กู่เทียนยังคงอยู่ที่เมืองไผ่ขาวหลังจากการแข่งขันสิ้นสุดลง เนื่องจากเขาจำเป็ต้องเตรียมการเกี่ยวกับอาณาจักรลับระดับจักรพรรดิ ส่วนคนอื่นๆ ครอบครัวของเขา รวมถึงพรรคพวกและผู้ติดตามของเขา ต่างเดินทางกลับไปยังเมืองแห่งสายฝนกันหมดแล้ว
เื่สุขภาพของคุณย่าของเขาไม่ใช่สิ่งที่กู่เทียนต้องกังวลเลยแม้แต่น้อย เพราะแม่ของเขา กวงเยว่ เป็ผู้ดูแลเื่นี้ด้วยตัวเอง เธอเป็คนที่มีความสามารถรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็ด้านการต่อสู้ ศาสตร์การรักษา หรือศาสตร์แขนงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และนั่นเป็เหตุผลที่กู่เทียนสามารถมุ่งหน้าสู่เป้าหมายของตัวเองโดยไม่ต้องห่วงอะไร
หลังจากการแข่งขันสิ้นสุดลง กู่เทียนไม่ได้ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เขาเริ่มดำเนินแผนการและ เข้ายึดครองตระกูลเมิ่ง ได้อย่างง่ายดาย ที่จริงแล้ว ตระกูลเมิ่งไม่ได้มีอำนาจที่แข็งแกร่งเทียบเท่าตระกูลชั้นสูงอื่นๆ สิ่งที่ทำให้ตระกูลนี้ยืนหยัดอยู่ได้นานก็เป็เพราะพวกเขามีบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งจำนวนมาก แต่ว่าพวกเขาขาดแคลนทรัพยากร ดังนั้นสมาชิกในตระกูลก็ล้วน้าทรัพยากรทุกคน นี่คือจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้กู่เทียนสามารถควบคุมพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
เขาเลือกใช้ทรัพยากรมากมายติดสินบน การใช้พิษ การเจรจาต่อรอง ข่มขู่ และการบังคับต่างๆ เพื่อรวบรวมอำนาจเข้าสู่มือของตัวเอง เขาสามารถควบคุมสมาชิกของตระกูลเมิ่งได้มากกว่า 60% ของตระกูล ดังนั้นมันเลยส่งผลให้กู่เทียนสามารถให้พวกเขาวางยาพิษ ให้กับคนในตระกูลเมิ่ง คนอื่นๆ ได้หรือแม้กระทั่งบรรพบุรุษ โดยกู่เทียนใช้วิธีส่งพิษในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็การผสมลงในอาหารและเครื่องดื่ม ปล่อยให้ล่องลอยไปในอากาศ หรือแม้แต่ใช้วิธีการที่ซับซ้อนกว่านั้น ซึ่งรวมแล้วมีถึง 128 วิธี ที่ทำให้พิษเข้าสู่ร่างกายของเป้าหมายได้
พิษที่กู่เทียนใช้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แม้จะได้รับเข้าไปในปริมาณน้อย แต่ก็สามารถทำให้ร่างกายของเป้าหมายเข้าสู่ภาวะไร้การควบคุมได้โดยสมบูรณ์ และแทบจะเป็ไปไม่ได้เลยที่ใครจะตรวจจับได้ หากไม่ได้เป็สัตว์อสูรระดับจักรพรรดิที่มีภูมิคุ้มกันพิษระดับสูง
หลังจากยึดครองตระกูลเมิ่งและรักษาคนอื่นๆ แล้วมันเลยส่งผลให้ตอนนี้ กู่เทียนมีกองกำลังที่แข็งแกร่งมากพอ เทียบได้กับห้าตระกูลศักดิ์สิทธิ์รวมกัน ในแง่ของปริมาณและอำนาจการปกครอง หากเปรียบเทียบกับตระกูลจักรพรรดิที่แข็งแกร่งที่สุดอย่าง ตระกูลโอวหยาง กองกำลังของเขาอาจไม่ด้อยกว่าด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม กู่เทียนยังคงมีข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลโอวหยางไม่มากนัก แม้ว่าจะมีสายลับแทรกซึมอยู่ภายในตระกูลโอวหยางกว่า 10 คน แต่พวกเขาล้วนอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สูงนัก กู่เทียนเคยพยายามใช้ สัญญาเื เพื่อบังคับพวกเขาให้ภักดีต่อเขา แต่แผนกลับล้มเหลวอย่างรวดเร็ว เขาเองเกือบเอาชีวิตไม่รอดในครั้งนั้น ทำให้เขารู้ว่าตระกูลโอวหยาง มีวิธีการตรวจจับสายลับที่มีประสิทธิภาพสูงมาก
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดเื่เหล่านี้อยู่ หลินหยุนเทียน ก็เดินเข้ามาภายในคฤหาสน์ของตระกูลเมิ่ง ด้านหลังของเขาคือ กวงลี่เหมย รวมถึง กวงเสวี่ยอี้ และ ไป๋เสวี่ยหลาน พวกเขาทั้งหมดต่างมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเคร่งขรึม
กู่เทียนนั่งอยู่บน ที่นั่งของหัวหน้าตระกูล โดยมีเก้าอี้เรียงรายอยู่ด้านล่าง 10 ตัว ในจำนวนนั้น 6 ตัวถูกนั่งโดยบรรพบุรุษของตระกูลเมิ่ง อีก 2 ตัวถูกจับจองโดยบุคคลปริศนาในชุดคลุมดำที่ปกปิดออร่าของตนเองอย่างแนบสนิท เหลือเพียง 2 ที่นั่งว่าง ซึ่งจัดเตรียมไว้สำหรับ หลินหยุนเทียน และ กวงลี่เหมย
กวงเสวี่ยอี้มองไปที่บุรุษซึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งของหัวหน้าตระกูล ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสับสน และร่างกายของเธอถึงกับชะงักไปเล็กน้อย เธอเหมือนจะเคยเห็นชายคนนี้จากที่ไหนมาก่อน
บรรยากาศในห้องโถงเต็มไปด้วยแรงกดดัน ทุกสายตาจับจ้องไปที่กู่เทียน เขายกแก้ว น้ำส้มปั่น ขึ้นมาจิบอย่างสบายใจ ก่อนจะใช้มืออีกข้างพลิกหน้าหนังสือที่อ่านอยู่ แต่เมื่อเห็นว่าทุกคนเดินทางมาถึงพร้อมกันแล้ว กู่เทียนก็ปิดหนังสือ วางมันลงบนโต๊ะ และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"เอาล่ะ งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า"
กู่เทียนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น น้ำเสียงของเขายังคงเรียบเฉย แต่แฝงไปด้วยแรงกดดันที่มองไม่เห็น
“คุณป้า คนของคุณเชื่อใจได้อย่างนั้นเหรอ? ถ้าความลับในวันนี้หลุดออกไป หัวของเราหลุดหมดเลยนะ และที่สำคัญ... ลูกของป้าเองก็อยู่ในกองกำลังหนูท่ออย่างมหาวิทยาลัยเทพ์ด้วยนี่”
กวงลี่เหมยยิ้มเล็กน้อย เธอไม่ได้แสดงท่าทีหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย เธอเพียงเอ่ยขึ้นเบาๆ
“ฉันก็แค่อยากให้ลูกสาวของฉันเห็นหน้านายไว้ก็เท่านั้น”
สิ้นคำพูดของกวงลี่เหมย นางก็สะบัดมือส่งสัญญาณให้ ไป๋เสวี่ยหลาน และ กวงเสวี่ยอี้ ออกจากห้องทันที
ทว่า... ก่อนที่ทั้งสองจะก้าวออกจากห้อง กู่เทียนก็สะบัดมือเล็กน้อย ร่างของทั้งสองชะงักกลางอากาศ ถูกควบคุมโดยพลังบางอย่างที่มองไม่เห็น กู่เทียนเหลือบตามองกวงลี่เหมยเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น น้ำเสียงของเขาหนักแน่นขึ้น
“ลบความทรงจำพวกเธอซะคุณป้า เลิกทำตัวไร้สมองได้แล้ว”
เมื่อกล่าวจบ พลังของกู่เทียนแผ่ขยายออกมาอย่างรุนแรงจนบรรยากาศโดยรอบหนักอึ้งไปหมด เขาเหวี่ยงมือเบาๆ ทำให้ไป๋เสวี่ยหลานและกวงเสวี่ยอี้ลอยกลับมาอยู่ตรงหน้าเขา
กวงลี่เหมยตกอยู่ในความเงียบ เธอไม่ได้ติดต่อกับกู่เทียนเลยตลอดสองเดือนที่ผ่านมา แต่เพียงแค่เวลาสั้นๆ นี้ เด็กคนนี้กลับแข็งแกร่งขึ้นจนแตะระดับจักรพรรดิแล้ว! ไม่เพียงเท่านั้น ออร่าของเขายังทรงพลังเป็อย่างมาก ตามการคาดการณ์ของเธอ ระดับพลังของกู่เทียนอาจจะอยู่ในขั้นจักรพรรดิระดับสูงสุดแล้วแน่นอน
“เป็ไปไม่ได้…” เธอพึมพำในใจ
ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ว่ากู่เทียนเอาทรัพยากรทั้งหมดของมหาวิทยาลัยจักรพรรดิสัตว์ร้ายไป แต่ถึงอย่างนั้น พลังของเขาก็ไม่ควรเพิ่มขึ้นเร็วขนาดนี้ ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ตาม มันเกินกว่าขีดจำกัดของสิ่งมีชีวิตปกติไปมาก
เมื่อกระบวนการลบความทรงจำเสร็จสิ้น กู่เทียนก็ส่งไป๋เสวี่ยหลานและกวงเสวี่ยอี้กลับไปหากวงลี่เหมย ขณะนั้นเอง พลังของจักรพรรดิระดับสูงสุดทั้งเก้าแห่งก็พุ่งมาที่กวงลี่เหมย พลังที่รุนแรงและเย็นเฉียบนี้ราวกับพร้อมจะสังหารเธอทันทีหากเธอทำอะไรที่ไม่ควรทำ
แต่กู่เทียนกลับเพียงแค่ยิ้มบางๆ
“ใจเย็นๆ กันก่อนนะทุกคน มันก็แค่ข้อผิดพลาดทางการสื่อสารนิดหน่อย แต่ถ้ามีครั้งหน้า...” กู่เทียนหยุดเว้น่ไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มกว้างขึ้นอย่างเ็า “ก็อาจจะมีการลงโทษกันนิดหน่อย ขำๆ เนอะ”
คำพูดที่ฟังดูราวกับล้อเล่นนี้กลับแฝงไปด้วยความน่าสะพรึงกลัวที่ทำให้บรรยากาศในห้องเงียบกริบ ทุกคนแทบไม่กล้าหายใจแม้แต่นิดเดียว
จากนั้นกู่เทียนสะบัดมือเบาๆ สร้างม่านพลังขึ้นมาหลายชั้น ปิดกั้นห้องทั้งหมดไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกไป ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“เอาล่ะ... เรามาวางแผนกันเถอะ สำหรับอาณาจักรลับระดับจักรพรรดิที่กำลังจะเปิดออก มีใครพอจะบอกฉันได้ไหมว่าพวก 13 ตระกูลตกลงกันยังไงในการเข้าร่วมอาณาจักรลับในครั้งนี้?”
บรรพบุรุษของตระกูลเมิ่งก้าวออกมาเล็กน้อยก่อนจะโค้งคำนับและกล่าวด้วยความนอบน้อม
“ทั้ง 13 ตระกูล ตัดสินใจกันว่าจะเข้าไปสำรวจทีละตระกูล โดยลำดับการเข้าไปจะถูกกำหนดจาก การแข่งขันของมหาวิทยาลัยต่างๆ ตระกูลที่ได้อันดับหนึ่งจะเป็กลุ่มแรกที่เข้าไปในอาณาจักรลับก่อน 1 ชั่วโมง หลังจากนั้น ตระกูลที่ได้อันดับสองจึงจะตามเข้าไป และกระบวนการนี้จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ”
กู่เทียนพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถามต่อ
“จำนวนคนที่เข้าไปสูงสุดต่อตระกูลล่ะ?”
“ตระกูลอันดับหนึ่งสามารถส่งคนเข้าไปได้ 15 คน อันดับที่สอง 14 คน อันดับที่สาม 13 คน อันดับที่สี่และห้า 12 คน ไล่ลงมาเรื่อยๆ จนถึงอันดับที่สิบสาม ซึ่งจะสามารถส่งคนเข้าไปได้เพียง 7 คน ครับ”
กู่เทียนยิ้มเล็กน้อย คำตอบที่ได้รับตรงกับข้อมูลที่เขาได้จากสายลับของตระกูลต่างๆ แน่นอนว่า เขาไม่มีทางทำตามแผนการที่พวก 13 ตระกูลวางเอาไว้อย่างแน่นอน
จากนั้นเขาสะบัดมืออีกครั้ง ม่านพลังอีกชั้นถูกสร้างขึ้น ส่งผลให้เสียงทุกอย่างภายในห้องหายไป เหลือไว้เพียงความเงียบอันน่าขนลุก
เวลาผ่านไป 10 นาที...
ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างตกอยู่ในความตะลึงงัน สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ทุกคนต่างคิดในใจ
“ใครเป็คนส่งไอ้เวรนี่มาเกิดกัน!? พระเ้าปล่อยให้ปีศาจตัวนี้มาเกิดในโลกนี้ได้ยังไงกัน!?”
ขณะนั้นเอง บรรพบุรุษของตระกูลเมิ่ง 6 คนหันไปมองหน้ากันเล็กน้อย พวกเขาสบตากันอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจ ลุกขึ้นจากที่นั่งและคุกเข่าลงต่อหน้ากู่เทียนพร้อมกันทั้ง 6 คน
พวกเขากล่าวเสียงหนักแน่นด้วยความจริงจัง
“พวกเราขอสาบานด้วยเืว่าจะภักดีต่อนายน้อยกู่ จนกว่าชีวิตจะหาไม่!”
ทันใดนั้นเอง แสงสว่างลึกลับพุ่งตรงเข้าหาพวกเขาทั้ง 6 คน ก่อนที่มันจะซึมลึกเข้าไปในหัวใจของแต่ละคนทันที
กู่เทียนมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะเบาๆ
“ฮิฮิ... ขอบคุณครับ”
กวงลี่เหมยที่เห็นภาพตรงหน้านางกำหมัดแน่น ความคิดบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเธอ
ก่อนที่กู่เทียนจะกล่าวประโยคสุดท้าย “แยกย้ายกันได้”