เมื่อเห็นเขาไม่เอ่ยสิ่งใด ภายในใจของอวี๋เจียวลอบเปี่ยมไปด้วยความยินดี แม้ว่านิสัยของหนุ่มน้อยหัวโบราณจะเ็าไปสักหน่อย แต่นางรู้ดีว่าเขาจะต้องเป็ห่วงตนแน่นอน ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางมาหานางถึงที่นี่ อวี๋เจียวเปล่งเสียงหัวเราะแ่เบา
ติ่งหูของอวี๋ฉี่เจ๋ออุ่นร้อนเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของนาง เขามองนางอย่างเงียบๆ ครู่ใหญ่ “พวกเขาทำให้เ้าต้องลำบากใจหรือไม่?”
อวี๋เจียวหยุดหัวเราะ นางเงยหน้ามองใบหน้าคมคายของเขา เอ่ยถามว่า “หากข้าถูกทำให้ลำบากใจแล้วท่านจะทำอย่างไร?”
มือที่ปล่อยอยู่ข้างลำตัวของอวี๋ฉี่เจ๋อค่อยๆ กำเข้าหากัน เพราะคำกล่าวของอวี๋เจียว เขาพลันรู้สึกไร้กำลัง ราวกับฝ่ามือว่างเปล่าไม่อาจคว้าสิ่งใดเอาไว้ได้ เขาเม้มปาก น้ำเสียงเฉยเมยทว่าความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “จะไม่มีครั้งต่อไปอีกแล้ว”
“หือ?” อวี๋เจียวมองเขาด้วยความสงสัย
อวี๋ฉี่เจ๋อผินหน้าหนี ไม่กล่าวเสียงใด เขาเพียงสลักคำกล่าวประโยคนี้ลงไปในใจของตนเท่านั้น
ครั้นอวี๋เจียวเดาความหมายในประโยคนี้ของอวี๋ฉี่เจ๋อออก นางถึงกับคลี่ยิ้มออกมา หนุ่มน้อยหัวโบราณผู้นี้ยังทำให้ผู้อื่นอบอุ่นหัวใจนัก อีกทั้งไม่สนว่าจะจริงหรือเท็จ นางอธิบายทั้งรอยยิ้มว่า “พวกเขาไม่ได้ทำให้ข้าต้องลำบากใจ โรคของท่านผู้เฒ่าเหอไม่ใช่โรคที่รักษาไม่ได้ ข้าจัดเทียบยาแล้ว ไม่นานก็จะดีขึ้น”
ในสายลมยามพลบค่ำของฤดูร้อนเจือกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกอวี้หลัน ราวกับในอากาศอบอวลด้วยกลิ่นหวานหอม อวี๋ฉี่เจ๋อขานรับเสียงเบา ทั้งสองเดินเคียงกันมุ่งหน้าไปยังห้องด้านข้างที่อวี๋เจียวพักอาศัย
หญิงรับใช้ยกน้ำชาและขนมเข้ามา อวี๋เจียวหยิบขนมโก๋ถั่วเขียวขึ้นมาหนึ่งชิ้น ค่อยๆ ละเลียดทานไปพลางจิบน้ำชาอย่างเชื่องช้า “ข้าจะให้นายท่านเหอเตรียมรถม้าส่งท่านกลับไปดีหรือไม่?”
อวี๋ฉี่เจ๋อวางถ้วยน้ำชาสีหยกมรกตลงแล้วส่ายหน้า “ข้าจะอยู่กับเ้า ไม่กลับไป”
ก่อนหน้านี้อวี๋เจียวคิดเพียงว่าอวี๋ฉี่เจ๋อมาเยี่ยมนางเพราะไม่วางใจ คิดไม่ถึงว่าเขาจะรั้งอยู่เป็เพื่อนนาง นางเงยดวงหน้าเรียวเล็กขึ้นยกยิ้มให้เขา “ข้าอยู่ในจวนสกุลเหออย่างสุขสบายดี ท่านก็เห็นแล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวล ท่านไม่จำเป็ต้องอยู่เป็เพื่อนข้า”
อวี๋ฉี่เจ๋อขมวดคิ้วพลางส่ายหน้า เอ่ยอย่างดื้อรั้นว่า “ข้าจะอยู่เป็เพื่อนเ้า”
ครั้นเห็นเขาตั้งใจแน่วแน่ อวี๋เจียวถึงกับกัดริมฝีปาก นางไม่เชี่ยวชาญเื่ไปมาหาสู่กับผู้อื่น ทั้งยังกลัวว่าผู้อื่นจะทำดีกับตนจนกลายเป็หนี้น้ำใจผู้อื่น หนีไม่พ้นต้องพยายามชดใช้คืนอย่างสุดความสามารถ
อวี๋เจียวไม่คิดจะผูกพันกับสกุลอวี๋ให้ลึกซึ้งเกินไป แค่อวี๋ฉี่เจ๋อมาหานางที่จวนสกุลเหอ นางก็ดีใจมากแล้ว
อวี๋เจียวก้มหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านไม่จำเป็ต้องทำเช่นนี้ ข้ารับปากแล้วว่าจะรักษาร่างกายของท่านให้หายดี ย่อมไม่มีทางผิดคำพูดแน่นอน”
สีหน้าของอวี๋ฉี่เจ๋อแปรเปลี่ยนเป็เคร่งขรึม ตาดอกท้อเรียวรีจดจ้องอวี๋เจียวไว้มั่น น้ำเสียงเคร่งเครียด “ไม่เกี่ยวอันใดกับร่างกายของข้า ข้าไม่วางใจหากจะให้เ้าอยู่ที่นี่เพียงลำพัง”
ั์ตาใสเป็ประกายนั้นทำให้ผู้อื่นไม่กล้าสบตาตรงๆ อวี๋เจียวหลบดวงตาน่ามองดุจน้ำหมึกของเขาด้วยใจเต้นระส่ำ สายตาของนางจดจ้องไปยังเล็บที่ถูกตัดเล็มอย่างเป็ระเบียบของเขา มือของเขางดงามมาก ข้อนิ้วเรียวยาวทั้งห้าชัดเจน เล็บมือใสสะอาดราวกับหยกขาว
ผ่านไปเป็เวลานาน อวี๋เจียวถึงเอ่ยออกมาว่า “เช่นนั้นข้าจะให้คนไปบอกกล่าวนายท่านเหอเอาไว้เสียหน่อย”
นางเรียกหญิงรับใช้ที่รอปรนนิบัติอยู่ด้านนอก “คนในจวนของข้าไม่วางใจจึงอยากจะอยู่เป็เพื่อนข้า เ้าไปบอกนายท่านเหอสักหน่อย รบกวนเขาเตรียมห้องรับแขกอีกหนึ่งห้อง”
“ไม่ต้องลำบากแล้ว ข้าจะพักกับเ้า” อวี๋ฉี่เจ๋อหันไปมองหญิงรับใช้ “รบกวนเ้าไปแจ้งนายท่านเหอ ข้าคือสามีของนาง อยากจะอยู่ในจวนเป็เพื่อนนาง”
อวี๋เจียวเม้มปากชำเลืองมองเขาชั่วครู่ นางหันไปพยักหน้าให้หญิงรับใช้ที่ยังรีรออยู่ หญิงรับใช้ผู้นั้นถึงค่อยย่อกายทำความเคารพแล้วเดินจากไป
เมื่อเหอตงเซิงได้ยินเื่นี้ก็ไม่เอ่ยสิ่งใด ครั้นตกดึกเล็กน้อยจึงสั่งให้คนส่งสำรับไปจำนวนสองชุด
ขณะทานอาหาร อวี๋เจียวใจลอยอยู่บ้าง ภายในห้องมีเตียงแค่หลังเดียว นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดอวี๋ฉี่เจ๋อถึงจะพักกับนางให้ได้ หรือว่าจู่ๆ นึกอยากจะเข้าหอกับนางขึ้นมา?
อวี๋เจียวสลัดความคิดนี้ทิ้งไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะอยู่ร่วมกันเป็เวลาไม่นานนัก ทว่าภาพลักษณ์เช่นสุภาพชนผู้มีสมบัติผู้ดีของอวี๋ฉี่เจ๋อยังซึมลึกเข้าสู่หัวใจของนางไม่น้อยจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังอยู่ในจวนของผู้อื่น ไม่ว่าอย่างไรอวี๋ฉี่เจ๋อก็ไม่มีทางคิดจะขึ้นเตียงทำอะไรกับนางในจวนของคนอื่นแน่นอน
หลังกินข้าวเสร็จ อวี๋เจียวไปเดินเล่นย่อยอาหารในลานเรือน อวี๋ฉี่เจ๋อหยัดกายลุกขึ้นเดินตามนางไป จากนั้นเดินวนไปมาอย่างเชื่องช้าอยู่ในลานเรือนกับอวี๋เจียว
“ที่ท่าน...มาที่นี่ ท่านอาซ่งรู้หรือไม่?” คนทั้งสองเดินวนในลานเรือนสองรอบอย่างเงียบเชียบ อวี๋เจียวหันใบหน้าไปมองอวี๋ฉี่เจ๋อและทำลายความเงียบลง
ร่างกายของเขาอ่อนแอ ออกมาหานางเพียงลำพังเช่นนี้ พวกท่านอาซ่งจะวางใจได้อย่างไร ยามนี้อวี๋หรูไห่อยากตัดขาดความสัมพันธ์กับนางใจจะขาด จะยอมปล่อยให้อวี๋ฉี่เจ๋อมายังจวนสกุลเหอได้อย่างไร
อวี๋ฉี่เจ๋อสวมอาภรณ์ตัวยาวสีฟ้าอมเขียว แม้ร่างกายจะซูบผอม แต่เพราะร่างเพรียวบางจึงแลดูสูงโปร่งอย่างเห็นได้ชัด เงาท่ามกลางแสงจันทร์ของคนทั้งสองทอดยาวลงบนแผ่นหินดำ เขาผินหน้ามาเมื่อได้ยินเสียงของอวี๋เจียว
เดิมคนทั้งสองเดินเคียงข้างกันกัน เมื่อหันหน้ามาเช่นนี้ อวี๋เจียวพบว่าใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาของเขาอยู่ใกล้ใบหน้าของตนยิ่งนัก ลมหายใจราวกับจะผสานกันเป็หนึ่งเดียว นางถึงกับถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างไม่เป็ธรรมชาติจนเกือบสะดุดล้ม
อวี๋ฉี่เจ๋อตาไวมือไว เขารีบรวบเอวประคองนางเอาไว้ เอ่ยเสียงเบาว่า “ดูทางหน่อย” ก่อนจะชักมือกลับภายในเวลาเพียงครู่
พวงแก้มของอวี๋เจียวเห่อร้อนเล็กน้อย อาจเป็เพราะอากาศร้อน กระทั่งลมหายใจยังอบอ้าวเสียแล้ว
อวี๋ฉี่เจ๋อนำมือข้างที่ประคองอวี๋เจียวไพล่ไว้ข้างหลัง ฝ่ามือกำเข้าหากันเล็กน้อย ปลายนิ้วยังหลงเหลือััอ่อนนุ่ม มุมปากของเขาพลันยกยิ้ม “ท่านพ่อท่านแม่รู้ พวกเขาก็เป็ห่วงเ้า”
น้อยครั้งนักที่อวี๋เจียวจะเห็นเขายิ้ม แท้จริงแล้วยามอวี๋ฉี่เจ๋อยิ้มน่ามองยิ่งนัก ใบหน้าเ็าเคร่งขรึมเมื่อผ่อนคลายลงกลับกลายเป็ภาพวาดจากน้ำหมึกอันมีชีวิตชีวา ความอ่อนโยนที่ยากจะพบเห็นและดวงตาดอกท้อเปี่ยมเสน่ห์เย้ายวนผู้คนเป็พิเศษ ทว่าท่าทางอ่อนแอจากโรคภัยกลับเพิ่มความขัดแย้งขึ้น ยากต่อการหักห้ามความปรารถนายิ่ง ทำให้ผู้อื่นไม่อาจละสายตาออกได้เลย
ทันใดนั้นในหัวของอวี๋เจียวมีคำหนึ่งปรากฏขึ้นมา เดนมนุษย์ในคราบนักปราชญ์
“แท้จริงแล้วไม่จำเป็ต้องเป็ห่วงอะไร ข้าคนเดียวก็จัดการได้” อวี๋เจียวเอ่ยอย่างห้วนๆ
“ข้ารู้” อวี๋ฉี่เจ๋อตอบกลับทันที
เขารู้ว่านางแตกต่างจากแม่นางคนอื่นๆ เมื่อพบเจอเื่อะไรล้วนแต่พึ่งตนเอง ไม่มีทางร้องไห้ และยิ่งไม่มีทางหวังพึ่งผู้อื่น มักจะแบกรับไว้เพียงผู้เดียว
ทั้งๆ ที่รู้ว่านางสามารถจัดการปัญหาเื่จวนสกุลเหอ แต่เขายังอยากมาหานาง ถึงแม้จะช่วยอะไรไม่ได้ก็ตาม แค่ได้อยู่กับนางอย่างเงียบเชียบเช่นนี้ก็พอ เมื่อเป็เช่นนี้นางอาจไม่ต้องเผชิญปัญหาเพียงลำพัง
ยังคงเกิดเป็ความเงียบยาวนานอีกครั้ง อวี๋เจียวเดินจนรู้สึกง่วง เมื่อกลับเข้าห้อง หญิงรับใช้ส่งน้ำร้อนมาให้ หลังจากอาบน้ำหวีผมเสร็จ อวี๋เจียวนั่งลงหน้ากระจกทองแดงภายในห้อง นางค่อยๆ สยายเส้นผมอย่างเชื่องช้า ปลายนิ้วม้วนเส้นผมอย่างเกียจคร้าน เหลือบมองเตียงเพียงหนึ่งหลังนั้นอย่างกลัดกลุ้มเล็กน้อย
หลังจากอวี๋ฉี่เจ๋ออาบน้ำเสร็จ เขาเห็นอวี๋เจียวเอาแต่นั่งอยู่บนม้านั่ง เมื่อล่วงรู้ความคิดของนาง เขาลอบขบขันอยู่ในใจ ยามปกตินางพูดจาไม่รู้จักสำรวมและละอายสักนิด เขายังคิดว่านางขวัญกล้า ไร้กังวลต่อสิ่งใดจริงๆ แท้จริงแล้วก็เป็เพียงเสือกระดาษเท่านั้น
ครั้นนึกถึงยามถูกนางหยอกล้อเมื่อก่อนหน้านี้ อวี๋ฉี่เจ๋อเดินไปอยู่ด้านหลังของนาง จากนั้นโน้มกายเอ่ยอยู่เหนือศีรษะของนางอย่างเอ้อระเหย “ควรพักผ่อนได้แล้ว ภรรยา”
น้ำเสียงที่ดังขึ้นอย่างใกล้ชิดทั้งยังกะทันหันเช่นนี้ทำให้อวี๋เจียวใ นางหยัดกายลุกขึ้นด้วยความลุกลี้ลุกลน อวี๋ฉี่เจ๋อคิดจะถอยหลบแต่ก็ไม่ทันการ เขาถูกศีรษะของนางชนเข้ากับขากรรไกรอย่างแรง
