ด้วยวิธีประหยัดน้ำมันตะเกียงเช่นนี้ อันซิ่วเอ๋อร์จึงชวนจางเจิ้นอันจับหิ่งห้อยทุกคืนนับแต่นั้นมา กระชังปลาเล็กๆ ที่เขาเคยใช้จึงกลายเป็อุปกรณ์ใส่หิ่งห้อยจำเป็ไปโดยปริยาย เมื่อจับหิ่งห้อยได้มากพอ ในยามค่ำคืนก็สามารถประหยัดค่าน้ำมันตะเกียงไปได้มากโข
จางเจิ้นอันไม่เคยคิดฝันว่าวันหนึ่งตนจะต้องมาจับหิ่งห้อยเพื่อประหยัดเงิน แต่ในเมื่ออันซิ่วเอ๋อร์พอใจ เขาก็เต็มใจตามใจนาง
ทุกค่ำคืน นางนั่งปักผ้า ส่วนเขาก็หาหนังสือมาอ่าน หนังสือเล่มนี้มิใช่ของเขาทั้งหมด หากแต่เป็หนังสือเก่าที่ผู้ใหญ่บ้านคนก่อนเคยซื้อไว้ให้สำนักศึกษาคราวเปิดใหม่ๆ ไม่รู้ว่าเป็หนังสือโบราณั้แ่ยุคสมัยใด จางเจิ้นอันพบมันโดยบังเอิญขณะเข้าไปจัดระเบียบในสำนักศึกษา เขาเจอมันในห้องใต้หลังคาของเรือนหนังสือด้านหลัง เป็หนังสือเต็มหีบที่ส่งกลิ่นอับชื้น
จางเจิ้นอันขนพวกมันออกมา ตากแดดไล่ความชื้นในวันที่อากาศดี แล้วจึงนำไปจัดเรียงไว้ในเรือนหนังสือด้านหลัง นักเรียนคนใดสนใจก็สามารถมาขอยืมไปอ่านได้
แต่ก่อนจะอนุญาตให้ยืม เขาได้เปิดอ่านหนังสือเ่าั้คร่าวๆ เสียก่อน เพราะหนังสือในยุคนี้มีทั้งดีและไม่ดีปะปนกันไป เด็กๆ เหล่านี้ยังเยาว์วัยนัก เขาเกรงว่าในกองหนังสืออาจมีเื่ราวจำพวก 'บันทึกหอรักตะวันตก' ปะปนอยู่ หนังสือประเภทนี้ไม่เหมาะกับเด็กๆ อาจบ่มเพาะความคิดที่ไม่เหมาะสมได้ ดังนั้นจางเจิ้นอันจึงต้องคัดแยกหนังสือที่อาจเป็ภัยเหล่านี้ออกไปก่อน
และเขาก็คัดนิทานรักใคร่พาฝันออกมาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ดูเหมือนว่าผู้ใหญ่บ้านคนก่อนอาจจะไม่รู้หนังสือ หรือไม่ก็ถูกเ้าของร้านหนังสือหลอกเข้าให้ จึงเหมาซื้อหนังสือเหล่านี้กลับมาเสียหมด
เมื่อนักเรียนอ่านไม่ได้ จางเจิ้นอันจึงลองหยิบมาอ่านฆ่าเวลาดูบ้าง แต่พออ่านไปได้แค่สองเล่มก็รู้สึกว่าเนื้อหาช่างเหลวไหลไร้สาระสิ้นดี เขาจึงโยนมันทิ้งไว้ข้างๆ
ไม่ต้องพูดถึงเื่อื่น แค่เื่ 'บันทึกหอรักตะวันตก' คุณหนูสูงศักดิ์จะลอบไปพบกับบัณฑิตยากจนได้อย่างไรกัน? แถมสาวใช้ตัวน้อยยังกล้าเป็แม่สื่อแม่ชักอีก นางไม่กลัวตายหรือไร? ตอนนั้นเขาอ่านไปได้ไม่กี่หน้าก็ขุ่นเคืองจนโยนหนังสือทิ้ง คิดว่าเื่ราวพวกนี้ช่างไร้แก่นสาร แต่ต่อมาไม่รู้ว่าเพราะเบื่อหน่าย หรือนึกอย่างไรขึ้นมา เขาก็หยิบมันกลับมาอ่านอีกจนจบ
อันซิ่วเอ๋อร์ไม่เคยอ่านเื่นี้โดยตรง แต่เคยฟังมาจากกู้หลินหลาง ตอนนั้นนางยังนึกอิจฉาในความรักของชุยอิงอิงและจางเซิง พอเห็นจางเจิ้นอันหัวเสียกับหนังสือเล่มนี้ นางจึงลองหยิบมาอ่านดูบ้าง เื่ราวในหนังสือค่อยๆ ทาบทับกับความทรงจำ นางจึงอดไม่ได้ที่จะถกเถียงเื่นี้กับจางเจิ้นอัน
นางเล่าความรู้สึกที่เคยมีต่อเื่นี้ให้เขาฟัง แต่ยังไม่ทันจบ จางเจิ้นอันก็ยืนกรานว่าในชีวิตจริงไม่มีทางเกิดเื่เช่นนี้ขึ้นได้แน่นอน ทั้งสองจึงเกิดการโต้เถียงกันเล็กน้อย สุดท้ายจบลงด้วยการที่อันซิ่วเอ๋อร์เป็ฝ่ายยอมอ่อนข้อ
แต่นับจากนั้น อันซิ่วเอ๋อร์ก็ไม่เคยแตะต้องนิทานรักพาฝันเหล่านี้อีกเลย นางรู้หนังสือไม่มาก อ่านได้ค่อนข้างลำบาก และอันที่จริงนางก็เพียงแค่ชื่นชมในเื่เล่าเท่านั้น ในความเป็จริง ตัวนางเองก็ไม่ได้เชื่อมั่นในเื่ราวเ่าั้นัก
นางเคยผ่านความฝันเฟื่องเื่ความรักมาแล้ว จึงรู้ดีว่าคนโชคดีในโลกนี้มีน้อยนัก หากมัวแต่คาดหวังความงดงามเช่นนั้น สิ่งที่จะได้รับกลับมาก็มีแต่ความผิดหวังและรวดร้าว แต่กระนั้นนางก็ยังคงแอบหวังอยู่ลึกๆ ว่า ในโลกนี้คงต้องมีผู้โชคดีสักคน ที่ด้วยความบังเอิญนานัปการ จะสามารถก้าวข้ามอุปสรรคและความแตกต่างทั้งปวงไปได้
อย่างไรก็ตาม จางเจิ้นอันยืนกรานเสียงแข็งว่าไม่มีเื่เช่นนั้นจริง ทำให้นางรู้สึกขัดใจอยู่บ้าง ตอนนั้นไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางจึงอดไม่ได้ที่จะโต้เถียงกับเขาไป โชคดีที่ต่อมาเขายอมอ่อนลง และนางก็ยอมรับผิด ทั้งสองจึงไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้งกันใหญ่โต มิเช่นนั้น สถิติไม่เคยทะเลาะกันเลยนับั้แ่แต่งงานมา คงต้องมาพังทลายลงเพราะนิทานเพียงเล่มเดียว
แต่เหตุการณ์นี้ก็ทำให้จางเจิ้นอันขุ่นเคืองใจ เขาจึงเก็บนิทานเ่าั้กลับใส่หีบ นำกลับไปไว้บนห้องใต้หลังคาของสำนักศึกษาตามเดิม ปล่อยให้มันถูกเก็บลืมอยู่บนนั้น
ปัจจุบัน หนังสือที่จางเจิ้นอันกำลังอ่านอยู่คือตำราเกี่ยวกับการเกษตรและการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ชื่อว่า ‘สารานุกรมชาวนาตามฤดูกาล’ หนังสือเล่มนี้ถูกใจจางเจิ้นอันยิ่งนัก เพราะก่อนหน้านี้เขาไม่เคยมีความรู้เื่การทำไร่ไถนาหรือเลี้ยงไหมเลย การได้พบหนังสือเล่มนี้จึงนับว่ามาได้ถูกเวลา อันที่จริง ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่ามีหนังสือประเภทนี้อยู่บนโลก
แต่ในเวลานี้ เขาตั้งใจจะลงหลักปักฐานใช้ชีวิตในชนบทแห่งนี้อย่างจริงจัง การที่เขาอ่านหนังสือเล่มนี้ ก็เพื่อ้าเรียนรู้วิธีการเป็ชาวนาที่ดีอย่างแท้จริง
บางครั้งเขาก็จะพูดคุยกับอันซิ่วเอ๋อร์ สอบถามนางในเื่ต่างๆ เพื่อตรวจสอบว่าสิ่งที่เขียนในหนังสือถูกต้องหรือไม่ ถามไปถามมาหลายครั้งเข้า อันซิ่วเอ๋อร์ก็เริ่มรู้สึกแปลกใจ จึงเอ่ยถาม
"ท่านพี่ ่นี้ท่านอ่านหนังสือไปพลาง ถามข้าเื่ทำไร่ทำนาไปพลาง หรือว่า... นี่จะเป็ตำราการเกษตรหรือเ้าคะ?"
"ใช่แล้ว" จางเจิ้นอันพยักหน้า แต่อันซิ่วเอ๋อร์กลับไม่เชื่อ แอบชำเลืองมองเขาแล้วเอ่ยขณะที่มือยังคงทำงานอยู่
"ท่านพี่ ข้าไม่เชื่อหรอก ใครเขาจะมาเขียนตำราเื่ทำไร่ไถนากัน? พวกเาาวนาน่ะ ทำงานสืบทอดความรู้กันมารุ่นต่อรุ่น ไม่เห็นต้องพึ่งตำราเลยสักนิด แถมพวกบัณฑิตส่วนใหญ่ก็มักจะไว้ตัว พวกเขาไม่เพียงแต่ดูแคลนคนที่ไม่ทำงานทำการ ไม่รู้จักธัญพืชห้าชนิด แต่ตัวพวกเขาเองก็ไม่ได้เข้าใจเื่เกษตรกรรมหรือการเลี้ยงไหมอย่างลึกซึ้งนักหรอก ถึงจะเขียนออกมา ก็คงมีข้อผิดพลาดเต็มไปหมด ต่อให้ไม่ผิดพลาด ชาวบ้านที่รู้หนังสือก็มีน้อยเต็มที แล้วใครจะมาอ่านกันเล่า?"
อันซิ่วเอ๋อร์พูดพลางหัวเราะ มองจางเจิ้นอันด้วยรอยยิ้ม "ท่านพี่ หรือว่าท่านคิดจะเขียนเองหรือ? แต่ตัวท่านเองก็รู้เื่พวกนี้ไม่มากนัก ส่วนข้าก็รู้แค่ครึ่งๆ กลางๆ ท่านอย่าหาเื่สร้างความเดือดร้อนให้ใครเลยนะเ้าคะ"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จางเจิ้นอันก็จนคำพูด กล่าวว่า "ดูสิ เ้าไม่เชื่อข้าอีกแล้ว ข้าจะหลอกเ้าไปทำไม หนังสือในมือข้านี่เป็ตำราการเกษตรจริงๆ เพียงแต่ว่า เดิมทีมันน่าจะเป็เหมือนปฏิทินประจำตระกูลของคหบดีสักคน ใช้บันทึกเื่การเพาะปลูกต่างๆ ของตนเองโดยเฉพาะ ต่อมาไม่รู้ว่าหลุดรอดออกมาได้อย่างไร บางที หนังสือเล่มที่ข้าถืออยู่นี้อาจเป็ฉบับเดียวในโลกก็ได้"
"เช่นนั้นท่านพี่ก็ได้ของดีมาโดยไม่คาดคิดแล้วสิเ้าคะ?" อันซิ่วเอ๋อร์หัวเราะแล้วพูดต่อ
"ใช่แล้ว ข้ารู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้ยอดเยี่ยมมาก ในนี้เขียนไว้ละเอียดถี่ถ้วน รอให้ข้าอ่านจบเล่มเมื่อใด ข้าคงกลายเป็ชาวนาที่เก่งกาจที่สุดในหมู่บ้านชิงสุ่ยแห่งนี้เป็แน่" จางเจิ้นอันกล่าวพลางพลิกหน้าหนังสือต่อไป
"ตอนนี้ท่านพี่ก็เป็บุรุษที่เก่งที่สุดในหมู่บ้านอยู่แล้วนี่เ้าคะ" อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวชมสามีตนเองอย่างไม่อายปาก นางคิดเช่นนั้นจริงๆ นางกล่าวอย่างออดอ้อนว่า "ถ้ารอให้ท่านพี่กลายเป็ชาวนาที่เก่งที่สุดอีกอย่าง ข้าเกรงว่าคนทั้งหมู่บ้านคงต้องแห่มาขอคำชี้แนะจากท่านเป็แน่ ถึงตอนนั้นท่านไม่เพียงต้องสอนนักเรียน แต่ยังต้องสอนชาวนาาุโอีกกลุ่มหนึ่ง ไม่รู้ว่าท่านจะมีสามหัวหกมือพอจะรับมือไหวหรือไม่"
"ฮ่าๆๆ ถึงตอนนั้นข้าก็คงไม่ได้สอนหนังสือแล้วกระมัง รออีกสักพัก พอหมดฤดูใบไม้ร่วงไป คาดว่าคงมีบัณฑิตซิ่วไฉกลับมาหลายคน ถึงตอนนั้น เ้าคิดว่าผู้ใหญ่บ้านจะยังจ้างข้าอยู่หรือ?" จางเจิ้นอันกล่าวพลางหัวเราะ
"ทำไมจะไม่จ้างเล่าเ้าคะ? ท่านเก่งกาจขนาดนี้ หรงเหอบอกว่าเขาฟังท่านสอนรู้เื่ทุกอย่าง ดีกว่าอาจารย์คนก่อนตั้งเยอะ แถมพวกเด็กเกเรในสำนักศึกษาก็ยังถูกท่านปราบจนอยู่หมัด" อันซิ่วเอ๋อร์หยุดมือ มองจางเจิ้นอันอย่างไม่เข้าใจ
"เด็กโง่เอ๊ย เ้ามองโลกง่ายเกินไป" จางเจิ้นอันส่ายหน้า "ข้าไม่มีตำแหน่งซิ่วไฉ เพื่ออนาคตของเด็กๆ ในหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านก็ต้องหาทางให้ข้าออกไปอยู่ดี"
"ไม่มีตำแหน่งซิ่วไฉแล้วอย่างไร? ท่านก็ไม่ได้ด้อยกว่าพวกเขาเสียหน่อย" อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวปกป้องเขาอย่างไม่พอใจ
"แต่ข้าก็ไม่มีตำแหน่งจริงๆ นี่นา แถมพวกบทบัญญัติอะไรนั่น ข้าก็ท่องจำไม่ได้ ข้าเป็แค่ชาวประมง เป็คนหยาบๆ จะเอาอะไรไปเทียบกับพวกเขาได้" จางเจิ้นอันยิ้มบางๆ "และที่สำคัญที่สุดคือ ข้าไม่มีตำแหน่งซิ่วไฉ ก็ไม่สามารถเป็ผู้ค้ำประกันให้นักเรียนเหล่านี้ได้ หากข้าค้ำประกันให้ไม่ได้ พวกเขาก็จะไม่มีสิทธิ์ไปเข้าร่วมการสอบระดับเมือง"
"หา?" ในที่สุดอันซิ่วเอ๋อร์ก็เข้าใจถึงความสำคัญของตำแหน่งซิ่วไฉ นางถอนหายใจแ่เบา กล่าวปลอบใจว่า "ท่านพี่อย่าท้อแท้ไปเลย อย่างไรเสียท่านก็เก่งที่สุดในใจข้าอยู่ดี ไม่ได้ด้อยกว่าพวกซิ่วไฉหน้าไหนเลย ถึงท่านจะไม่ได้สอนหนังสือแล้ว พวกเราก็ยังจับปลาทำไร่ได้นี่นา ดูอย่างพวกซิ่วไฉเ่าั้สิ หากไม่มีพู่กันคู่กาย พวกเขาคงอดตายกันพอดี"
คำปลอบใจนี้แม้จะไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่รสชาติของการมีคนคอยปกป้องเช่นนี้ ก็ทำให้หัวใจของเขารู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด เขากลับรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมาเล็กน้อย และยิ่งตั้งใจว่าจะต้องศึกษาตำรา ‘สารานุกรมชาวนาตามฤดูกาล’ เล่มนี้ให้แตกฉาน
"จริงสิ ท่านพี่ ท่านอ่านตำราเล่มนี้แล้ว ในอนาคตจะผันตัวไปเป็เ้าที่ดินได้หรือไม่เ้าคะ?" อันซิ่วเอ๋อร์เห็นเขาตั้งอกตั้งใจอ่าน ก็เอ่ยถามติดตลก
"ไม่ได้หรอก" จางเจิ้นอันส่ายหน้า
อันซิ่วเอ๋อร์จึงกล่าวว่า "ข้ามีวิธีหนึ่งที่จะทำให้พวกเรากลายเป็เ้าที่ดินได้นะเ้าคะ"
"วิธีอะไร?" จางเจิ้นอันเงยหน้าถาม
"ก็หาเงินให้ได้มากๆ อย่างไรเล่าเ้าคะ ตัวอย่างเช่น เริ่มจากเลี้ยงไก่สักฝูง ให้ไก่ออกไข่ ไข่ฟักเป็ไก่ ไก่โตมาออกไข่ ไข่ฟักเป็ไก่ เลี้ยงไก่ให้ได้มากๆ พอมีเยอะๆ เราก็เอาไปขาย ก็จะมีเงินซื้อที่ดินแล้ว" อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง
จางเจิ้นอันครุ่นคิดอย่างจริงจัง "แต่พวกเราจะหาอาหารที่ไหนมาเลี้ยงไก่มากมายขนาดนั้นกันล่ะ?"
"คนดี ท่านอ่านหนังสือแล้วไม่ได้อะไรเลยหรืออย่างไร ไก่กินแมลงไม่ได้หรือ?"
"อ้อ จริงด้วย"
เห็นจางเจิ้นอันทำท่าเหมือนจะเชื่อจริงๆ อันซิ่วเอ๋อร์ก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง กล่าวว่า "ข้าล้อท่านเล่นน่า จะมีเื่ง่ายดายปานนั้นได้อย่างไร ไก่พวกนั้นต่อให้กินแมลงก็คงโตช้าอยู่ดี อีกอย่าง พวกเราจะไปเป็เ้าที่ดินทำไมกัน ข้ารู้สึกว่าชีวิตแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือการหาเงินสร้างบ้านต่างหาก ท่านว่าอย่างไร?"
"ไม่มีความเห็น ภรรยาข้าช่างคิดการณ์ไกล สามีเช่นข้ามิอาจเทียบได้" จางเจิ้นอันพยักหน้าเห็นด้วย แต่แล้วกลับกล่าวด้วยท่าทีจริงจังว่า "แต่ข้ารู้สึกว่า ตอนนี้พวกเรามีเื่ที่สำคัญกว่านั้นต้องทำ"
"เื่อะไรหรือเ้าคะ?" อันซิ่วเอ๋อร์ถามอย่างสงสัย
ตะเกียงหิ่งห้อยข้างโต๊ะส่องแสงริบหรี่ลงเรื่อยๆ จางเจิ้นอันวางหนังสือในมือลง ยืดตัวขึ้น เก็บงานปักผ้าและอุปกรณ์ต่างๆ ในมือของอันซิ่วเอ๋อร์ใส่ลงในตะกร้า ก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบข้างหูนางว่า "ข้ารู้สึกว่า พวกเราควรจะเร่งสร้างเด็กๆ ขึ้นมาสักฝูงหนึ่ง ให้พวกเขามาช่วยเ้าเลี้ยงไก่ แบบนี้เ้าก็ไม่ต้องเหนื่อยเลย แค่นั่งเฉยๆ ก็กลายเป็ฮูหยินเ้าที่ดินแล้ว"
"คนทะลึ่ง!" อันซิ่วเอ๋อร์ค้อนให้เขาเบาๆ
"ข้าว่านี่เป็เื่เข้าท่าที่สุดแล้วนะ การสืบทอดวงศ์ตระกูล ไม่ใช่เื่สำคัญหรอกหรือ?"
จางเจิ้นอันเริ่มยกเหตุผลมาอ้าง เมื่อเห็นนางยังคงอ้อยอิ่งจัดของในตะกร้า เขาก็เอื้อมมือไปรวบของในมือนางวางลงบนโต๊ะ แล้วโอบเอวนางไว้ ร่างนุ่มนิ่มก็เอนซบลงมาในอ้อมแขนเขา
"ท่าน..." เสียงต่อว่าแ่เบายังไม่ทันหลุดพ้นจากริมฝีปากก็ถูกกลืนหายไปในลำคอ ท่ามกลางการคลอเคลียนั้น แสงริบหรี่จากหิ่งห้อยก็ดับวูบลงโดยสิ้นเชิง
ม่านราตรีถูกปิดลง ปกปิดฉากรักอันอ่อนหวานไว้เื้ั...
