภาพเสียใจภายหลังของหวังเจี้ยนหัวในอนาคตอันใกล้ โจวเฉิงก็รู้สึกครึ้มอกครึ้มใจแล้ว
ในหมู่บ้านเล็กๆ ไม่มีตัวเลือกมากมายนัก ต้องเป็เพราะหวังเจี้ยนหัวตามตอแยภรรยาของเขาอย่างหน้าไม่อายแน่นอน หลังจากภรรยาได้พบกับเขาแล้ว อาการสายตาไม่ดีก็หายโดยไม่ต้องใช้ยาในบัดดล!
โจวเฉิงโอบเอวของเซี่ยเสี่ยวหลานไว้มั่น
“เอาเป็ว่าตอนนี้เธอเป็ของฉัน อีกหน่อยก็เป็ของฉันเหมือนกัน”
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกว่าเขาทึ่มยิ่งกว่าสุนัขสองตัวในสวนเสียอีก ทึ่มจนทำให้เธออดตามใจไม่ได้
“ใช่ใช่ใช่ ฉันเป็ของเธอ”
เฮ้อ ตอนยังไม่คบกันก็หน้าทนพอตัว คบกันแล้วถึงค้นพบว่า โจวเฉิงคืุ์ติดหนึบนั่นเอง แถมมนุษย์ติดหนึบคนนี้ยังเป็ข้าราชการอีกด้วย เป็ได้อย่างไรกันนี่ คงไม่ได้อาศัยการออดอ้อนจนได้เลื่อนตำแหน่งหรอกนะ? เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ดีว่าโจวเฉิงแสดงท่าทีอีกอย่างต่อหน้าผู้อื่น เธอดีใจไม่น้อยเช่นกัน เพราะทั้งสองใกล้ชิดสนิทสนมกัน โจวเฉิงถึงได้กลายเป็มนุษย์ติดหนึบ
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกว่าโจวเฉิงโอบเธอแน่นขึ้นแล้ว
เวลานี้ในบ้านไม่มีใคร หลี่ต้งเหลียงกับเก่อเจี้ยนไม่อยู่เหมือนกัน ทว่ายังมีสุนัขอีกสองตัวมองพวกเขาไม่ใช่หรือ ย่าอวี๋ออกไปกวาดถนนยังไม่กลับมา หลิวเฟินกำลังเฝ้าร้าน โจวเฉิงจึงเกิดความซุกซนเล็กน้อย โอบๆ กอดๆ กลางลานบ้านตอนกลางวันไม่ใช่เื่ใหญ่โตอะไร เมื่อสักครู่เธอเองก็เห็นว่าโจวเฉิงอารมณ์ไม่ดีนัก ถือเสียว่าเอาใจโจวเฉิงแล้วกัน... โอ๋ไปโอ๋มา ทำไมบรรยากาศดูแตกต่างไปจากเดิมล่ะ?
แค่โอบกอดนั้นไม่เป็ไร ทว่าแรงที่โจวเฉิงใช้มันมากเกินไปแล้ว
วัยรุ่นที่กำลังวังชาพลุ่งพล่าน ถ้าสามารถโอบกอดหญิงสาวที่ตนชอบแบบนี้ได้โดยไร้ปฏิกิริยา โจวเฉิงก็ควรหลบไปพบแพทย์บุรุษเวชวิทยาแล้ว
สิ่งที่ร้ายแรงคือ เซี่ยเสี่ยวหลานเป็วัยรุ่นกำลังวังชาพลุ่งพล่านเช่นเดียวกัน... เธอััได้ถึงความผิดปกติของโจวเฉิง เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ทฤษฎีมากกว่ามีประสบการณ์ เวลานี้ควรจะทำอย่างไรเธอก็ไม่รู้หรอก!
ถ้าอยู่ในปี 2017 ทั้งสองคบหาเป็แฟนกันแล้ว เกิดอะไรขึ้นเล็กน้อยย่อมเรียกได้ว่าดำเนินตามหลักเหตุผล
ทว่านี่ปี 84 มิใช่หรอกหรือ?
ครั้งก่อนโจวเฉิงก็เร่งเร้าการแต่งงาน ความเห็นต่างระหว่างทั้งสองไม่ได้รับการแก้ไขเลย หากเธอทำเื่ผิดศีลธรรมต่อโจวเฉิงอีก ยังมีหน้าพูดว่าจะค่อยๆ คบหาดูใจกับโจวเฉิงได้อย่างไร!
“โจวเฉิง ฉันว่า พวกเรา...”
“อย่าพูด ฉันรู้ ฉันแค่อยากกอดเท่านั้น”
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่กล้าขยับเขยื้อนแล้ว โจวเฉิงพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เขากำลังพยายามต่อสู้กับความคิดอันไม่บริสุทธิ์อยู่เหมือนกันนี่นา พอเสียงหวานของเซี่ยเสี่ยวหลานเข้าสู่โสตประสาท มันทำให้เขาเกือบควบคุมตัวเองไม่ได้เลยทีเดียว กล่าวโทษเซี่ยเสี่ยวหลานได้หรือ เสียงอ่อนหวานมีเสน่ห์คือสิ่งที่ฟ้าประทาน ปกติโจวเฉิงโปรดปรานยิ่งกว่าอะไร เวลานี้จึงจะโทษว่าสุ้มเสียงนี้ทำลายอำนาจจิตของเขาไม่ได้
โจวเฉิงกอดเซี่ยเสี่ยวหลานอยู่นานกว่าสิบนาที ลมหายใจหอบถี่จึงค่อยๆ สงบนิ่งลง
ทั้งสองรู้สึกกระอักกระอ่วนเคอะเขินอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน
คนหน้าทนเช่นโจวเฉิงยังกระอักกระอ่วนด้วยซ้ำ เขากลัวจะทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานใ เซี่ยเสี่ยวหลานครุ่นคิด เธอควรแสร้งว่าใหรือเปล่านะ? ใบหูของผู้าุโด้านทฤษฎีก็ร้อนผ่าวไม่แพ้กัน เป็เพราะฮอร์โมนของโจวเฉิงกำลังปั่นป่วนแน่นอน โชคดีที่ ณ ขณะนี้หลิวเฟินกลับมาแล้ว จิตใจของเซี่ยเสี่ยวหลานจึงไม่ต้องยุ่งเหยิงอีกต่อไป
“เสี่ยวหลาน ธุระเป็อย่างไรบ้างล่ะ”
หลิวเฟินค้าขายอย่างไม่สบายใจเลย เธออยากจะไปด้วย ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าหากเธอไปแล้วพวกเขาจะนึกว่าเป็การเจรจาสมรสจริงๆ จึงทิ้งหลิวเฟินไว้ดีกว่า
โจวเฉิงละอายใจต่อว่าที่แม่ยาย เมื่อครู่เขาทั้งโอบทั้งกอดเซี่ยเสี่ยวหลาน ต่อหน้าผู้ใหญ่ต้องปฏิบัติตนสุภาพเหมาะสม ไม่มีใครสอนเื่พวกนี้แก่โจวเฉิง ถ้าเขาอยากแต่งงานกับเซี่ยเสี่ยวหลานก็ต้องเรียนรู้เอง
เซี่ยเสี่ยวหลานร้อนตัวขึ้นมา เหตุการณ์ก่อนหลังห่างกันเพียงสองนาที มารดาเธอก็กลับมาแล้ว หากมาเจอะเจอพอดิบพอดี ทัศนคติอนุรักษ์นิยมเกินเหตุของหลิวเฟินคงใกระกระเจิดกระเจิงเลยทีเดียว
“จัดการเรียบร้อยหมดแล้วล่ะ ฉันเพิ่งชี้แจงชัดเจนต่อหน้าคนบ้านฝานเสร็จ แต่ฝานเจิ้นชวนเหมือนจะทำความผิดบางอย่าง เลยถูกคนจับกุมตัวไป ฉันว่าเขาไม่ว่างมาคิดเื่แต่งภรรยาแล้ว!”
เชิงอรรถ
[1]见风转舵 หันหางเสือตามทางลม หมายถึง กระทำสิ่งต่างๆ ไปตามสถานการณ์ ยืดหยุ่น ไม่มีแผนตายตัว บางครั้งอาจหมายถึงปรับตัวเพื่อหาผลประโยชน์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย