ตำหนักยีหลัน
หน้ากระจกเงา โจวหมัวมัวกำลังสางผมให้องค์หญิงหลานซิน องค์หญิงหลานซินก้มลงตะไบเล็บของตนเองแล้วพลันนึกอะไรขึ้นมาได้จึงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
“เ้าทายซิ ตอนนี้ฮองเฮากำลังทำอะไรอยู่?”
โจวหมัวมัวส่ายหน้า “บ่าวไม่ทราบเพคะ!”
องค์หญิงหลานซินหัวเราะหึๆ “หากเปิ่นกงเดาไม่ผิดละก็ เวลานี้นางกำลังเก็บข้าวของอยู่น่ะสิ เตรียมจะไปจากวังหลวง”
โจวหมัวมัวไม่กระจ่างแจ้ง “เหตุใดองค์หญิงจึงแน่ใจเช่นนี้เพคะ?”
องค์หญิงหลานซินหัวเราะจนตาหยี “เ้าคิดว่าเมื่อวานที่เปิ่นกงแสดงละครฉากใหญ่นั้นแสดงไปเปล่าๆ ปลี้ๆ หรือ? เปิ่นกงหลอกใช้ไทเฮาก่อน ต่อมาหลอกล่อให้ฝ่าาเสด็จมาตำหนักยีหลัน จากนั้นซื้อตัวจ้าวกงกง ขัดขวางไม่ให้ฝ่าาส่งข่าวให้ฮองเฮา สุดท้ายให้เสด็จพี่ของข้าใช้ข้ออ้างของพญายมราช หลอกให้ฝ่าาออกจากวัง! เมื่อเป็เช่นนี้ ฮองเฮาจะต้องเข้าใจว่าฝ่าาค้างคืนอยู่ในตำหนักยีหลันกับข้า...เ้าคิดดูสิ นางจะรู้สึกอย่างไร?”
โจวหมัวมัว “แต่เมื่อคืนฝ่าามิได้อยู่ในตำหนักยีหลัน หากฮองเฮาสืบข่าวสักหน่อยย่อมจะรู้ความจริงอย่างรวดเร็วเพคะ”
องค์หญิงหลานซินลูบริมฝีปากสีชาดของตน “ถูกต้อง นางเพียงแค่มีใจสืบข่าวสักหน่อยก็จะรู้ความจริงทันที แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงของเปิ่นกงคือ้าให้นางได้ัักับตัวเองถึงความจนใจของผู้หญิงที่มีฐานะเป็สตรีของตำหนักใน! ต่อให้มีฐานะสูงส่งเป็ถึงฮองเฮา สุดท้ายก็ยังต้องได้รับความทุกข์จากการที่บุรุษของตนเองไปโปรดปรานหญิงอื่นวันยังค่ำ! เ้าตรองดูสิ ฮองเฮาเป็คนเย่อหยิ่งถึงเพียงนั้น นางจะทนได้อย่างไรกัน?”
นางถอนใจเบาๆ “ยังคงเป็พี่สามที่ฉลาดเฉลียว สามารถคิดแผนการยอกย้อนเช่นนี้ออกมาได้ บีบให้ฮองเฮาไปจากวังหลวงเอง!”
โจวหมัวมัวพยักหน้าเห็นด้วย “องค์ชายสามเคยประลองการเดินหมากล้อมกับฮองเฮา องค์ชายสามย่อมรู้นิสัยของฮองเฮาที่สุดเพคะ!”
องค์หญิงหลานซินถอนใจ “ใช่แล้ว การเดินหมากก็เหมือนนิสัยของคน! พี่สามไม่เพียงแต่แตกฉานในทักษะการเดินหมากเท่านั้น การสังเกตและอ่านใจคนก็ไม่แพ้กัน! น่าเสียดายที่จิตใจพี่สามไม่ฝักใฝ่ในราชสำนัก หาไม่แล้วด้วยความรู้ความสามารถของพี่สาม เขาจึงจะเหมาะสมที่จะเป็ไท่จื่อที่สุด พี่ใหญ่มิใช่คู่ต่อสู้ของเขาด้วยซ้ำ!”
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน มีนางกำนัลนางหนึ่งเดินเข้ามาประคองน้ำชาพุทราแดงและเมล็ดเก๋ากี้[1]เข้ามาให้ องค์หญิงหลานซินยื่นมือไปรับแล้วจิบคำหนึ่ง จากนั้นพูดต่อ “พูดไปแล้วครั้งนี้พวกเราใช้าจิตวิทยาต่อกรกับฮองเฮา ที่วางเดิมพันก็คือความเย่อหยิ่งจองหองในตัวนาง! หากนางไม่ใส่ใจว่าฝ่าาจะโปรดปรานหญิงอื่นแม้แต่น้อย ยังคงรอคอยอยู่ในวังหลวงอย่างสงบ เช่นนั้นเปิ่นกงกลับรู้สึกดูแคลนนางอยู่บ้าง!”
“แต่ถ้าหากฮองเอาไม่ไปจากวังหลวงด้วยตัวเอง? ในเมื่อ ในวังยังมีไท่จื่อน้อยอีกคนหนึ่ง” โจวหมัวมัวพูดอย่างเป็กังวล
องค์หญิงหลานซินหัวเราะออกมาพรืดหนึ่ง “หากนางคิดถึงและเป็ห่วงไท่จื่อน้อยจริงๆ คงไม่ศึกษาแผนที่วังหลวงอย่างละเอียดเพียงนั้นและคิดจะไปจากวังหลวงแต่เนิ่นๆ”
“องค์หญิงปราดเปรื่องเพคะ!” โจวหมัวมัวหัวเราะหึๆ
แปะๆๆ!
เสียงปรบมือสามครั้งดังขึ้นจากเบื้องบน!
องค์หญิงหลานซินและโจวหมัวมัวตะลึงงันพร้อมๆ กัน เมื่อหันไปมองกลับพบว่าเฟิ่งเฉี่ยนปรากฏตัวอยู่หน้าประตูใหญ่ั้แ่เมื่อใดไม่รู้ และกำลังก้าวเข้ามาโดยไม่มีใครขัดขวาง
“ฮองเฮา?” ร่างขององค์หญิงหลานซินแข็งเกรงทันที สีหน้าเผือดขาว!
นางมานานแค่ไหนแล้ว ได้ยินบทสนทนาของพวกนางมากน้อยแค่ไหน?
เฟิ่งเฉี่ยนก้าวเข้ามาอย่างมั่นอกมั่นใจ สีหน้าเปื้อนยิ้ม “ไม่ต้องตื่นตระหนก! ที่ควรได้ยินและไม่ควรได้ยิน ข้าได้ยินหมดแล้ว!”
องค์หญิงหลานซินและโจวหมัวมัวมองหน้ากัน
“พี่สาวมาแล้วเหตุใดไม่ให้คนเข้ามารายงานสักคำ? น้องสาวจะได้ออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง” องค์หญิงหลานซินพูดด้วยรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา
เฟิ่งเฉี่ยนทำราวกับตนเองไม่ใช่คนนอก นางหาที่นั่งเองและนั่งลงโดยไม่ได้รับคำเชื้อเชิญพร้อมกับยกขาขึ้นมาไขว่ห้าง “หากรายงาน ข้าก็ไม่ได้ยินบทสนทนาที่มีสีสันเช่นนี้น่ะสิ? อย่างนั้นก็ไม่สนุก?””
องค์หญิงหลานซินปากสั่น สีหน้าย่ำแย่ถึงขีดสุด
เฟิ่งเฉี่ยนมองนางด้วยหางตา “เพื่อให้ข้าไปจากวังหลวง เ้าถึงกับทุ่มเทจิตใจเพียงนี้! โจ่งแจ้งไม่ได้ผลก็ลับหลัง ลับหลังไม่ได้ผล ก็เล่นถึงขั้นาจิตวิทยา! หากข้าไปจากที่จริงๆ คงต้องสูญเสียคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเช่นเ้า ชีวิตนี้มิขาดสีสันหรอกหรือ?”
องค์หญิงหลานซินเห็นเช่นนั้นจึงไม่เสแสร้งอีกต่อไป นางเชิดคางขึ้นน้อยๆ แล้วแค่นหัวเราะเสียงเย็น “เฟิ่งเฉี่ยน ในเมื่อพูดจาเปิดอกถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็จะไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป! เ้าควรจะกระจ่างแจ้งดีว่าเื่ในวันนี้ต่อให้เ้าพูดออกไปก็ทำอะไรข้าไม่ได้! ข้าเป็องค์หญิงแห่งแคว้นหนานเยียน ไท่เฮาเป็ท่านป้าของข้า ฝ่าาต้องเห็นแก่แคว้นหนานเยียนและหน้าของไทเฮา ย่อมต้องไม่ลงโทษข้า ดังนั้น ต่อให้เ้ารู้ความจริงทั้งหมด แล้วเ้าจะทำอะไรข้าได้?”
“ข้าทำอะไรเ้าไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ!” เฟิ่งเฉี่ยนหลุบตาลงหัวเราะเบาๆ สังเกตสีหน้าและอารมณ์ของนางไม่ออก “และข้าไม่อาจไม่ยอมรับว่า แผนการนี้ของเ้าประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง เ้าทำลายปราการป้องกันในจิตใจของข้าหมดสิ้น...”
องค์หญิงหลานซินตกตะลึง มองนางอย่างไม่เข้าใจ
“เ้าพูดถูกต้อง ข้าไม่เหมาะสมกับวังหลวง ความเย่อหยิ่งจองหองของข้าทำให้ข้าไม่มีทางยอมให้บุรุษของตนเองไปโปรดปรานหญิงอื่น ดังนั้น...” เฟิ่งเฉี่ยนช้อนตาขึ้นขวั่บ แล้วมองนางแน่วนิ่งขณะพูดชัดๆ ทีละประโยค “ยินดีกับเ้าด้วย! เ้าทำสำเร็จ! ข้าตัดสินใจว่าจะไปจากวังหลวง!”
ครานี้องค์หญิงหลานตกตะลึงพรึงเพริดแล้วจริงๆ นางมองเฟิ่งเฉี่ยนลืมกระทั่งจะตอบโต้
“แต่...” แววตาเฟิ่งเฉี่ยนคมปลาบ มุมปากยกยิ้มเป็รอยยิ้มเ็าสุดขั้ว “ก่อนหน้าที่ข้าจะไป มีเื่สำคัญเื่หนึ่งที่ไม่ทำไม่ได้!”
องค์หญิงหลานซินมองเฟิ่งเฉี่ยนด้วยสีหน้าคลางแคลงใจ “เื่นี้เกี่ยวข้องกับเปิ่นกงหรือไม่?”
“ฉลาด!” เฟิ่งเฉี่ยนมองนางด้วยสายตาชื่นชม “มีเื่หนึ่ง ข้าต้องไหว้วานเ้า!”
องค์หญิงหลานซินหัวเราะ “พี่สาว ข้าไม่ได้ฟังผิดกระมัง? ท่านมีเื่้าไหว้วานข้า? ท่านอย่าลืมว่าข้าเป็คู่ต่อสู้ของท่าน!”
เฟิ่งเฉี่ยนกลับพูดด้วยสีหน้าเป็จริงเป็จัง “เพราะเ้าเป็คู่ต่อสู้ของข้า ดังนั้นข้าจึงต้องไหว้วานเ้า! อีกทั้งเื่นี้มีเพียงไหว้วานเ้าเท่านั้นข้าจึงจะวางใจ!”
องค์หญิงหลานซินเก็บงำรอยยิ้มแล้วถามอย่างลังเลใจ “ท่าน้าไหว้วานเื่ใดกันแน่? แล้วท่านอาศัยอะไรจึงแน่ใจว่าเปิ่นกงจะช่วยท่าน?”
เฟิ่งเฉี่ยนลุกขึ้นเดินเข้ามาหาองค์หญิงหลานซิน องค์หญิงหลานซินถอยหลังอย่างระแวดระวังราวกับเห็นนางเป็เช่นอสรพิษ
เฟิ่งเฉี่ยนเห็นเช่นนั้นจึงหัวเราะเบาๆ “เื่ที่ข้า้าไหว้วานเ้าง่ายดายมาก หลังจากข้าไปจากวังหลวงแล้ว ขอให้เ้าช่วยดูแลไท่จื่อน้อย ยังมีคนในตำหนักของข้า! เ้าไม่เพียงแต่ต้องรับรองว่าที่จะไม่สร้างความลำบากใจให้กับพวกเขา ในขณะที่พวกเขาถูกผู้อื่นรังแก เ้าจะต้องก้าวออกมาปกป้องพวกเขาด้วย!”
องค์หญิงหลานซินตกตะลึงในลำดับแรก ต่อมานางหัวเราะขึ้นมา “พี่สาว ข้าว่าท่านน่าจะเสียสติไปแล้ว! และคำขอร้องของท่านนั้นเป็ไปไม่ได้ อีกทั้งน่าขันอย่างยิ่ง! ให้ข้าไม่สร้างความลำบากให้กับไท่จื่อน้อยและคนในตำหนักของท่าน หากท่านคุกเข่าขอร้องข้า บางทีข้าอาจจะรับปากก็ได้ แต่นี่ท่านยัง้าให้ข้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือพวกเขาเมื่อมีคนมารังแก คำขอนี้ช่างน่าขัน! ท่านคิดว่าข้าเป็พระโพธิสัตว์กลับชาติมาเกิดหรือ เห็นใครน่าเวทนาก็ต้องช่วยเหลือผู้นั้นหรือไร? หึๆๆๆ...”
นางกุมท้องหัวงอหงายไปด้านหลังขณะปล่อยเสียงหัวเราะเสียงราวคลุ้มคลั่ง
เฟิ่งเฉี่ยนไม่มีโทสะ นางโน้มกายไปข้างหน้ายื่นมือหยิบถ้วยน้ำชาหน้ากระจกขึ้นมา
นางเปิดฝาน้ำชาออกพร้อมกับกล่าวว่า “น้ำชาพุทราแดงเก๋ากี้ถ้วยนี้ รสชาติไม่เลวกระมัง?”
เสียงหัวเราะพลันหยุดลง องค์หญิงหลานซินมีสีหน้าแข็งค้าง รู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
เฟิ่งเฉี่ยนพูดอีกว่า “เมื่อสักครู่ข้าบังเอิญเดินผ่านขณะที่นางกำนัลชงชาให้เ้า มือลั่นไม่ทันระวังจึงเพิ่มบางสิ่งบางอย่างลงไปในนั้นเล็กน้อย..."
[1] โก่วฉี หรือ เก๋ากี้ หรือชื่อที่คุ้นหูอีกชื่อหนึ่งว่า โกจิเบอรี่ หรือ วูฟเบอร์รี่ อุดมด้วยซีแซนทีน การแพทย์แผนจีนจัดให้เก๋ากี้เป็ยารสหวาน มีฤทธิ์เป็กลาง แก้ไข เสมหะน้อย เจ็บร้อนผ่าวในลำคอ จมูกและปากแห้ง วิงเวียนศีรษะ หน้ามืดตาลาย บำบัดโรคตาบอดกลางคืน หูอื้อ บำรุงตับ ไต สายตา บำรุงเื
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้