“ขอเพียงทุกท่านพอใจก็พอ ไม่เช่นนั้นเป้าหมายในการเชิญทุกท่านมาในวันนี้ของข้าก็คงไม่บรรลุผล ทุกท่านคงจะคาดเดาได้แล้ว ก่อนหน้านี้ที่ข้าพูดถึงอาหารแปลกใหม่ ก็หมายถึงอาหารหลากหลายชนิดที่ยกมาให้พวกท่านชิมเมื่อครู่นี้ ไม่นับว่าเป็อาหารเลิศรสอะไร แต่มีดีที่ความแปลกใหม่ ทั้งยังเข้ากับการนำไปประกอบอาหารทุกประเภท ไม่ว่ากินคู่กับอะไรก็ไม่ลดทอนรสชาติ ทั้งเหนียวนุ่มเรียบลื่น อาหารพวกนี้หากขายออกไป จะต้องดึงดูดแขกให้เข้ามาจนโรงเตี๊ยมแทบแตกแน่นอน ถึงตอนนั้นเกรงว่าทุกคนคงได้นับเงินกันจนปวดมือ”
วาทศิลป์ระดับนี้แน่นอนว่าใครฟังย่อมชอบใจ
อีกอย่าง อาหารที่ได้ลิ้มรสไปเมื่อครู่ก็อร่อยมากจริงๆ จึงเริ่มมีคนเอ่ยหยั่งเชิงว่า “แม่นางลู่ ขอพูดตามตรง สิ่งที่เรียกว่า...เอ่อ...”
“เฟิ่นเถียว”
เสี่ยวหมี่เห็นว่าเขาเอ่ยอย่างยากลำบากจึงยิ้มแย้มเอ่ยออกไป คนผู้นั้นหัวเราะฮ่าฮ่าตบศีรษะตัวเอง “ใช่ ดูสมองข้าสิ คือเ้าสิ่งที่เรียกว่าเฟิ่นเถียวนี่อร่อยมากอยู่ก็จริง แต่หากข้าซื้อกลับไปแล้ว พ่อครัวที่ร้านคงเอาไปทำไม่เป็หรอกขอรับ”
คนข้างๆ เขาก็เอ่ยขึ้นเช่นกันว่า “ในเมื่ออาหารพวกนี้ไม่เคยถูกพบเห็นในต้าหยวนมาก่อน ย่อมมีราคา หากว่าพ่อครัวจัดการไม่เป็ ก็จะเป็การเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์แล้ว”
เสี่ยวหมี่เตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว นางหยิบกระดาษปึกหนามาจากถาดในมือของสาวใช้ข้างกาย ก่อนจะใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “เถ้าแก่ทุกท่านไม่ต้องกังวลไป อาหารเลิศรสที่ได้ลิ้มรสไปก่อนหน้านี้ รวมถึงสูตรอาหารจานอื่นที่ไม่ได้ยกขึ้นโต๊ะในวันนี้ ข้าได้คัดลอกไว้หมดแล้ว ขอแค่พ่อครัวของพวกท่านไม่เขลาจนเกินไป ลองเรียนรู้สักสองสามครั้งก็คงพอทำได้”
“ได้ ได้” ทุกคนมีสีหน้ายินดีทันที ที่ร้านของพวกเขาแต่ละคนล้วนมีอาหารขึ้นชื่อเป็ของตัวเอง แน่นอนว่าสูตรการทำล้วนเป็ความลับ ไม่เหมือนกับเฟิ่นเถียวนี่
แต่ระวังไว้ก่อนย่อมดีกว่า จึงมีคนถามขึ้นมาว่า “ขอถามแม่นางลู่ อาหารที่ขึ้นโต๊ะมาเมื่อครู่ ใช้เฟิ่นเถียวไปในปริมาณเท่าใดหรือ?”
“ไม่มากเ้าค่ะ” เสี่ยวหมี่เองก็ไม่ปิดบัง กล่าวตามจริงว่า “ใช้ไปแค่ประมาณครึ่งจินกับอีกนิดหน่อยเท่านั้น โรงทำแป้งสกุลลู่จะขายแป้งเฟิ่นเถียวนี้ออกไปในราคาหนึ่งตำลึงต่อหนึ่งจินเท่านั้นเ้าค่ะ รวมถึงแป้งทอดกรอบก็จะขายออกไปในราคาเท่ากันด้วย”
เถ้าแก่ทุกคนต่างเป็พ่อค้ามานานปี พวกเขาขบคิดในสมองอย่างรวดเร็ว
แป้งทอดกรอบบวกแป้งเฟิ่นเถียว ราคาต่อจินไม่แพงเลย ต่อให้ซื้อพวกเนื้อสัตว์ซึ่งเป็วัตถุดิบอื่นๆ แล้ว ทั้งเนื้อกุ้ง เนื้อไก่ เนื้อหมูก็คงไม่เกินสี่ตำลึง แต่เมื่อทำออกมาขาย ต่อให้เรียกราคาถึงแปดตำลึงหรือสิบตำลึงก็คงมีลูกค้ามารุมล้อมมากมาย
“ข้าขอสั่งแป้งเฟิ่นเถียวยี่สิบจิน แป้งทอดกรอบสิบจิน”
“ข้าเอาอย่างละยี่สิบจิน”
เถ้าแก่ร้านขายน้ำมันและเสบียงอาหารเป็ชายร่างอ้วนคนหนึ่ง เขายิ้มน้อยๆ แต่เมื่อเอ่ยปากออกมากลับทำให้ทุกคนตกตะลึง
“ข้าเอาอย่างละร้อยจิน”
เสี่ยวหมี่เองก็แปลกใจ อย่างไรเสียนี่ก็เป็วัตถุดิบที่แปลกใหม่ ยังไม่รู้ว่าจะได้รับการตอบรับอย่างไรจากชาวบ้าน ไม่มีใครกล้ารับประกันได้ แต่เถ้าแก่ร่างอ้วนคนนี้กลับกล้าซื้อทีเดียวถึงสองร้อยจิน เงินสองร้อยตำลึงไม่ใช่น้อยๆ
หรือเขาคิดจะขายออกไปที่อื่น หรือไม่ก็กระจายสินค้าไปตามร้านสาขาย่อยในเครือ
เสี่ยวหมี่คิดอยู่ในใจแต่กลับไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา ราคาแป้งหนึ่งตำลึงต่อหนึ่งจินนั้น นางกับเฝิงเจี่ยนเป็คนช่วยกันคิด เป็ราคาที่ตัดต้นทุนออกไปแล้วยังได้กำไรส่วนต่างมากพอตัว
พวกเขาไม่สนใจว่าผู้อื่นซื้อไปแล้วจะเอาไปขายต่อในราคาเท่าไร
“ได้ ขอบคุณเถ้าแก่ทุกท่านที่ให้ความสำคัญ ข้าจะมอบสูตรอาหารให้พวกท่านไปด้วย”
“ดีเลย ดียิ่งนัก”
ทุกคนกินดื่มอิ่มแล้วจึงตกลงวันที่จะมารับของที่สกุลเฉิน จากนั้นก็ถือสูตรอาหารทยอยกันลากลับ
อย่างไรเสียงานสำคัญอันดับแรกในตอนนี้คือ ให้ห้องครัวของพวกเขาเรียนรู้วิธีทำอาหารพวกนี้ให้ได้ก่อนที่จะทำขายจริง
คนในหมู่บ้านเขาหมีเหน็ดเหนื่อยกับงานมาตลอดทั้งวัน ทั้งเด็กทั้งแก่ทั้งชายหนุ่มและหญิงสาว พวกผู้หญิงต้องดูแลเื่อาหารการกินเสื้อผ้าอาภรณ์ของคนในบ้าน บางคนก็แบ่งไปทำงานที่โรงทำแป้ง พวกผู้ชายบางคนขึ้นเขาไปล่าสัตว์ บางส่วนไปต่อเติมห้องเรือนกระจก บางส่วนเมื่อว่างแล้วก็เดินทางไปช่วยตีท่อเหล็กและแผ่นเหล็ก พวกคนมีอายุหน่อยแยกย้ายกันไปสะสมฟืนและตัดหญ้าไปเลี้ยงกวาง ส่วนพวกเด็กๆ ก็ยุ่งอยู่กับการไปขุดหน้าดินกลับมา
ทุกคนเหนื่อยจนเหงื่อโซมกายแต่ต่างรู้สึกมีชีวิตชีวากันยิ่งนัก อย่างไรเสียหนทางข้างหน้าก็เหมือนมีเส้นทางที่ปูด้วยทองคำรอรับพวกเขาอยู่
วันนี้เสี่ยวหมี่เข้าเมืองไปเจรจาเื่ขายแป้งที่พวกผู้หญิงช่วยกันทำอยู่ในโรงทำแป้ง พวกนางจึงตั้งตารอกันมาก อย่างแรกเพราะเกี่ยวพันถึงผลตอบแทนที่พวกนางจะได้รับ อีกอย่างก็เพราะก่อนหน้านี้สกุลลู่ได้แบ่งต้นอ่อนข้าวโพดมาให้ครอบครัวของพวกเขา ส่วนสกุลลู่เปลี่ยนไปปลูกมันฝรั่ง หากว่าขายไม่ออก พวกชาวบ้านที่จิตใจดีงามก็คงไม่แคล้วรู้สึกผิด
พวกเด็กๆ ส่วนหนึ่งจึงถูกเกณฑ์ให้ไปเฝ้าอยู่ที่ตีนเขาเพื่อรอส่งข่าว
ยามนี้อากาศหนาวขึ้นมากแล้ว เด็กๆ ไม่ขาดแคลนอาภรณ์อุ่นหนาเหมือนปีก่อน อีกทั้ง่นี้ยังได้รับการสั่งสอนอย่างดีจากบิดาลู่จึงไม่มีใครยืนน้ำมูกไหลน้ำลายยืดอีกต่อไป
แต่เด็กๆ ล้วนซุกซนเป็เื่ธรรมดา พวกเขาแยกกันไปหาฟืนมาก่อไฟแล้วแอบขโมยมันฝรั่งที่เก็บไว้มาเผากิน
ไม่รู้พี่รองลู่โผล่มาจากไหน เห็นเช่นนี้ก็วิ่งเข้าไปเตะก้นเด็กน้อยคนละที ยิ้มแล้วเอ่ยดุว่า “จะกินมันฝรั่งก็เอากลับไปเผากินที่บ้าน มาจุดไฟที่นี่หากว่าไฟลามไปถึงคลังเก็บมันฝรั่งขึ้นมา พวกเ้าก็รอถูกดุได้เลย”
พวกเด็กๆ กลับไม่เกรงกลัวเขาแม้แต่น้อย พวกเขาเล่นสนุกยื้อยุดฉุดกระชากกัน เพียงไม่นานเสี่ยวหมี่ก็นั่งรถม้ากลับมา
พวกเด็กๆ รีบเสแสร้งทำหน้าตาน่าสงสารวิ่งไปห้อมล้อมทันที รีบฟ้องว่า “พี่เสี่ยวหมี่ พี่รองรังแกพวกเรา”
“ใช่แล้ว พี่รองเตะก้นพวกเรา”
เสี่ยวหมี่จะไม่รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของพวกเขาได้อย่างไร นางหันตัวกลับไปหยิบขนมน้ำตาลโรยงาออกมา ส่งให้ซูอีที่เป็คนขับรถม้าหนึ่งชิ้น ที่เหลือก็แจกจ่ายให้พวกเด็กๆ ทั้งหมด
“พี่รองหวังดีกับพวกเ้า พวกเ้าก็อย่าโวยวายไป แบ่งขนมน้ำตาลกันเสียแล้วกลับขึ้นเขาไปได้แล้ว ไปบอกมารดาพวกเ้าว่าไม่ต้องกังวล แป้งพวกนั้นขายออกแล้ว วันพรุ่งนี้ตอนค่ำจะจ่ายค่าแรง”
“เข้าใจแล้ว พี่เสี่ยวหมี่ดีที่สุดเลย”
พวกเด็กๆ ร้องะโออกมาอย่างดีใจ แต่ไม่มีใครแย่งกัน เด็กที่โตที่สุดในกลุ่มยื่นมือออกมารับขนมน้ำตาลไปแล้วแบ่งให้ทุกคนคนละชิ้นอย่างยุติธรรม ชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่ยกให้เด็กน้อยตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม
เสร็จแล้วพวกเด็กๆ ก็พากันวิ่งกลับขึ้นเขาไป
พี่รองลู่ลูบหลังศีรษะเบาๆ เขาะโขึ้นรถม้าแล้วแย่งขนมน้ำตาลครึ่งก้อนไปจากซูอีที่ส่งยิ้มมาให้อย่างโง่งม แล้วโยนเข้าปากตัวเอง ทำเอาซูอีโมโหจนตวัดแส้อย่างแรง
เสี่ยวหมี่หัวเราะขำ แต่ในใจกลับรู้สึกเบาสบายมากขึ้น อย่างไรเสียั้แ่เื่เสี่ยวเอ๋อ ถึงแม้นางจะทำเพื่อครอบครัวแต่ก็เป็การกระทำที่เห็นแก่ตัว การจากไปของเสี่ยวเอ๋อส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อพี่รอง นางจึงรู้สึกผิดต่อพี่รองไปด้วย
ตอนนี้ดูแล้วเหมือนเื่ราวจะสงบลงมาก หวังว่าทางเสี่ยวเอ๋อจะราบรื่น สามารถแก้แค้นแทนครอบครัวได้ แน่นอนว่าสำคัญที่สุดก็คืออย่าทำให้คนในหมู่บ้านเขาหมีต้องลำบากไปด้วย
อย่างไรเสีย ถึงแม้ตอนนี้พวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่ก็ยังมีรากฐานไม่มั่นคงนัก เื่ของตู้โหย่วไฉคราวก่อน เขาที่มีตำแหน่งเป็แค่หลานชายของที่ปรึกษาคนหนึ่ง ยังทำให้คนในหมู่บ้านเขาหมีลำบากกันจนเกือบจะต้องย้ายถิ่นที่อยู่อาศัย
หากไม่ใช่ว่าพวกเฝิงเจี่ยนรีบกลับมาทันท่วงที ตอนนี้สถานการณ์จะเป็อย่างไรก็ยังไม่รู้
คิดได้ดังนี้ จู่ๆ เสี่ยวหมี่ก็คิดถึงเฝิงเจี่ยนเป็อย่างมาก
อาจเพราะความคิดถึงสื่อถึงกัน เมื่อรถม้าขับมาถึงเรือนสกุลลู่ ก็เห็นว่าเฝิงเจี่ยนยืนเอามือไพล่หลังอยู่ใต้ต้นไม้กลางลานบ้าน
พระอาทิตย์ทางทิศตะวันตกส่องแสงสีส้มอ่อนทำให้ภาพนั้นแลดูอ่อนโยนอย่างยิ่ง
เสี่ยวหมี่ะโลงจากรถม้าอย่างร่าเริง ยิ้มแย้มเดินเข้าไปหาเขา “พี่ใหญ่เฝิง ท่านเดาได้อย่างไรว่าข้าจะกลับมาในเวลานี้? ข้าจะเล่าให้ฟัง วันนี้น่ะ...”
แม่นางน้อยสดใสร่าเริงราวกับภูติตัวน้อย เสียงของนางกังวานเสนาะหู รอยยิ้มแจ่มใส ต่อให้จิตใจจะหนักแน่นแค่ไหน ขอแค่ได้เห็นนางวิ่งวนอยู่รอบกาย ก็จะรู้สึกสดชื่นและสุขใจขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
ใครก็อยากจะโอบนางเข้ามาไว้ในอ้อมแขนปกป้องนางเอาไว้เช่นนั้น เพื่อรักษาความสดใสนี้ไว้ตลอดไป...
เฝิงเจี่ยนกลืนประโยคบอกเล่าที่เตรียมจะพูดนับครั้งไม่ถ้วนกลับไป เขายิ้มน้อยๆ พาเสี่ยวหมี่เข้าไปในเรือน “ขายได้ทั้งหมดเท่าไร?”
“ห้าร้อยจิน ห้าร้อยจินเชียวนะ”
เสี่ยวหมี่กางมือขาวน้อยๆ ของนางออกมาตรงหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความได้ใจ ดวงตาของนางวาววับมองเฝิงเจี่ยนราวกับหมาน้อยกำลังออดอ้อนเ้านาย
เฝิงเจี่ยนยิ้มอย่างเอ็นดู “ดี เริ่มต้นได้ดี”
แล้วเขาก็ได้เห็นเสี่ยวหมี่ยิ้มอย่างเจิดจรัสยิ่งกว่าเดิม ตอนที่กำลังคิดจะพูดอะไรอยู่นั้น พวกเด็กได้กลับบ้านไปรายงานมารดาของตนแล้ว สตรีเ่าั้จึงพากันมาที่เรือนสกุลลู่ะโถามว่า
“เสี่ยวหมี่ แป้งจากไข่ดินพวกนั้นขายออกแล้วหรือ”
“ใช่ๆ ราคาหนึ่งจินหนึ่งตำลึง?”
“แหม คนในเมืองนี่ช่างร่ำรวยจริงๆ แพงขนาดนี้ยังกล้าซื้อ”
สะใภ้น้อยคนหนึ่งตื่นเต้นจนเอ่ยวาจาเสียงดังเกินควรจนถูกแม่สามีตัวเองถองศอกใส่ไปทีหนึ่ง เอ่ยดุยิ้มๆ ว่า “พูดอะไรของเ้า ไม่ดูเสียบ้างว่าใครเป็คนไปเจรจา อีกอย่างของดีขนาดนี้ถ้าไม่ใช่เสี่ยวหมี่คิดค้นออกมาพวกเขาจะไปหาซื้อจากที่ไหนได้อีก”
สะใภ้น้อยคนนั้นตอนแรกทำตุ๊กตาช่วยเสี่ยวหมี่ ตอนหลังก็มาช่วยงานที่โรงทำแป้ง ยามปกติก็เป็กำลังหลักของครอบครัว นางหาเงินได้มากกว่าสามีของตัวเองเสียอีก นางจึงไม่เกรงกลัวแม่สามีแม้แต่น้อย ยังคงหัวเราะเสียงดัง
คนอื่นๆ พากันถามเื่อื่นขึ้นมา “เสี่ยวหมี่ ขายออกไปได้กี่จินหรือ จะต้องรีบเตรียมของหรือไม่ เขาจะมาเอาของเมื่อใด?”
เสี่ยวหมี่ยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “ขายได้ทั้งหมดห้าร้อยจิน เราค่อยจัดการห่อของเตรียมส่งพรุ่งนี้ก็ยังทันเ้าค่ะ และเรายังต้องรอให้คนในเมืองได้ลิ้มลองรสชาติของอาหารชนิดใหม่นี้ก่อน คงอีกนานกว่าจะมีคำสั่งซื้อชุดถัดไป”
“โอ้โห มากขนาดนี้เชียว ดีจริงๆ”
“ไม่ได้นะ หากพรุ่งนี้ตื่นสายจะทำอย่างไร ไม่สู้เราอาศัย่นี้ที่ยังว่างอยู่ไปเตรียมของกันก่อนเถอะ”
“นั่นสิๆ เสี่ยวหมี่รีบเอาใบสั่งของมาเถอะ”
ทุกคนต่างก็ใจร้อน ไม่มีใครอดทนรอไหว แทบจะพุ่งเข้ามาแย่งใบสั่งซื้อไปจากมือเสี่ยวหมี่ แล้วก็ไปลากพวกเด็กๆ ที่อ่านหนังสือออกมาช่วยอ่าน
อย่างไรเสียหากพรุ่งนี้ขายของออกไปแล้ว พวกนางก็จะได้รับเงินค่าจ้าง
เมื่อทุกคนจากไปแล้ว ตอนที่เสี่ยวหมี่หันกลับไปมองหาเฝิงเจี่ยน กลับเห็นว่าเขาเข้าไปนั่งรินชาในเรือนเรียบร้อยแล้ว เขายกแก้วชามาทางเสี่ยวหมี่ แล้วกระดกดื่มหมดในทีเดียว
ใช้ชาแทนสุรา เป็การดื่มเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะในศึกครั้งแรกของนาง