“ทำอะไร?” ครั้นได้ยินว่าจะได้เงิน อวี๋ฮั่นซานลุกขึ้นอย่างกระตือรือร้นพลางเอ่ยถาม
สตรีแซ่จ้าวเห็นเขากระตือรือร้นเช่นนี้ ภายในดวงตาพลันมีประกายวูบผ่าน เอ่ยขึ้นว่า “ข้าเสนอความคิดกับท่านแม่ว่าพวกเราจะทำร้านขายเนื้อ ให้เ้าไปชักจูงพี่รองเข้าร่วม ขอเพียงพี่รองยอมเข้าร่วม จะต้องเอาเงินมาจากมือนังเด็กรนหาที่ตายนั่นได้แน่นอน”
ครั้นสตรีแซ่จ้าวหารือกับอวี๋ฮั่นซานเรียบร้อย อวี๋ฮั่นซานตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ ภายในหัวล้วนคิดเพียงว่าควรจะชักจูงอวี๋เมิ่งซานอย่างไร
เช้าตรู่วันต่อมา สตรีแซ่จ้าวเชิญท่านยายหวังมาดื่มน้ำชาในจวนเพื่อหารือเื่งานหมั้นหมายให้อวี๋จิ่นซู หลังจากสตรีแซ่จางของครอบครัวใหญ่รู้เื่ นางจึงเข้ามานั่งร่วมพูดคุยกับท่านยายหวังในห้องโถงเช่นกัน ท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินเฒ่าคำนึงถึงแค่การหมั้นหมายของอวี๋จิ่นซู ไม่นึกถึงอวี๋จือโจวแม้แต่น้อย นางย่อมต้องเตรียมการเผื่อบุตรชายของตนให้มาก
“ข้าอยากจะเชิญท่านมาที่จวนตั้งนานแล้วเ้าค่ะ ทว่าก่อนหน้านี้วุ่นวายกับการเก็บเกี่ยว ยามนี้เพิ่งจะมีเวลาว่างเ้าค่ะ” สตรีแซ่จ้าวเอ่ยทั้งรอยยิ้มขณะรินน้ำชาให้ท่านยายหวัง นอกจากนั้นยังยกเมล็ดแตงสำหรับทานเล่นและขนมมาอีกสองถาด
สตรีแซ่จางที่นั่งอยู่ด้านข้างเอ่ยวาจาเลื่อยขาเก้าอี้ว่า “น้องสะใภ้สามไม่ได้ลงนาเกี่ยวข้าวเสียด้วยซ้ำ เ้ายุ่งอะไรกัน? ไม่ได้ว่างการว่างงานอยู่ตลอดหรือ” ไม่รอให้สตรีแซ่จ้าวเอ่ยแย้ง นางแย้มยิ้มเอ่ยกับท่านยายหวังว่า “อีกสองวันก็ต้องหว่านข้าวแล้ว ไม่รู้ว่ารบกวนท่านยายหวังหรือไม่? อีกไม่นานจะถึงวันสอบขุนนางระดับเซียงซื่อ ข้าอยากจะหารือเื่หมั้นหมายให้จือโจวก่อนลงสอบ ยังต้องรบกวนท่านยายหวังให้เป็ธุระเ้าค่ะ”
“ไม่รบกวนๆ” ท่านยายหวังหยิบขนมถั่วอัดขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วส่งเข้าปาก หลังสตรีแซ่จ้าวเชิญนางมา ภายในใจของนางก็รู้แล้วว่าจะต้องเป็การหารือเื่คู่หมั้นหมายให้อวี๋จิ่นซูอีกครั้ง นึกไม่ถึงว่ายามนี้สตรีแซ่จางก็คิดจะหารือเื่การหมั้นหมายให้อวี๋จือโจวเช่นกัน
นางแย้มยิ้มเอ่ย “คุณชายทั้งสองในจวนของพวกเ้าล้วนแต่เป็ปัญญาชน หารือเื่การหมั้นหมายได้ง่ายดายยิ่งนัก ท่านหมออวี๋เป็หมอรักษาโรคที่มีชื่อเสียงในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียงของพวกเรา แม่นางที่ได้เข้ามาในจวนของพวกเ้าล้วนแต่เป็ผู้มีวาสนา”
ถึงอย่างไรก็เป็แม่สื่อแม่ชัก คำกล่าวของนางทำเอาใบหน้าของสตรีแซ่จ้าวและสตรีแซ่จางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สตรีแซ่จ้าวรีบเอ่ยว่า “ยังต้องรบกวนท่านยายหวังช่วยมองหาแม่นางในจวนที่ดีให้มากสักหน่อยเ้าค่ะ ท่านก็เคยเห็นจิ่นซูของพวกเราแล้ว ต่อให้ไม่อาจผ่านการสอบขุนนางฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ แต่เขารู้หนังสือ หากภายหน้าจะเป็นายเสมียนก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเ้าค่ะ”
แม่นางสกุลหลิวที่ก่อนหน้านี้ถอนหมั้นกับอวี๋จิ่นซูก็คือคนที่ท่านยายหวังแนะนำให้ เพียงแต่วาจาเช่นนี้ของสตรีแซ่จ้าวทำให้ผู้อื่นขบขันอย่างไม่อาจเลี่ยง ยังไม่ทันเข้าสอบขุนนางระดับเซียงซื่อก็เอ่ยวาจาเช่นนี้ กลับเป็การทำให้ผู้อื่นนึกดูแคลน
ท่านยายหวังไม่เผยสีหน้าใด เอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “เ้ารองของเ้าเป็คนมีความสามารถและคุณธรรม ข้าดูแล้วยังชอบใจ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงแม่นางน้อยเ่าั้”
สตรีแซ่จ้าวได้ฟังถึงกับหัวเราะชอบใจยิ่งกว่าเดิม
สตรีแซ่จางที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นว่า “จือโจวของข้าก็นิสัยดี ถึงแม้จะพูดน้อย แต่ก็เป็คนจิตใจสุขุมหนักแน่นเ้าค่ะ ขอเพียงมีแม่นางแต่งเข้ามา รับรองว่าจะไม่ทำให้นางต้องลำบาก ข้าก็ไม่เื่มาก ขอเพียงเป็แม่นางที่นิสัยใจคอดี ใช้ชีวิตอย่างสงบเป็พอ หวังว่าท่านยายหวังจะช่วยเสาะหาให้มากหน่อยเ้าค่ะ”
ท่านยายหวังยิ้มรับ “แม่นางที่ยังไม่ออกเรือนในหมู่บ้านใกล้เคียงนี้ข้าล้วนแต่คอยจับตาดู มีแม่นางสามสี่สกุลที่อายุมากพอจะออกเรือน สกุลแรกบิดามารดาจากไปเร็ว เติบโตมากับพี่สะใภ้ที่เป็แม่ม่าย ขยันขันแข็งมีความสามารถ เพียงแต่หน้าตาไม่ค่อยงดงามนัก อีกสกุลหนึ่งมารดาในจวนล้มป่วย แม่นางผู้นี้หน้าตาสะสวยทีเดียว เพียงแต่อายุค่อนข้างมาก เป็เพราะต้องคอยดูแลมารดาทำให้การหมั้นหมายล่าช้า หากนับรวมปีนี้ก็ปาเข้าไปสิบเจ็ดเสียแล้ว แม่นางสกุลสุดท้ายมารดาจากไปเร็ว บิดาของนางแต่งภรรยาใหม่ แม่เลี้ยงเป็คนจู้จี้ผู้หนึ่ง เหตุที่ก่อนหน้านี้หมั้นหมายไม่สำเร็จก็เป็เพราะเรียกเงินสินสอดทองหมั้นมากเกินไป ทว่าด้วยสถานการณ์ในครอบครัวของพวกเ้า คาดว่าน่าจะไม่เป็ปัญหาอันใด”
ครั้นได้ฟังท่านยายหวังเอ่ยมามากมายถึงเพียงนี้ สตรีแซ่จ้าวไม่พอใจสักคน เพราะห่างไกลกับแม่นางสกุลหลิวที่เคยหมั้นหมายก่อนหน้านี้ลิบลับ
ทว่าสตรีแซ่จางกลับพอใจทุกนาง เอ่ยพลางแย้มยิ้มว่า “ฟังดูแล้วแม่นางคนแรกเป็คนรู้ความมีความสามารถ แม่นางคนที่สองกตัญญู แม่นางคนที่สามต้องพลอยลำบากเพราะแม่เลี้ยง ไม่ทราบว่าแม่นางไม่กี่คนนี้อยู่ในหมู่บ้านใดหรือเ้าคะ? หากสะดวก ข้าจะไปดูตัวก่อนสักหน่อยเ้าค่ะ”
ท่านยายหวังไปมาหาสู่กับผู้คนอยู่ตลอด ทันทีที่เห็นสีหน้าของสตรีแซ่จ้าวพลันรู้แล้วว่านางไม่พอใจแม่นางไม่กี่สกุลนี้ นางหันไปพูดคุยกับสตรีแซ่จางอย่างสนิทสนม ตกลงกันว่าผ่านไปอีกไม่กี่วันจะหาข้ออ้างพาสตรีแซ่จางไปพบแม่นางเหล่านี้ สตรีแซ่จางจึงส่งท่านยายหวังออกไปจากจวนด้วยความยินดีปรีดา
ครั้นเพิ่งมาถึงหน้าประตูจวนกลับมีรถม้าคันหนึ่งหยุดอยู่หน้าจวนสกุลอวี๋ ผู้ดูแลจวนสกุลจางที่สวมเสื้อผ้าป่านสีน้ำตาลพลันะโลงมา
เขาเคยมาเยือนจวนสกุลอวี๋หลายครั้ง สตรีแซ่จางจดจำเขาได้ นางจึงรีบหันหลังกลับไปเรียกอวี๋เจียวทันใด
อวี๋เจียวกำลังนั่งปักผ้าลายดอกไม้อยู่ในห้องกับอวี๋ฝูหลิง ครั้นได้ยินเสียงเรียกจึงวางเข็มกับด้ายแล้วเดินออกมา เมื่อเห็นสีหน้าร้อนรนและเหงื่อที่ผุดเต็มกรอบหน้าของผู้ดูแลจวนสกุลจางจึงเอ่ยถามว่า “ท่านผู้ดูแลจวนสกุลจางมาได้อย่างไรเ้าคะ? หรืออาการลมชักของฉีเกอเอ๋อร์กำเริบอีกแล้ว?”
“ฉีเกอเอ๋อร์ไม่เป็อะไร” ผู้ดูแลจวนสกุลจางปาดเหงื่อบนใบหน้า เอ่ยอย่างค่อนข้างร้อนใจว่า “แม่นางเมิ่ง คุณหนูของข้าถูกถอนหมั้นแล้ว!”
ครั้นเห็นเขาหอบหายใจ อวี๋เจียวจึงรีบเชิญเขาเข้ามาให้ห้องโถง ตามด้วยรินน้ำจับเลี้ยงให้เขา
ผู้ดูแลจวนสกุลจางรีบยกดื่ม หลังจากสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่จึงเอ่ยด้วยความร้อนรน “ไม่รู้ว่าเื่ที่เ้ารักษาโรคลับของคุณหนูแพร่งพรายออกไปได้อย่างไร อีกทั้งนายน้อยสกุลเฉินยังบังเอิญรู้เข้า วันนี้สกุลเฉินมาเยือนจวนเพื่อถอนหมั้น กล่าวตำหนิว่าร่างกายคุณหนูของพวกเราไม่บริสุทธิ์ ทำเอานายท่านกับฮูหยินโมโหไม่น้อย บังเอิญว่าวันนี้ข้าไปที่จวนเข้าพอดี เมื่อได้ยินเื่นี้จึงรีบมาบอกกล่าวเ้าไว้ก่อน”
อวี๋เจียวเลิกคิ้วเมื่อได้ฟัง ภายในใจเกิดเป็ความรู้สึกไม่ดีวูบผ่านชั่วขณะ เอ่ยอย่างราบเรียบว่า “เื่โรคลับของคุณหนูของท่านไม่ได้แพร่งพรายไปจากข้า ท่านรีบมาบอกข้าเช่นนี้ หมายความว่านายท่านของท่านจะคิดบัญชีเื่นี้กับข้าหรือ?”
