บทที่ 1 ตื่นจากฝันร้ายในกองเถ้าถ่าน
ความเ็ป...
มันคือสิ่งสุดท้ายที่ไป๋ฟางซินจำได้ ความเ็ปที่แผดเผาจากภายในราวกับมีถ่านไฟร้อนๆ กลิ้งอยู่ในช่องท้อง สุราพิษที่องค์ชายรัชทายาท ไม่สิ อดีตสามีของนาง ฮ่องเต้องค์ใหม่หลี่เจิ้งประทานให้ด้วยรอยยิ้มเ็า มันกัดกร่อนอวัยวะภายในของนางอย่างช้าๆ ขณะที่นางนอนจมกองเือยู่บนพื้นตำหนักเย็นอันหนาวเหน็บ
ภาพสุดท้ายที่นางเห็นคือดวงตาที่ไร้ความรู้สึกของเขา และเงาของหลิวซูซูที่ยืนอยู่ข้างกายเขาในอาภรณ์หงส์เพลิงอันงดงาม สตรีที่นางเกลียดชังและเหยียบย่ำมาทั้งชีวิต บัดนี้ได้ยืนอยู่ในตำแหน่งที่นางเคยใฝ่ฝัน ส่วนนาง...เป็เพียงเศษธุลีที่ถูกกำจัดทิ้ง
"ไป๋ฟางซิน เ้ามันโง่เง่าสิ้นดี" นั่นคือความคิดสุดท้ายของนาง เสียงกรีดร้องของบิดาที่ถูกลากไปปะายังคงดังก้องในหู ตระกูลไป๋ที่เคยรุ่งเรืองพังพินาศลงในพริบตา ทั้งหมดเป็เพราะความรักหัวปักหัวปำและความอิจฉาริษยาของนางเพียงคนเดียว นางเป็หมากบนกระดานที่ถูกหลี่เจิ้งใช้เพื่อปูทางสู่บัลลังก์ เมื่อหมดประโยชน์แล้วก็ถูกขยี้ทิ้งอย่างไม่ไยดี
ความมืดมิดเข้าครอบงำ...
จนกระทั่งแสงสว่างจ้าแยงตาพร้อมกับเสียงกระซิบกระซาบที่น่ารำคาญ
"คุณหนูใหญ่ยังไม่ฟื้นอีกหรือนี่ นี่ก็วันที่สามแล้วนะ"
"เฮ้อ ก็ใครใช้ให้คุณหนูไปได้ยินว่าองค์ชายรัชทายาททรงชมเชยคุณหนูสี่ตระกูลจางว่าปักผ้าเช็ดหน้าได้งดงามเล่า กลับมาถึงเรือนก็อาละวาดขว้างปาข้าวของจนหมดแรง ล้มหัวฟาดพื้นไปเอง สมน้ำหน้"
"ชิงจู! บังอาจนัก!" เสียงแหลมอีกเสียงหนึ่งตวาดขัดขึ้น "ระวังปากของเ้าด้วย หากคุณหนูฟื้นมาได้ยินเข้า เ้าจะถูกโบยจนหนังหลุด!"
ไป๋ฟางซินขมวดคิ้ว ความเ็ปจากพิษหายไปแล้ว แต่กลับมีอาการปวดตุบๆ ที่ท้ายทอยแทน นางพยายามลืมตาที่หนักอึ้ง ภาพที่เห็นพร่ามัวในตอนแรก ก่อนจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้น เพดานไม้สลักลายดอกโบตั๋นอันคุ้นเคย ม่านปักลายเมฆมงคลสีชมพูอ่อนที่นางเคยเกลียดนักหนาว่ามันดูเด็กเกินไป และกลิ่นกำยานอ่อนๆ ที่นางไม่ได้กลิ่นมานานกว่าสิบปี
นี่มัน เรือนพุดตานในจวนเสนาบดีกรมพิธีการ ห้องของนางเอง!
นางค่อยๆ ยันกายลุกขึ้น นั่งพิงหัวเตียง พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นเงาสะท้อนในคันฉ่องทองเหลืองที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ใบหน้าที่ยังอ่อนเยาว์และงดงามราวภาพวาด ดวงตากลมโตที่เคยเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง บัดนี้ฉายแววสับสนและว่างเปล่า ผิวขาวราวหยกที่ยังไม่มีร่องรอยของความทุกข์ทรมาน นี่คือตัวนางในวัย...สิบสี่ปี!
"คุณหนู! คุณหนูฟื้นแล้ว!" สาวใช้ในชุดสีเขียวที่ชื่อชิงเหอปรี่เข้ามาด้วยความดีใจ "บ่าวจะไปเรียนท่านฮูหยิน!"
"เดี๋ยว..." ไป๋ฟางซินเอ่ยขึ้น เสียงของนางแหบพร่าแต่แฝงไปด้วยอำนาจบางอย่างที่ทำให้ชิงเหอและชิงจูที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่มุมห้องต้องชะงัก
นางไม่ใช่ไป๋ฟางซินคนเดิมอีกต่อไปแล้ว สตรีโง่เง่าที่ยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อบุรุษไร้หัวใจคนหนึ่งได้ตายไปแล้วในตำหนักเย็นอันโดดเดี่ยว คนที่นั่งอยู่ตรงนี้คือิญญาที่กลับมาจากกองเถ้าถ่านแห่งความตาย พร้อมด้วยความทรงจำและความแค้นที่สลักลึกถึงกระดูก
์ให้โอกาสนางกลับมางั้นหรือ? ช่างน่าขันนัก!
แต่เมื่อโอกาสมาถึงแล้ว นางจะไม่ยอมปล่อยให้มันหลุดลอยไปเด็ดขาด!
หลี่เจิ้ง... หลิวซูซู... และทุกคนที่มีส่วนในการตายของนางและตระกูลของนางในชาติก่อน พวกมันจะได้ชดใช้อย่างสาสม!
แต่...ไม่ใช่ตอนนี้
ไป๋ฟางซินสูดหายใจลึก พยายามระงับคลื่นอารมณ์ที่ปะทุขึ้นในอก ความแค้นเปรียบดังเปลวไฟ หากโหมกระพืออย่างไร้ทิศทาง ก็จะเผาผลาญตนเองจนไม่เหลือซาก ชาติที่แล้วนางโง่พอแล้ว ชาตินี้นางจะไม่มีวันพลาดซ้ำสอง
การแก้แค้นที่ดีที่สุดไม่ใช่การพุ่งเข้าไปฆ่าศัตรู แต่คือการสร้างอำนาจที่แข็งแกร่งจนไม่มีใครสามารถมาทำลายได้ คือการยืนอยู่ในจุดที่สูงกว่า มองดูพวกมันดิ้นรนและล่มสลายลงไปต่อหน้าต่อตา!
ในชาติก่อน อำนาจของนางผูกติดอยู่กับบิดาและองค์ชายรัชทายาท เมื่อพวกเขาหมดอำนาจ นางก็ไม่เหลืออะไรเลย แต่ชาตินี้นางจะสร้างทุกอย่างขึ้นมาด้วยมือของตัวเอง อำนาจที่แท้จริงไม่ใช่ยศฐาบรรดาศักดิ์ที่ใครจะมอบให้หรือริบคืนก็ได้ แต่มันคือสิ่งที่จับต้องได้
...เงิน!
ใช่แล้ว ทรัพย์สมบัติและเงินทอง! คือสิ่งที่มั่นคงที่สุดในโลกหล้าใบนี้ หากนางมีเงินมากพอ นางจะสามารถจ้างผู้คุ้มกันที่เก่งกาจที่สุดได้ สามารถซื้อข้อมูลข่าวสารได้ทุกอย่าง สามารถสร้างเครือข่ายการค้าที่แผ่ขยายไปทั่วแคว้นจนแม้แต่ราชสำนักก็ยังต้องเกรงใจ เมื่อถึงวันนั้น การจะบดขยี้มดปลวกอย่างหลี่เจิ้งและหลิวซูซูก็เป็เื่ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ
เป้าหมายของนางเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่ตำแหน่งพระชายา ไม่ใช่ความรักจอมปลอมนั่นอีกต่อไป แต่คือการเป็ "เศรษฐีนีอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน!"
เมื่อความคิดตกผลึก ดวงตาของไป๋ฟางซินก็ทอประกายคมกล้าขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน นางมองไปยังสาวใช้ทั้งสองที่กำลังตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว
"ข้าหลับไปกี่วัน" นางถามเสียงเรียบ
"สะ...สามวันเ้าค่ะคุณหนู" ชิงเหอตอบเสียงสั่น
"ไปยกน้ำมาให้ข้าล้างหน้า แล้วเตรียมอาหารอ่อนๆ มา" นางสั่ง ก่อนจะหันไปทางชิงจู "ส่วนเ้า ไปที่ห้องเก็บของของข้า นำสมุดบัญชีรายรับรายจ่ายส่วนตัวของข้าทั้งหมดมาที่นี่"
คำสั่งนี้ทำให้สาวใช้ทั้งสองเบิกตากว้าง คุณหนูของพวกนางเนี่ยนะจะขอดูสมุดบัญชี? ปกติแล้วสิ่งที่นางสนใจมีเพียงเสื้อผ้าอาภรณ์ เครื่องประดับชิ้นใหม่ และข่าวคราวขององค์ชายรัชทายาทเท่านั้น เื่เงินๆ ทองๆ ไม่เคยอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ เพราะทุกครั้งที่เงินหมด นางก็จะไปออดอ้อนขอจากท่านเสนาบดีหรือฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งก็ตามใจนางทุกครั้ง
"ยังจะยืนบื้ออยู่ทำไมอีก หรือต้องให้ข้าพูดซ้ำเป็ครั้งที่สอง!" ไป๋ฟางซินตวาดเสียงเย็น แววตาที่มองไปยังชิงจูนั้นคมกริบจนอีกฝ่ายสะดุ้งสุดตัว รีบค้อมกายแล้ววิ่งออกไปจากห้องแทบจะทันที
ชิงเหอเองก็รีบไปเตรียมน้ำล้างหน้าอย่างรวดเร็ว แม้จะยังงุนงง แต่ก็รู้สึกได้ว่าคุณหนูของตนเปลี่ยนไป...น่าเกรงขามขึ้นอย่างน่าประหลาด
ไม่นานนัก ชิงจูก็กลับมาพร้อมกับสมุดบัญชีสองสามเล่มที่ฝุ่นจับเขรอะ ไป๋ฟางซินโบกมือไล่สาวใช้ทั้งสองออกไป นาง้าสมาธิ
นางเปิดสมุดบัญชีเล่มแรกออกดู ตัวเลขที่บันทึกไว้อย่างลวกๆ ทำให้มุมปากของนางกระตุก รายรับส่วนใหญ่มาจากเงินเบี้ยเลี้ยงรายเดือนที่ได้จากบิดาและย่า ส่วนรายจ่ายนั้น...กระจัดกระจายไปกับของฟุ่มเฟือยสารพัดชนิด เสื้อผ้าจากร้านดัง เครื่องประดับหายาก ของขวัญราคาแพงที่นางซื้อเพื่อส่งไปให้องค์ชายรัชทายาท (ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่เคยรับ)
หลังจากหักลบกลบหนี้แล้ว เงินเก็บทั้งหมดที่นางมีในตอนนี้...มีไม่ถึงห้าสิบตำลึง!
ช่างน่าสมเพช! คุณหนูใหญ่แห่งจวนเสนาบดีผู้สูงส่ง มีเงินติดตัวน้อยกว่าพ่อค้าแผงลอยข้างถนนเสียอีก!
ไป๋ฟางซินปิดสมุดบัญชีลงอย่างแรง นางรู้ว่าการจะพึ่งพาเงินจากทางบ้านนั้นเป็ไปไม่ได้เลย บิดารักนางก็จริง แต่เขาก็เป็ขุนนางน้ำใสที่ยึดมั่นในคุณธรรม ทรัพย์สินในจวนส่วนใหญ่เป็ของพระราชทานและมรดกตกทอด ไม่ได้มีเงินทองเหลือเฟือจากการคดโกงเหมือนขุนนางคนอื่น อีกทั้งนางยังไม่้าอยู่ใต้อาณัติของใครอีกต่อไป
นางจะต้องหาเงินด้วยตัวเอง!
แต่จะเริ่มจากอะไรดี? ในฐานะคุณหนูในห้องหอ การจะออกไปทำการค้าขายข้างนอกนั้นเป็เื่แทบจะเป็ไปไม่ได้เลย แต่ด้วยความรู้จากอนาคตที่ติดตัวมา...นางมีไพ่ในมือมากมายที่คนในยุคนี้ไม่มี!
นางนึกถึงเื่ราวต่างๆ ในชาติก่อน ร้านค้าที่โด่งดัง สินค้าที่ขายดีจนเป็ปรากฏการณ์... แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว
"อาหารและเครื่องดื่ม"
มันคือธุรกิจที่เริ่มต้นได้ง่ายที่สุดและเห็นผลเร็วที่สุด คนเราต้องกินต้องดื่มทุกวัน โดยเฉพาะของแปลกใหม่ที่อร่อยและไม่เคยมีใครทำมาก่อน ยิ่งในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยผู้คนร่ำรวยและชนชั้นสูงที่พร้อมจะจ่ายเพื่อความสุขทางลิ้น ยิ่งเป็โอกาสทอง
ไป๋ฟางซินนึกถึงเครื่องดื่มยอดฮิตในศตวรรษที่ 21 "ชานมไข่มุก"
วัตถุดิบก็หาง่าย ชา นม น้ำตาล ส่วนไข่มุก นั้นก็สามารถทำขึ้นมาเองได้จากแป้งมันสำปะหลัง นางจำได้ว่าเคยอ่านเจอในตำราอาหารโบราณว่าแถบแดนใต้มีการปลูกมันสำปะหลังอยู่บ้าง แม้จะไม่แพร่หลาย แต่ก็ใช่ว่าจะหาไม่ได้เลย
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ร่างกายที่เคยอ่อนเพลียก็กลับมีพลังขึ้นมาอย่างน่าประหลาด นางลุกจากเตียง เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็ชุดที่ทะมัดทะแมงขึ้น ก่อนจะเปิดประตูออกไป
"คุณหนู! จะไปไหนเ้าคะ ร่างกายยังไม่หายดี" ชิงเหอรีบวิ่งตาม
"ไปห้องครัว" นางตอบสั้นๆ "ไปบอกพ่อครัวใหญ่ ข้า้าใช้เตาเล็กหนึ่งเตา และให้เขาจัดหาใบชาชั้นดี นมวัวสด น้ำตาลทรายขาว และแป้งมันสำปะหลังมาให้ข้า"
"แป้งมันสำปะหลังหรือเ้าคะ?" ชิงเหอทวนคำอย่างไม่แน่ใจ "มันคือแป้งอะไรหรือเ้าคะ บ่าวไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน"
"มันเป็แป้งที่ทำจากหัวมันชนิดหนึ่งที่มาจากแดนใต้ ไปบอกให้พ่อครัวลองหาดูตามร้านค้าที่นำเข้าสินค้าจากทางใต้ ถ้าไม่มีจริงๆ ให้หาแป้งมันเทศหรือแป้งเท้ายายม่อมมาแทนก่อนก็ได้ บอกเขาว่าเป็คำสั่งของข้า หากทำไม่ได้ก็ไม่ต้องมาเป็พ่อครัวใหญ่ในจวนนี้อีกต่อไป!"
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ก่อนจะเดินลิ่วไปยังทิศทางของห้องครัว ทิ้งให้ชิงเหอยืนอึ้งอยู่กับที่ นี่เป็ครั้งแรกที่คุณหนูของนางออกคำสั่งอย่างจริงจังและยังข่มขู่พ่อครัวใหญ่ที่ปกติแม้แต่ฮูหยินยังต้องให้ความเกรงใจ!
เมื่อไปถึงห้องครัวขนาดใหญ่ที่กำลังวุ่นวายกับการเตรียมอาหารเย็น ควันและกลิ่นอาหารคละคลุ้งไปทั่ว พ่อครัวและคนงานต่างหันมามองเป็ตาเดียวเมื่อเห็นคุณหนูใหญ่ผู้ไม่เคยย่างเท้าเข้ามาในที่แห่งนี้ปรากฏตัวขึ้น
