ห้วงมิติพลันบิดเบี้ยวไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะปรากฎเงาร่างของผู้มาเยือนใหม่ที่มีรูปลักษณ์งดงามยากที่จะเปรียบเทียบ ผมสีดำยาวสลวยจรดกลางหลังได้ถูกรวบมัดเป็ทรงเสียบด้วยปิ่นปักผมพร้อมทั้งเครื่องประดับสีเงิน ชุดคลุมสีขาวไล่ระดับสีเขียวอ่อนเป็สีประจำตัวนั้นจรดลากยาวไปถึงพื้นที่ถูกปักด้วยดิ้นสีทองลวดลายดอกโบตั๋นบานสะพรั่ง ส่งเสริมให้ชายหนุ่มผู้นี้ดูบอบบางน่าทะนุถนอมเป็อย่างยิ่ง
ทว่าจิตสังหารอันเข้มข้นที่แผ่ซ่านออกมาอย่างฉับพลันได้ส่งผลให้กองกำลังและพันธมิตรของตระกูลฮั่นต่างถูกแรงสะกดข่มนี้ไปถึงห้วงลึกของจิติญญา ใบหน้าถือดีเมื่อครู่พลันขาวซีดไปชั่วขณะก่อนจะก้าวถอยหลังด้วยความโกรธระคนหวาดกลัว
ยามเมื่อต้องเผชิญกับสายตาของอีกฝ่ายที่ประกายวาวโรจน์ไปด้วยความอาฆาต ั์ตาสีดำสนิทได้ปลดปล่อยความเย็นะเืที่เต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัวและบั่นทอนจิตใจอย่างถึงขีดสุด ผู้ที่อ่อนด้อยของรากฐานบ่มเพาะต่างถูกแรงกดทับของจิตสังหารนี้จนร่างกายะเิแตกออกเป็ชิ้นเนื้อทั้งสิ้น
หนิงอ้ายจ้องมองศัตรูตรงเบื้องหน้าด้วยความเ็า หลังจากที่เขาช่วยเหลือท่านลุงรองหวังเฟยหลงจัดการผู้บุกรุกม่านพิภพตระกูลหวังแล้ว เขาจึงรีบมุ่งตรงมายังม่านพิภพตระกูลฮั่นแต่ก็ไม่คาดคิดว่าสถานการณ์จะย่ำแย่ถึงเพียงนี้
กลิ่นอายอันแข็งแกร่งของราชทินนามเทพยุทธ์ิญญาขั้นต้นแผ่กระจายไปทั่วบริเวณทำให้บรรยากาศโดยรอบอึดอัดไม่น้อย วงแหวนเวทย์สีแดงเข้มประกายทองตรงด้านหลังเป็เครื่องพิสูจน์ถึงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่เด็กหนุ่มถือครองอยู่
ท่ามกลางสายตาที่ตกตะลึงของฮั่นหลี่เฉียง ผู้าุโสำนักเทพมารรวมไปถึงกองกำลังพันธมิตรตระกูลฮั่นทั้งหมด ด้วยไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มที่มีรูปลักษณ์เพียงยี่สิบปีจะพลังปราณยิ่งใหญ่อหังการเทียบชั้นกับพวกเขาได้เช่นนี้
มหาค่ายกลจิติญญาจักษุ์มายา สำแดง!!!
สิ้นเสียงบัญชาการดังกล่าวได้ปรากฏตราลัญจกรรูปดวงตาสีทองขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้า แสงสีทองประกายพิสุทธิ์ที่แผ่ซ่านออกมานั้นสว่างจ้าทำให้ผู้ที่อยู่โดยรอบต้องหรี่ตาลงเพื่อป้องกันดวงตาของตนเอง
แรงกดดันทางพลังจิติญญาของนักปรุงโอสถระดับสูงที่แผ่ออกมาจากตราลัญจกรนั้นมหาศาลราวกับูเาที่ถาโถมลงมา ทำให้ผู้ที่อยู่โดยรอบฝ่ายศัตรูรู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังจะถูกบดขยี้ให้แหลกละเอียด ไม่อาจขยับตัวได้ดั่งใจนึกจนต้องเร่งเร้าพลังปราณห่อหุ้มร่างกายจึงจะกลับมาปกติดังเดิม
“จิติญญาของสมญานามปรมาจารย์โอสถ เป็ไปได้อย่างไรกัน!!!” เสียงของหนึ่งในผู้าุโตระกูลฮั่นร้องดังขึ้นด้วยความประหลาดใจ
แน่นอนว่ามันที่เป็นักปรุงโอสถผู้หนึ่งย่อมััถึงกลิ่นอายของจิติญญานักปรุงโอสถในตราลัญจกรเหนือท้องฟ้านั้นได้ เพียงแต่ไม่คิดว่าชายหนุ่มผู้นี้จะเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัตินักปรุงโอสถระดับเจ็ด อันเป็เขตขั้นที่ยากจะก้าวถึงได้ด้วยวัยเช่นนี้
“เทพยุทธ์ิญญาขั้นต้นอายุน้อยเพียงนี้ทั้งยังเป็ถึงปรมาจารย์โอสถระดับเจ็ด ไม่ทราบว่าท่านมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลหวังอย่างไรกัน!!!” ฮั่นหลี่เฉียงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นะเื
การปรากฎตัวของอีกฝ่ายนั้นถือเป็ปริศนาที่ยังไม่อาจล่วงรู้ถึงความเป็มาและความสัมพันธ์เื้ั ทว่าสิ่งนี้ก็เป็การยืนยันได้ว่าพิษร้ายที่อดีตผู้นำตระกูลหวังและผู้าุโคนอื่นย่อมได้รับการรักษาจากชายหนุ่มผู้นี้เป็แน่
“สถานที่แห่งนี้เป็ม่านพิภพตระกูลฮั่นหาใช่ที่ที่เ้าจะเข้ามายุ่งย่ามได้ตามใจ หากยังรักชีวิตอยู่เ้าจงรีบไสหัวออกไปเสียเด็กน้อย!!”
เมื่อไร้ซึ่งการตอบกลับจากผู้มาเยือน ฮั่นหลี่เฉียงจึงตวาดไปด้วยโทสะก่อนจะปลดปล่อยพลังปราณราชทินนามเทพยุทธ์ิญญาขั้นสูงที่ได้รับการเสริมแกร่งด้วยปราณมาร แม้ว่ายามนี้จะถูกสะกดข่มด้วยตราลัญจกรของจิติญญานักปรุงโอสถก็ตาม
“หากว่าพวกข้าไม่ถอยกลับเล่า ประมุขตระกูลฮั่นมีปัญหาหรือไม่!!” สิ้นเสียงดังกล่าวนั้นร่างของหวังเฟยหลง ผู้าุโติดตามรวมไปถึงกองกำลังพันธมิตรของตระกูลหวังต่างฝ่าทะลุม่านพิภพตระกูลฮั่นเข้ามาท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคนอีกครั้ง
“หวังเฟยหลงเป็เ้าอย่างนั้นรึ ไม่ใช่ว่า....”
“หากเ้าหมายถึงตระกูลฏพวกนั้นยามนี้พวกเขาล้วนปราชัยพ่ายแพ้และพวกเ้าก็ต้องถูกจับกุมเช่นกัน!!!” หวังเฟยหลงตวาดกลับไปด้วยความคับแค้นใจ เขาอยากจะฉีกร่างสังหารพวกมันเหล่านี้ให้ตกตายไปเสีย
“หากข้ายอมให้พวกเ้าจับกุมได้คงถูกคนในยุทธภพหัวเราะเยาะแล้ว กองกำลังตระกูลฮั่นสังหารพวกมันให้สิ้น!!!!” ฮั่นหลี่เฉียงเอ่ยสั่งการด้วยแรงโทสะอันท่วมท้น หมากที่วางไว้ยามนี้กลับถูกกำจัดไปเสียหมดเหลือเพียงแต่กองกำลังในม่านพิภพนี้เพียงเท่านั้น หากจะให้ถอยก็คงไม่ใช่เื่ที่ควรกระทำแล้วยามนี้
“ดูท่าวันนี้คงต้องหลั่งเืแล้ว...ท่านตารองอย่าลืมกำชับให้ทุกคนช่วยป้อนโอสถนี้แก่ผู้ที่ัักับปราณมารนะขอรับ" หนิงอ้ายเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบพร้อมเอ่ยกำชับพร้อมส่งมอบขวดแก้วโอสถที่มีจำนวนเพียงพอกับทุกคน จากนั้นจึงหันไปตั้งรับการโจมตีของเหล่าผู้าุโสำนักเทพมารด้วยความไม่ประมาท
"ไป๋ฉินข้าฝากเ้าจัดการตามคำสั่งของหนิงเอ๋อร์ด้วย ส่วนข้าจะเข้าไปช่วยเหลือหลานข้าอีกทาง..." หวังเฟยหลงรีบสั่งการคนสนิทของตน ก่อนจะทะยานขึ้นเหนือท้องฟ้าเข้าร่วมวงการต่อสู้เคียงข้างหนิงอ้ายในทันที
“ประมุขตระกูลฮั่น พวกข้าทั้งสี่คนจะรับมือกับนักปรุงโอสถคนนั้นและจะหาทางทำลายตราลัญจกรที่สะกดข่มดวงตามาร ไม่เช่นนั้นสถานการณ์คงพลิกผันเป็แน่...” กล่าวจบลงนั้น ผู้าุโทั้งสี่ของสำนักเทพมารโลหิตต่างพุ่งทะยานตรงไปยังหนิงอ้าย พร้อมเรียกใช้วิชายุทธ์สังหารออกมาถึงขีดสุดราวกับ้าให้ตกตายไปในการโจมตีเพียงครั้งเดียว
"หากนายท่านได้พลังปราณอันเข้มข้นสายนี้ของเ้า อีกไม่นานย่อมหวนคืนสู่มหาพิภพได้อีกครั้งเป็แน่ จงยินยอมมอบตัวแต่โดยดีเสีย!!!" ผู้าุโสำนักเทพมารรูปร่างสูงใหญ่เอ่ยขึ้นก่อนจะประสานมือเป็ท่วงท่าพิสดาร กระบี่ิญญาระดับสูงพุ่งทะยานออกจากแหวนมิติ
จากนั้นปราณมารที่ไหลเวียนโดยรอบต่างถูกดูดกลืนเข้าสู่กระบี่เล่มนี้ด้วยความเร็วที่เห็นด้วยตาเปล่า ก่อนจะเกิดเป็เปลวเพลิงสีเหลืองดำลุกโหมอาบย้อมไปทั่ว ก่อนที่จะพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าแตกตัวเป็จำนวนนับร้อยนับพันเล่ม ก่อนจะหมุนคว้างเวียนวนจนกลายเป็ค่ายกลกระบี่มารขนาดใหญ่ที่กักขังหนิงอ้ายเอาไว้ด้านใน
ส่วนอีกหนึ่งผู้าุโนั้นก็ได้ชักเอาทวนขนาดใหญ่ออกมาเช่นกัน เพียงปรากฎอยู่เบื้องหน้าก็ได้มีสายฟ้าอัสนีสีครามดำประกายอาบย้อมอยู่จะขยายใหญ่ขึ้นนับสิบเท่า เพียงตวัดมือออกไปนั้นกระบี่อัสนีมารเล่มนี้ได้พุ่งทะยานโจมตีเป้าหมายนั่นคือหวังเฟยหลงนั่นเอง
"เช่นนั้นข้าก็คงต้องเอาจริงบ้างแล้วกระมัง..." หวังเฟยหลงส่ายหัวอย่างอ่อนใจ ก่อนจะะเิพลังปราณราชทินนามเทพยุทธ์ิญญาขั้นต้นออกมาอย่างท่วมท้น ก่อนที่มือจะตวัดเรียกกระบี่ประจำตัวออกมาต้านรับ
ทันที่ที่ตัวกระบี่ถูกถอดออกจากฝัก จิติญญาแห่งกระบี่ได้ปรากฎขึ้นด้วยร่างกายสูงใหญ่นับสิบเมตร ทั่วทั้งร่างล้วนลุกโชนด้วยเปลวเพลิงสีเหลืองส้มประกาย ก่อนที่กระแสสายเพลิงอัคคีจำนวนนับไม่ถ้วนจะฟาดกระหน่ำไปทั่ว ค่ายกลกระบี่มารเมื่อเข้าปะทะกับจิติญญากระบี่เพลิงถึงกับพ่ายแพ้กระเด็นกลับสู่มือของเ้าของ
จิติญญาแห่งกระบี่เพลิงได้ฟาดสายอัคคีใส่ค่ายกลกระบี่มารที่กักขังหนิงอ้ายก่อนจะสะท้อนกลับพลังโจมตีคืนสนองผู้าุโทั้งสองของสำนักเทพมารอย่างรุนแรง จนส่งผลให้สีหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อยด้วยไม่คิดจิติญญากระบี่ของอีกฝ่ายจะมีอานุภาพไม่สามัญเช่นนี้
ครืน!!!!
"ปล่อยให้เสียเวลายืดเยื้อไปถึงเพียงนี้เชียว...หากกลับสำนักแล้วพวกเ้าจะต้องถูกลงโทษทุกคน!!!"
พริบตานั้นพลังสภาวะอันแข็งกร้าวด้วยปราณมารที่เหนือชั้นกว่าผู้าุโทั้งสี่สำนักเทพมารจะเปรียบเทียบได้ พร้อมกับเงาร่างดำทะมึนหลายสายที่ได้แยกย้ายโจมตีศัตรูก่อนหน้า ยามนี้ได้ปรากฎขึ้นกลางฟ้าคอยติดตามอย่างเชื่อฟังอยู่ด้านหลัง ทั่วร่างของกลุ่มคนเหล่านี้ล้วนได้รับการเสริมแกร่งจากปราณมารที่อบอวลปกคลุมไปทั่ว
"ผู้าุโลำดับที่สี่สมญานามเทพมารกระดูกสีชาด เป็ท่านอย่างนั้นรึ!!" หวังจิ่งหลงที่ได้ถอนกำลังและอยู่เคียงข้างหนิงอ้ายกล่าวเสียงเข้มด้วยความเคียดแค้น
ด้วยเพราะผู้แกร่งกล้าในตระกูลครั้งนั้นก็ได้ตกตายไปด้วยมารเฒ่าผู้นี้ แม้จะมีตำหนักเทพมารจำนวนมากมายที่กระจัดกระจายทั่วทั้งมหาพิภพ ทว่าตัวตนตรงหน้านี้ถือเป็หนึ่งในกำลังสำคัญของจอมมารเมื่อครั้งกาลก่อนอย่างแท้จริง
"พวกเ้าทุกคนในที่นี้คงทราบดีถึงตัวตนและความเหี้ยมโหดของข้า เราผู้เฒ่าจะให้โอกาสพวกเ้าจงเข้าร่วมและสวามิภักดิ์ต่อท่านจอมมาร แล้วเ้าจะได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา..."
"แต่หากโง่เง่ากระทำสิ่งใดโดยไม่ไตร่ตรองให้ดีและปฏิเสธคำเชิญนี้ พวกเ้าทุกคนจะถูกคร่ากุมเซ่นสังเวยทั้งสิ้น"
เงาร่างของเทพมารกระดูกคลั่งยามนี้ถูกปกคลุมด้วยกลุ่มควันดำทมิฬที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสยดสยองทะลักทลายไปทั่ว ถ้อยคำสุดอหังการเมื่อครู่ส่งผลให้ใบหน้าของกองกำลังตระกูลหวังแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีความคิดกระทำอุกอาจเช่นนี้
"หวังว่าพวกเ้าจะไม่ต่อต้านและให้ความร่วมมือเป็อย่างดี ใช่หรือไม่?" เสียงแหบพร่าของเทพมารผู้นี้ได้เอ่ยข่มขู่อีกครั้ง จากนั้นจึงได้ะเิพลังปราณมารบริสุทธิ์ของสายเืมารขั้นสูงแผ่กระจายไปทั่วสารทิศ เหล่าผู้ติดตามที่ใช้ปราณมารด้านหลังก็กระทำไม่ต่างกัน ห้วงพลังปราณมารอันอหังการได้แผ่ปกคลุมทั่วทั้งผืนฟ้าของมหาพิภพ ผสานเข้ากับกลิ่นอายแห่งความตายที่เข้มข้นสุดขีดเช่นกัน
"มารเฒ่าอย่าได้ใจไปถึงเพียงนั้น พวกเราตระกูลหวังและกองกำลังพันธมิตรหาใช่อ่อนด้อยอย่างที่เ้าได้ปรามาสไว้!!!" หวังจิ่งหลงตวาดกร้าวออกไปพร้อมส่งสัญญาณให้กับหวังป๋อเหวิน เพื่อให้บิดาของตนนั้นบีบป้ายหยกเพื่ออัญเชิญท่านบรรพบุรุษให้เข้ามาช่วยเหลือในตอนนี้
ทว่าครั้นเมื่อได้บีบป้ายหยกที่ได้ซุกซ่อนเอาไว้กลับกลายเป็ว่าป้ายหยกนั้นไม่อาจทำงานได้เสียอย่างนั้น เมื่อลอบส่งสายตาสอบถามจึงพอคาดเดาได้แล้ว ดูเหมือนว่าตาเฒ่ามารวิปลาสนั่นจะปิดผนึกห้วงมิติเอาไว้อย่างมิดชิด
"ตระกูลหวังอย่างนั้นรึ? กองกำลังพันธมิตรอย่างนั้นรึ? ยามนี้ห้วงมิติภายใต้ม่านพิภพได้ถูกปิดผนึกไว้หมดแล้ว ต่อให้อัญเชิญตัวตนระดับสูงราชทินนามเทพ์ิญญาก็ไม่อาจช่วยเหลือพวกเ้าได้ ฮ่าฮ่าฮ่า!!!"
เทพมารลำดับที่สี่หัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ ความรู้สึกราวกับว่าทุกอย่างกำลังวิ่งวนอยู่ในมือโดยไร้ซึ่งทางออกช่างหอมหวานอยู่เสมอ
'ดูเหมือนว่าสำนักเทพมารมีแผนการที่ยิ่งใหญ่ ไม่เช่นนั้นคงไม่ปล่อยให้ผู้าุโเทพมารลำดับที่สี่ออกหน้าถึงเพียงนี้...หนิงเอ๋อร์ หลานสามารถพาพวกเราฝ่าออกไปจากห้วงมิตินี้ได้หรือไม่?'
หวังจิ่งหลงเอ่ยถ่ายทอดเฉพาะกองกำลังพันธมิตรของพวกพ้อง ก่อนจะถามหนิงอ้ายที่ยืนอยู่ด้านข้างกัน
'ข้ากำลังหาทางอยู่ขอรับท่านตา ห้วงมิตินี้มีความลึกลับเป็อย่างมาก ผู้ที่ตกอยู่ในอาณาเขตนั้นจะสามารถใช้ได้เพียงพลังปราณและิญญายุทธ์เท่านั้นขอรับ สมบัติวิเศษรวมไปถึงอาวุธวิเศษก็ไม่สามารถใช้ได้ อีกทั้งแหวนมิติก็ไม่สามารถเปิดออกได้เช่นกันขอรับ...'
หนิงอ้ายตอบกลับไปให้ทุกคนรับรู้ด้วยความเคร่งเครียด
'ความจริงแล้วยังมีตาเฒ่าเทพมารอีกคนที่กำลังแฝงตัวไปกับปราณมืดของห้วงมิติ หากข้าคาดเดาไม่ผิดพลังปราณมารในร่างกายมีความอ่อนด้อยกว่ามารเฒ่าผู้นี้เพียงไม่กี่ขั้นเท่านั้น...'
'รบกวนท่านตา ท่านปู่ทวด ท่านตารองรวมไปถึงผู้าุโทุกท่านและสุดยอดฝีมือกองกำลังพันธมิตรช่วยถ่วงเวลาให้ข้าไม่เกินสองเค่อ ข้าคิดว่าแผนการนี้อาจเพียงพอที่จะทำลายห้วงมิติที่กำลังเล่นงานเราอยู่ได้ขอรับ...' หนิงอ้ายถ่ายทอดวาจาพร้อมครุ่นคิดถึงความเป็ไปได้ของแผนการที่เขาคิดจะใช้
หากร่างกายของเขาสมบูรณ์พร้อมเฉกเช่นขณะที่อยู่ในห้วงมิติพิสดารนั่นก็คงดีไม่น้อย ทว่ายามนี้ร่างกายของเขายังอ่อนด้อยกว่าตอนนั้นหลายขั้น หากสามารถจัดการความวุ่นวายนี้ให้เสร็จสิ้นลงได้ เขาคงต้องรีบหลอมโอสถบำรุงร่างกายตามสูตรที่ท่านอาจารย์มอบให้เสียแล้ว ร่างกายของเขาจะได้หวนคืนกลับมาสมบูรณ์พร้อมแข็งแกร่งเช่นเดิมอีกครั้ง
"เป็ถึงมารระดับสูงในทำเนียบแต่กลับหดหัวอยู่ในห้วงมิติราวกับคนขี้ขลาดเช่นนี้ คงเกรงกลัวพวกข้าจนไม่กล้าออกมาเสียแล้วกระมัง!!!" หวังจิ่งหลงตวาดกร้าวออกไปกระตุ้นโทสะก่อนที่เพียงชั่วอึดใจเดียวนั้น ตรงมุมด้านหนึ่งของห้วงมิติได้เกิดการแตกทลายเผยให้เห็นเงาร่างหนึ่งที่ก้าวออกมาด้วยความไม่พึงพอใจ
"ประมุขตระกูลหวังปากดีถึงเพียงนี้ ข้าชักอยากจะรู้เสียแล้วว่า ยามที่ถูกคมมีดกรีดไปตามเส้นพลังปราณในร่างกายนั้นเสียงร้องของเ้าจะรื่นหูมากเพียงใด!!!" เสียงต่ำทุ้มดังสะท้อนไปทั่ว ก่อนที่ร่างชายวัยกลางคนหนึ่งจะปรากฏ ใบหน้าหล่อเหลานั้นเผยรอยยิ้มมุมปากออกมาพร้อมกับจ้องมองด้วยความชอบใจ ราวกับว่าตอนนี้ได้ปักธงเลือกเหยื่อได้แล้ว
"เทพมารลำดับที่หก สมญานามเทพมารวิปลาสโลหิตคลั่ง ได้พบเจอเ้าอีกครั้งเสียที..." หวังป๋อเหวินกล่าวเสียงเยือกเย็นออกมา มันผู้นี้เป็หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้สหายคนสนิทเขาต้องตกตายในการเข้าแดนลับครั้งนั้น ความแค้นนี้สลักอยู่ในใจอย่างไม่มีวันลืมเลือน
"นึกว่าเป็ใคร? ที่แท้ก็เป็ตาเฒ่าหวังป๋อเหวินนั่นเอง เป็อย่างไรบ้างเล่าไม่ได้พบเจอกันหลายสิบปี ครั้งสุดท้ายก็ตอนที่ข้าได้ลิ้มลองเืหัวใจของสหายเ้า ฮ่าฮ่าฮ่า!!!"
"ในเมื่ออยู่กันพร้อมหน้าเช่นนี้ก็จงคร่ากุมพวกมันทั้งหมด ต่อให้ตกอยู่ในสภาฟปางตายและยังมีลมหายใจถือว่าใช้ได้ทั้งสิ้น!!" น้ำเสียงของเทพมารลำดับที่สี่ตวาดสั่งการ กลิ่นอายแห่งความตายที่อายย้อมด้วยปราณมารได้ลุกโหมทวีขึ้นกลางฟ้าพร้อมสั่งการผู้ติดตามด้านหลังให้เข้าโจมตีในทันที
ทางฝั่งของหนิงอ้ายหลังจากหลับตาลงเพื่อรวบรวมสมาธิและพลังปราณในร่างกายจนสมบูรณ์พร้อมเท่าที่จะกระทำได้แล้วเขาจึงได้ลืมตาขึ้น ก่อนจะก้าวเท้าไปเพื่อประจันหน้ากับสองเทพมารระดับสูงและกองกำลังของศัตรูที่อยู่เื้ัที่กำลังพุ่งทะยานมาด้วยความเร็วยิ่ง
อัญเชิญเขตแดนเทพสังหาร!!!
อัญเชิญเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์!!!!
สิ้นเสียงเรียกขานอัญเชิญเขตแดนทั้งสอง กลิ่นอายของพลังปราณราชทินนามเทพยุทธ์ขั้นต้นอันเป็ขุมพลังระดับต้นกำเนิดได้ะเิออกมาอย่างท่วมท้นอหังการยิ่ง การปลดปล่อยพลังนี้ะเืฟ้าะเืดินที่รุนแรงออกไปทุกทิศทางโดยรอบ เสาแสงสีขาวพิสุทธิ์อันเกิดจากปราณทิวาธาตุนั้นได้อาบย้อมเหนือท้องฟ้าดูดกลืนพลังความมืดมิดด้วยความเร็วที่มองเห็นด้วยตาเปล่าก่อนที่กองกำลังทั้งสองจะเข้าฟาดฟันในศึกครั้งสุดท้ายนี้อย่างเต็มกำลัง...
