ชาติที่แล้ว เวลาไปเที่ยวเมืองเอก่เทศกาล พ่อแม่ไม่เคยพาเธอไปด้วยเลย
ครั้งหนึ่งสวี่เยว่ไปเที่ยวเมืองเอกกับพ่อแม่กลับมาก็อวดสวี่ฮุ่ยว่าพ่อแม่พาเธอไปกินซาลาเปาน้ำแกงของร้านจี้จี้เหม่ย
บอกเธอว่าซาลาเปาน้ำแกงของร้านจี้จี้เหม่ยอร่อยขนาดไหน แล้วพูดเชิงสงสารว่า “เสียดายจัง ชาตินี้พี่คงไม่มีโอกาสได้กินหรอก”
ต้องขอบคุณลู่ฉี่เสียนที่ทำให้เธอได้ลิ้มลองอาหารรสเลิศที่ชาติก่อนไม่เคยได้กิน
ซาลาเปาน้ำแกงลูกแรกของสวี่ฮุ่ยยังไม่ทันลงท้อง ลู่ฉี่เสียนก็ยื่นซาลาเปาน้ำแกงลูกที่สองมาให้เธออีก
พอสวี่ฮุ่ยรู้สึกตัวว่าตัวเองกินซาลาเปาน้ำแกงเกินสี่ลูกแล้ว ในกล่องข้าวก็เหลือซาลาเปาน้ำแกงแค่ลูกเดียว
สวี่ฮุ่ยอายจนใช้เท้าเขี่ยพื้นแทบเป็รู
กินข้าวมื้อแรกกับเทพบุตรในดวงใจ เธอกลับทำตัวราวกับผีเปรตหิวโซ พ่อเทพบุตรจะคิดว่าเธอกินจุ แถมยังตะกละหรือเปล่านะ?
ได้ยินมาว่าผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงกินจุและตะกละ…
เอ๊ะ? ทำไมเธอถึงเรียกผู้มีพระคุณว่าเทพบุตร แล้วกลัวว่าเขาจะไม่ชอบเธอล่ะ?
เธอคิดอะไรอยู่ในหัวเนี่ย เธอจะไปคู่ควรกับเขาได้ยังไงกัน?
ลู่ฉี่เสียนยื่นซาลาเปาน้ำแกงลูกสุดท้ายให้สวี่ฮุ่ย
สวี่ฮุ่ยส่ายหน้า พูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ “พี่กินเถอะค่ะ ฉันกินเยอะแล้ว”
“เยอะตรงไหน? ซาลาเปาน้ำแกงแค่เข่งเดียว คนเดียวกินยังไม่อิ่มเลย นี่แบ่งกันกินตั้งสองคน แล้วเธอยังผอมซะขนาดนี้ ต้องกินเยอะ ๆ หน่อยสิ”
แต่สวี่ฮุ่ยยืนกรานว่าตัวเองอิ่มแล้ว
พยาบาลสาววัยยี่สิบต้น ๆ เดินเข้ามาดูว่าน้ำเกลือของสวี่ฮุ่ยหมดหรือยัง ประจวบเหมาะกับที่น้ำเกลือของสวี่ฮุ่ยหมดลงพอดี
เธอถอดเข็มให้สวี่ฮุ่ยพลางพูดด้วยความอิจฉา “แฟนคุณดีกับคุณจังเลยนะคะ ซาลาเปาน้ำแกงลูกสุดท้ายยังยอมยกให้คุณกิน แฟนฉันไม่เพียงแต่ไม่ยอมยกให้ฉันนะคะ ยังกลัวจะได้กินน้อยอีก”
สวี่ฮุ่ยหน้าแดงรีบอธิบายกับพยาบาล “เขาไม่ใช่แฟนฉันค่ะ”
พยาบาลถอดเข็มให้สวี่ฮุ่ยเสร็จแล้วกำลังเขย่งเท้าหยิบขวดยา พอได้ยินแบบนั้นก็มองสวี่ฮุ่ยกับลู่ฉี่เสียนอย่างประหลาดใจอยู่หลายตลบ
แล้วพูดพร้อมกับรอยยิ้ม “พวกคุณสองคนเหมาะสมกันมากเลยค่ะ อนาคตต้องได้ลงเอยกันแน่ ๆ” พูดจบก็ถือขวดยาเปล่าเดินออกไป
สวี่ฮุ่ยเขินหนักกว่าเดิม ไม่กล้ามองหน้าลู่ฉี่เสียน เลยอ้างว่าจะไปเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการตัวเองแล้ววิ่งหนีไป
ลู่ฉี่เสียนมองซาลาเปาน้ำแกงในมือ ส่ายหน้าแล้วยิ้ม ก่อนจะเอาเข้าปาก
คิดในใจว่าเดี๋ยวพาสาวน้อยไปกินบะหมี่เนื้อดีกว่า เธอผอมเกินไปแล้ว!
เขาพลันนึกถึงเถาเถาขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ตอนนี้เธอจะสบายดีไหมนะ?
ไม่กี่นาทีต่อมา สวี่ฮุ่ยก็กลับมาที่ห้องพัก
แม้เธอจะล้างหน้าด้วยน้ำประปาในห้องน้ำหลายครั้งแล้ว
แต่ใบหน้าและใบหูยังคงร้อนผ่าว และไม่กล้ามองลู่ฉี่เสียนอยู่ดี
เธอหันหน้าหนีแล้วพูด “พี่ลู่ พวกเราไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจกันเถอะค่ะ”
ลู่ฉี่เสียนตอบรับด้วยรอยยิ้ม “เธอไม่ต้องจริงจังกับคำพูดของพยาบาลหรอก ผ่อนคลายหน่อย”
สวี่ฮุ่ยร้องะโอยู่ในใจ “ฉันอยากให้คำพูดของพยาบาลเป็จริงจะตายอยู่แล้วค่ะ”
เธอยิ้มอย่างเขินอายให้ลู่ฉี่เสียน หัวใจเจ็บแปลบเล็กน้อย
พี่ลู่พูดแบบนี้ แสดงว่าเขาไม่ได้สนใจเธอ
บอกแล้วไงว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเขาหรอก
ทั้งสองเดินออกจากโรงพยาบาล ลู่ฉี่เสียนก็พาสวี่ฮุ่ยแวะร้านบะหมี่เนื้อเล็ก ๆ ร้านหนึ่ง
สวี่ฮุ่ยรีบพูด “ฉันอิ่มแล้ว พี่ลู่สั่งแค่ของตัวเองก็พอค่ะ”
ลู่ฉี่เสียนทำหูทวนลม แล้วพูดกับเถ้าแก่ “เอาบะหมี่เนื้อสองชามครับ”
ไม่นานเ้าของร้านก็ทำบะหมี่เนื้อสองชามเสร็จแล้วยกมาเสิร์ฟ
ยังไม่ทันได้กิน ลู่ฉี่เสียนก็คีบเนื้อทั้งหมดในชามตัวเองใส่ชามสวี่ฮุ่ย
ต่อให้สวี่ฮุ่ยพยายามห้ามเท่าไหร่ ก็ไม่ได้ผล
ลู่ฉี่เสียนเงยหน้าขึ้นมอง “กินสิ”
สวี่ฮุ่ยจึงก้มหน้าก้มตากิน
บะหมี่เนื้อเ้านี้รสชาติดีทีเดียว ทางร้านเอากระดูกวัวไปตุ๋นกับสมุนไพรจีน ทำให้น้ำซุปมีกลิ่นและรสชาติที่หอมหวาน ซดคล่องคอ ส่วนเนื้อวัวก็ตุ๋นจนหอมและเด้งสู้ฟัน
ติดแค่เส้นบะหมี่ที่ลื่นจนเกินไป สวี่ฮุ่ยใช้ตะเกียบคีบอย่างยากลำบาก คีบได้ครั้งละไม่กี่เส้น พอจะเข้าปากก็ร่วงกราวลงจากตะเกียบอีก
ลู่ฉี่เสียนเห็นแล้ว อยากจะป้อนให้เธอกินเสียจริง
เขาบอกให้เถ้าแก่เอาชามเปล่ามาใบหนึ่ง ท่ามกลางสายตาประหลาดใจปนงุนงงของสวี่ฮุ่ย เขาใช้ตะเกียบคีบเส้นบะหมี่ทั้งหมดในชามของเธอใส่ลงในชามเปล่า
จากนั้นก็เลื่อนชามที่เหลือเพียงน้ำซุปกับเนื้อวัว และชามที่ใส่เส้นบะหมี่ไปไว้ตรงหน้าเธอ “กินดูสิ”
แบบนี้กินง่ายกว่าเยอะ สวี่ฮุ่ยยกชามที่มีแต่เส้นบะหมี่ขึ้นมา ใช้ตะเกียบพุ้ยเส้นเข้าปากเหมือนกินข้าว
ไม่นานเธอก็กินเส้นบะหมี่หมดเกลี้ยง
ก่อนจะกินเนื้อวัวและซดน้ำซุปต่อ
เธอแอบมองชายหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ลู่ฉี่เสียนมีมารยาทในการกินที่ดีมาก เมื่อเทียบกับเธอแล้วเขายิ่งดูสง่างามกว่ามาก
สวี่ฮุ่ยรู้สึกละอายใจมากกว่าเดิม ผู้ชายที่มีมารยาทในการกินสง่างามเช่นนี้ เธอจะอาจเอื้อมได้อย่างไร
ทั้งสองกินบะหมี่อย่างเงียบ ๆ
ถึงแม้ในร้านจะเสียงดังจอแจ และข้างนอกร้านจะมีรถราวิ่งให้ควั่ก
แต่สวี่ฮุ่ยกลับรู้สึกสงบสุขราวกับฝันไป
จู่ ๆ เธอก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า
ในอนาคตที่ไม่แน่นอนข้างหน้า หากมีลู่ฉี่เสียนอยู่เคียงข้าง คงเหมือนมีแสงแดดอบอุ่นอาบไล้ทุกวัน
น่าเสียดาย… เพราะเธอรู้ว่ามันเป็ไปไม่ได้
หลังจากกินบะหมี่เนื้อเสร็จ ทั้งสองก็ไปที่สถานีตำรวจของเมือง
ให้ปากคำเสร็จแล้ว สวี่ฮุ่ยถึงได้ทราบเื่ราวทั้งหมดจากตำรวจที่ทำคดี
ที่แท้ ตอนเธอขายตะพาบที่ตลาดค้าส่งต้าตงเหมิน เธอเผลอโชว์เงินสดจำนวนมาก จึงถูกกลุ่มคนร้ายที่ลงมือเป็กระบวนการหมายหัว
ผู้หญิงใส่หน้ากากคนนั้นรับหน้าที่ฉีดสเปรย์ยาสลบใส่เธอ แล้วลากเธอเข้าไปในป่า ส่งให้คนอื่นปล้นทรัพย์ต่อ
หากเจอเหยื่อผู้หญิงหน้าตาดี พวกมันก็จะข่มขืนแล้วขายเหยื่อทิ้ง
อาชญากรแก๊งนี้เคยฆ่าคนตายไปหลายศพเพราะเหยื่อขัดขืนสุดชีวิต เป็เป้าหมายสำคัญที่สำนักงานตำรวจ้ากำจัด
แต่อาชญากรแก๊งนี้เ้าเล่ห์มาก เมื่อรู้ตัวว่ามีพิรุธก็หลบซ่อนตัวมาตลอด
วันนี้พอเริ่มลงมือก็ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น
สวี่ฮุ่ยได้ยินแล้วรู้สึกหวาดกลัว
วันนี้ถ้าลู่ฉี่เสียนไม่ได้พาลูกน้องมาช่วยไว้ทันเวลา ผลที่ตามมาคงเลวร้ายเกินจะคาดเดา
เธอถามอย่างระมัดระวังว่า เธอใช้กิ่งไม้แทงคนร้าย จะมีปัญหาอะไรไหม?
ตำรวจที่บันทึกปากคำให้เธอบอกว่า “กรณีของเธอถือว่าเป็การป้องกันตัวอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
สวี่ฮุ่ยถึงเบาใจลง
หลังออกจากห้องสอบสวน สวี่ฮุ่ยตั้งใจจะไปหาโรงแรมรัฐตามถนนใหญ่พักค้างคืน แต่กลับพบลู่ฉี่เสียนกำลังรอเธออยู่ที่โถงกลางของสถานีตำรวจ
ลู่ฉี่เสียนเดินเข้ามาหาเธอ ยื่นกุญแจให้ “นี่กุญแจบ้านฉัน คืนนี้เธอไปพักที่บ้านฉันนะ”
เห็นสาวน้อยทำหน้าใ เขาจึงเสริมอีกประโยค “คืนนี้ฉันต้องทำงานทั้งคืน ไม่ได้กลับบ้าน เธออยู่ได้ตามสบายเลย”
คำถามหนึ่งผุดขึ้นมาฉับพลัน ลู่ฉี่เสียนอายุยี่สิบเจ็ดแล้ว น่าจะแต่งงานไปนานแล้ว
การที่เธอไปพักบ้านเขา ภรรยาของเขาจะเข้าใจผิด แล้วส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของทั้งคู่หรือเปล่านะ?
แบบนั้นเธอคงไม่ได้ตอบแทนบุญคุณ แต่มาแก้แค้นเขาแทนแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สวี่ฮุ่ยจึงปฏิเสธอย่างแข็งขัน “ไม่เป็ไรค่ะ ฉันไปหาโรงแรมรัฐพักก็ได้ ไม่รบกวนครอบครัวของพี่หรอกค่ะ”
ลู่ฉี่เสียน “ฉันยังโสด และไม่ได้อยู่กับครอบครัวผู้หญิงตัวคนเดียวแบบเธอจะไปพักข้างนอกได้ยังไง? เกิดเื่ขึ้นมาจะทำยังไง? เด็กดี ไปพักที่บ้านฉันเถอะ บ้านฉันอยู่ในเขตบ้านพักของสถานีตำรวจ เธออยู่ที่บ้านฉันปลอดภัยกว่า”
พอสวี่ฮุ่ยได้ยินคำว่า “เด็กดี” ก็รู้สึกถึงความเอ็นดูจาง ๆ หัวใจอบอุ่นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เลยเอื้อมมือไปรับกุญแจมา
ตอนที่เธอกำลังจะหันหลังกลับ ลู่ฉี่เสียนก็พูดขึ้นว่า “ชั้นล่างสุดของตู้เสื้อผ้าในห้องฉันมีเสื้อเชิ้ตตัวใหม่กับ… ฉันยังไม่ได้ใส่ แต่ซักแล้ว เธอใส่ได้ตามสบายเลย”
สวี่ฮุ่ยตอบรับเบา ๆ ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
ในเมื่อพี่ลู่อายุขนาดนี้แล้วยังโสดอยู่ แสดงว่าเธอยังมีโอกาสใช่ไหมนะ?