คำว่าบ้านยากจนทำเอากู้เจิงทอดถอนใจ บนโลกนี้มีคนมากมายที่ลำบากกว่านาง คนอย่างนางถือว่ามีโชคดีอย่างมากแล้ว
ที่หน้าประตูจวนกู้เต็มไปด้วยกระดาษสีแดงที่มาจากการจุดประทัด ยามรถม้าตระกูลเสิ่นมาถึง บรรยากาศรอบจวนนั้นเต็มไปด้วยความรื่นเริงของเทศกาลตรุษจีน
ตอนที่กู้เจิงก้าวลงจากรถก็เห็นนายหญิงเว่ยซื่อ ท่านพ่อ น้องรอง น้องสี่และซู่เหนียงต่างมายืนรอต้อนรับนางที่หน้าประตูใหญ่ นางรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งที่ได้การต้อนรับเช่นนี้
ตอนนางย่อกายคารวะ นายหญิงเว่ยซื่อถึงกับเข้ามาประคองนางลุกขึ้น ทั้งยังมาจูงมือนางเข้าไปในบ้านด้วย
กู้เหยาเดินคุยกับหวังซู่เหนียงอย่างสนิทสนม ซึ่งกู้หงหย่งก็ไม่ได้ค้านแม้แต่น้อย ส่วนน้องรองกู้เจิ้งชินก็เป็ดังคาด เขาเกาะติดกับเสิ่นเยี่ยนอยู่ตลอด
กู้เจิงอยากหันไปสบตากับซู่เหนียงสักครา แต่ไม่คิดว่าในสายตาของซู่เหนียงจะไม่มีนางเลย ซู่เหนียงเอาแต่คุยกับกู้เหยาไม่หยุด น้องสี่กับซู่เหนียงมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเช่นนี้ั้แ่เมื่อไหร่กัน?
“เท้าดีขึ้นบ้างไหม?” เว่ยซื่อจูงมือกู้เจิงมาตลอดทาง หากเป็เมื่อก่อนนางคงยังสงวนท่าทีกับบุตรีอนุผู้นี้ไว้บ้าง ทว่าหลังจากเกิดเื่กับบุตรสาวคนเล็กแล้ว ในใจของนางก็ไม่ได้รู้สึกขัดข้องอีกต่อไป
“ทางแค่นี้เอง ไม่เป็ไรหรอกเ้าค่ะ” กู้เจิงตอบตามตรง
“เช่นนั้นก็ดี” เว่ยซื่อลอบมองหวังซู่เหนียงที่อยู่ทางด้านหลัง ตอนนี้พอเห็นหวังซู่เหนียงนางก็ไม่ได้รู้สึกขัดตาอีกแล้ว สิ่งนี้น่าจะเป็เพราะกู้เจิง นางเอ่ยอีกว่า “ขอบคุณเ้าที่ช่วยเหยาเอ๋อร์ไว้”
“ท่านแม่ เหยาเอ๋อร์เป็น้องสาวของข้า ข้าช่วยนางก็ถือเป็สิ่งที่สมควรแล้วเ้าค่ะ”
แววตาของกู้เจิงจริงใจจนเว่ยซื่อรู้สึกชอบ แม้กู้เจิงจะเป็บุตรสาวอนุ แต่ก็นิสัยดีอ่อนโยน ่หลายปีมานี้นั้นได้ถูกหวังซู่เหนียงเลี้ยงดูแบบผิดๆ จนไม่มีใครชอบ เว่ยซื่อเสียใจมากที่ตอนนั้นเด็กดีๆ แบบนี้ตนไม่ได้รับมาสั่งสอนให้ดี
“นายท่าน นายหญิง ตวนอ๋องและพระชายามาถึงจวนแล้วเ้าค่ะ” สาวรับใช้วิ่งเข้ามารายงาน
“อิ๋งเอ๋อร์กลับมาแล้วหรือ?” เว่ยซื่อกับกู้หงหย่งพาทุกคนออกไปต้อนรับ
ตอนนี้เองกู้เจิงถึงได้มีโอกาสคุยกับซู่เหนียง
ซู่เหนียงสวมชุดหรูหราสีสันสดใส ดูแล้วช่างสดใสยิ่งกว่าบุปผาเสียอีก ยังดีที่แต่ไหนแต่ไรมาเว่ยซื่อไม่เคยถือสาการแต่งตัวฉูดฉาดของซู่เหนียง
“ดูสิ ดูผู้ชายดีๆ ที่แม่หาให้เ้า” หวังซู่เหนียงใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดบังรอยยิ้มอันลำพองใจ“่นี้ เ้าไม่รู้หรอกว่าตอนนี้เว่ยซื่อทำดีต่อข้ามากแค่ไหน รอวันหน้าบุตรเขยใหญ่ได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ชีวิตข้าในตระกูลกู้จะต้องดีขึ้นยิ่งกว่านี้อีก”
“เ้าค่ะ ลูกขอบพระคุณซู่เหนียงมากที่หาคู่แต่งงานที่ดีให้” กู้เจิงตอบอย่างจริงใจ ขอแค่ซู่เหนียงมีความสุขก็พอ
“ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณหนูสี่จะคุยถูกปากข้าเช่นนี้ ตอนนี้เรามีเื่ให้คุยกันเยอะแยะไปหมด”
“พวกท่านคุยกันเื่อะไรหรือเ้าคะ?”
“คุยกันหลายเื่มาก” นางยิ้มอย่างเมีเลศนัย “พวกเรายังนินทาเื่แย่ๆ ของนายท่านด้วย”
กู้เจิง “...”
“คารวะตวนอ๋องและพระชายาเพคะ” หวังซู่เหนียงเดินไปคารวะกู้อิ๋งและตวนอ๋อง พร้อมกับยิ้มอย่างประจบประแจง
กู้เจิงเห็นมุมปากของตวนอ๋องกระตุก สายตาของเขามองมาทางนาง
ในเมื่อตวนอ๋องเห็นนางแล้ว กู้เจิงจึงรีบเดินเข้าไปคารวะเขาที่ข้างกายของเสิ่นเยี่ยน
“พี่ใหญ่ไม่ต้องมากพิธี ข้าได้บอกท่านพ่อท่านแม่แล้ว หากวันใดข้ากลับมาบ้าน ท่านก็ไม่จำเป็ต้องทำความเคารพข้าหรอก” กู้อิ๋งได้รับการบอกกล่าวจากมารดาแล้ว นับแต่นี้ไปนางก็จะมองกู้เจิงเป็พี่สาวแท้ๆ เหมือนกัน ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกนางคลี่คลายลงไม่น้อย
“ได้” กู้เจิงตอบรับด้วยรอยยิ้ม
กู้หงหย่งพาทุกคนเข้าไปในบ้าน พวกผู้ชายล้วนนั่งอยู่ในศาลาพูดคุยดื่มชากัน ส่วนพวกผู้หญิงก็ชมดอกไม้อยู่ที่บริเวณสวนทางเดิน
“ข้าเพิ่งจะสังเกตว่า น้องรองกับอาเจิงมีคิ้วและตาที่คล้ายกันมาก” เสิ่นเยี่ยนพูดขึ้น นี่เป็ครั้งแรกที่เสิ่นเยี่ยนเห็นภรรยายิ้มสบายๆ แบบนี้ในบ้านของนางเอง
กู้เจิ้งชินไม่เคยสังเกตเลย เขามองคิ้วของพี่ใหญ่และพิศดูอย่างละเอียด “เป็อย่างที่พี่เขยใหญ่พูดจริงด้วยขอรับ” เขาเอามือปิดครึ่งหน้าส่วนล่างแล้วมองไปทางบิดา “ท่านพ่อ เหมือนไหมขอรับ?”
“เหมือน” กู้หงหย่งพลันเกิดความคิดขึ้นว่า ดูสิว่าครอบครัวของเขาในตอนนี้ดีขนาดไหนกัน
สายตาของจ้าวหยวนเช่อคล้ายกำลังมองกู้อิ๋ง แต่แท้จริงแล้วสายตากลับจับอยู่ที่กู้เจิง ไม่รู้ว่าสตรีคนนี้กำลังยิ้มอะไรอยู่ นางยิ้มได้งดงามปานนี้ แต่กลับไม่เคยยิ้มให้เขาเช่นนี้มาก่อน ตอนที่นางยิ้มให้เขา นางสวมหน้ากากฉาบหน้าไว้มากมาย ต่อให้เป็่เวลาที่สนิทรักใคร่ที่สุด นางก็ไม่เคยเปิดใจให้เขาจริงๆ
สายตาของจ้าวหยวนเช่อลอบมองเสิ่นเยี่ยนด้วยแววตาซับซ้อน
เสิ่นเยี่ยนััได้ถึงสายตาของตวนอ๋อง จึงเอ่ยถามเสียงเรียบ “ท่านอ๋องมีอะไรจะคุยกับกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ในคืนที่พวกนางสามคนได้รับการช่วยเหลือ ฮองเฮาได้ส่งหมัวมัวคนสนิทไปเยี่ยมบุตรสาวของตระกูลหนิงและสอบถามเกี่ยวกับเื่ราวที่เกิดขึ้น หนิงซิ่วหลันได้บอกว่าเื่นี้องค์ชายสามเป็คนออกคำสั่งและอยู่เื้ั แต่เื่นี้ยังเป็การกล่าวหากันลอยๆ และไม่มีหลักฐาน ฮองเฮาจึงไม่ได้แจ้งแก่เสด็จพ่อ เมื่อวานนี้นายหญิงตระกูลฟู่ได้ไปร้องห่มร้องไห้ที่ตำหนักเจียวฝาง ฮองเฮาจึงบอกองค์รัชทายาทว่าเื่นี้ต้องมีคำอธิบาย เ้าคิดว่ายังไง?” จ้าวหยวนเช่อข่มความรู้สึกนึกคิดของตัวเองไว้ อย่างไรเสียก็ยังมีเื่ยุ่งยากต้องจัดการอยู่
“มือสังหารที่ลักพาตัวกู้เจิงกับน้องสี่ไปถูกจับได้แล้ว พวกเขาสารภาพแล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็ฟู่ผิงเซียงที่จ่ายเงินให้พวกเขาไปจับอาเจิง น้องสี่ และหนิงซิ่วหลัน” เสิ่นเยี่ยนดื่มชาในมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย
จ้าวหยวนเช่อตะลึงงัน รีบซ่อนความรู้สึกประหลาดใจไว้อย่างรวดเร็ว “เ้าจับมือสังหารได้ั้แ่เมื่อไหร่กัน?”
“เมื่อคืนพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อคืนงั้นหรือ? เขาตามหามาหลายวันแล้วก็ยังจับใครไม่ได้ ความคิดของจ้าวหยวนเช่อเกิดสับสนขึ้นมา เสิ่นเยี่ยนเพิ่งจับตัวได้เมื่อคืนเลยไม่ทันได้บอกเขาหรือ “เ้าหมายความว่า จะผลักเื่ทั้งหมดนี้ให้ฟู่ผิงเซียงที่ตายไปแล้วงั้นหรือ?”
“เดิมทีฟู่ผิงเซียงก็เป็คนจ้างคนร้ายมาอยู่แล้ว ไยต้องผลักไปให้นางด้วยเล่าพ่ะย่ะค่ะ? นางยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดอีกมิใช่หรือ?” ั์ตาเ็าสบตาตวนอ๋องตรงๆ
จ้าวหยวนเช่อรู้จุดประสงค์ของเสิ่นเยี่ยน “เื่นี้เกี่ยวพันกับหลายคน การจะโค่นล้มองค์ชายสามได้ในคืนเดียวมิใช่เื่ง่าย เราจะต้องมีหลักฐานที่ชัดแจ้ง และต้องโจมตีให้ตรงจุด เอาให้ดิ้นไม่หลุด”
“คนที่อยู่กับฟู่ผิงเซียงไม่ได้มีแค่มือสังหารเท่านั้น แต่ยังมียอดฝีมือสองคนจากตำหนักเสี่ยนอ๋องด้วย คนของกระหม่อมหาพวกเขาเจอแล้ว ตอนนี้คงจะจับพวกเขาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เหตุใดเ้าถึงไม่บอกเื่นี้กับข้าก่อน?”
“ถ้ากระหม่อมบอกไป ก็ไม่แน่ว่าท่านอ๋องจะเห็นด้วย”
“ทั้งๆ ที่รู้ว่าข้าจะไม่เห็นด้วย เ้ายังจะแหวกหญ้าให้งูตื่นอีกหรือ?”
กู้หงหย่งและกู้เจิ้งชินที่ได้ยินเสิ่นเยี่ยนและตวนอ๋องคุยกันอยู่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง สีหน้าของพวกเขาดูราวกับว่าไม่มีอะไร แต่ก็ดูเหมือนจะมีอะไร ในเวลาเดียวกันนั้น กู้หงหย่งรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ตวนอ๋องให้ความสำคัญกับบุตรเขยใหญ่เสมอมา แต่ท่าทางบางอย่างของตวนอ๋องยังแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวที่ยากจะสังเกตเห็น
เขาคงจะคิดมากเกินไปแล้ว
“ท่านอ๋อง เส้นทางการเป็ขุนนางของจ่างหวาย หากแม้แต่สตรีของตนเองยังปกป้องไว้ไม่ได้ ก็มิใช่ว่าเป็คนเอาไม่เอาไหนหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นเยี่ยนพูดอย่างเ็า แต่น้ำเสียงกลับหนักแน่นยิ่งนัก
“นางไม่ได้เป็อะไรมิใช่หรือ? เ้าดูกู้เจิงกับน้องสี่ที่ยืนเป็ปกติดีอยู่ตรงนั้นสิ หากตอนนี้เราจับคนของจวนเสี่ยนอ๋องเอาไว้ ต้องทำให้เสี่ยนอ๋องระวังตัวขึ้นแน่” เสียงของจ้าวหยวนเช่อดังขึ้นเล็กน้อย
“นั่นเป็สิ่งที่ท่านอ๋องและองค์รัชทายาทต้องคิดหาวิธีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นเยี่ยนยังคงยึดมั่นตามเดิม
จ้าวหยวนเช่อหน้าตึงไม่เอ่ยวาจาใดอีก
กู้หงหย่งรีบพูดขึ้น “นี่ก็ใกล้ถึงเวลาทานข้าวกันแล้ว ชินเอ๋อร์ ไปบอกแม่ของเ้า ให้นางเรียกคนรับใช้มาเตรียมอาหาร”
“ขอรับ” กู้เจิ้งชินรีบเดินออกจากศาลาไป ในสมองคิดแต่เื่บทสนทนาระหว่างตวนอ๋องกับพี่เขยใหญ่ เขารู้สึกว่าสิ่งที่พี่เขยใหญ่พูดนั้นมีเหตุผล การต่อสู้ระหว่างบุรุษ หากสตรีต้องมาประสบเคราะห์กรรมไปด้วย ก็ถือว่าไม่เอาไหนเกินไปแล้ว
ณ ห้องโถงใหญ่
กู้เจิงนั่งลงก็ััได้ถึงบรรยากาศอันแปลกประหลาด บางครั้งเมื่อหันไปสบตากับตวนอ๋อง นางก็รู้สึกถึงแววตาเคียดแค้นที่เขาส่งมาให้นางเป็ครั้งคราว
ช่างน่าแปลกยิ่งนัก นางไปล่วงเกินเขาอีกั้แ่เมื่อไหร่กัน? หรือเมื่อครู่เกิดเื่อะไรขึ้น?
เว่ยซื่อกับกู้อิ๋งเองก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง แน่นอนว่าเว่ยซื่อไม่ได้ถามตรงๆ นางทำเพียงแต่พูดคุยยิ้มแย้มอย่างปกติให้บรรยากาศผ่อนคลายลง
“ทานอาหาร ทานอาหาร ทุกคนต้องมีความสุขในวันแรกของปี” กู้หงหย่งหยิบตะเกียบมาคีบอาหารให้ตวนอ๋องกับเสิ่นเยี่ยน
“ท่านอ๋อง กระหม่อมขอคารวะท่านหนึ่งจอก” เสิ่นเยี่ยนยกจอกสุราพร้อมลุกขึ้นคารวะจ้าวหยวนเช่อ แววตาเต็มไปด้วยความอบอุ่น “ขอบพระคุณท่านอ๋องที่ทรงมีพระเมตตาให้กระหม่อมมาโดยตลอดพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของจ้าวหยวนเช่อดีขึ้นเล็กน้อย เขาลุกขึ้นรับจอกสุรา
เมื่อเสิ่นเยี่ยนคารวะสุรา กู้หงหย่งกับกู้เจิ้งชินก็ต้องทำเช่นกัน บรรยากาศจึงดีขึ้นมาก จนสุดท้ายกู้เจิง กู้อิ๋ง และกู้เหยาก็คารวะสุราให้บิดามารดาด้วย นายหญิงเว่ยซื่อรู้ว่ากู้เจิงดื่มสุราไม่ได้ เลยได้เตรียมสุราผลไม้ที่เพิ่งทำขึ้นมาใหม่ให้กู้เจิงอย่างเอาใจใส่
่เวลานั้นจึงเต็มไปด้วยเสียงจอกสุรากระทบกัน