ผ่านไปกว่าครึ่งเดือน ในที่สุดิหยวนก็เคี่ยวเข็ญให้คุณชายสามท่องจำบทกวีของสี่ปราชญ์ ขงจื๊อ เมิ่งจื่อ เล่าจื่อ และจวงจื่อ อีกทั้งยังท่องคำสอนวิถีแห่งเต๋าและพุทธปรัชญาได้บ้างแล้ว หลังจากิหลานได้ลองทดสอบ เป็ต้องออกปากว่าค่อนข้างพอใจ
หนึ่งวันก่อนงานเลี้ยงประลองปัญญา คนจากจวนตระกูลิได้นำชุดผ้าปักลายดอกไม้สองชุดมามอบให้ิหยวน ยามนี้ผู้เป็มารดาจึงกำลังลองจับๆ แตะๆ ดูชุดพวกนั้นอย่างระมัดระวัง เสียงนุ่มนวลเอ่ยขึ้นแ่เบาราวกับอยู่ในความฝัน “ตะเข็บแบบนี้...ด้ายแบบนี้... ในชีวิตนี้แม่เคยเห็นแค่คนอื่นใส่อยู่ไกลๆ ชุดนี้ส่งมาให้ใส่แน่หรือ...”
ด้านพี่หญิงรองนั้นปลาบปลื้มมาก มองแล้วมองอีก “หากไม่ให้คนใส่ แล้วจะเอาไว้บูชาหรืออย่างไรเ้าคะ ข้าว่าหยวนเก้อเอ๋อร์เหมาะกับมันมาก”
ิเฉียวนั่งเลื่อยไม้อยู่หน้าบ้าน ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองคนในบ้าน หลังจากเงียบอยู่นานจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น“นั่นไม่ใช่ชุดที่คนอย่างเราควรใส่!”
ิหยวนนั่งมองชุดพวกนั้น ในหัวว่างเปล่าไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี ทว่าจู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นมา “ท่านพ่อพูดถูก ท่านแม่ ท่านเก็บเสื้อผ้าพวกนี้ไว้ก่อนเถิด ข้าจะใส่ชุดที่ท่านตัดไว้ให้”
......
เช้าวันต่อมา ทุกคนมาพบกันที่ลานกลางจวนตระกูลิ ิหลานเห็นิหยวนสวมชุดสีฟ้าเรียบง่ายสะอาดตายืนอยู่ข้างหลังิเยี่ยก็พยักหน้าให้แต่ไม่พูดอะไร จากนั้นทุกคนจึงออกเดินทางมุ่งหน้าไปสวนจื่อหยวน
กล่าวกันว่าสวนจื่อหยวน เป็สถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่มีสวนสวยงามและมีชื่อเสียงที่สุดในเมืองเจียงโจว สวนนี้ถูกสร้างให้เข้ากับทุกสภาพอากาศ บุปผาบานสะพรั่งยามวสันต์ กลิ่นไอสายฝนโปรยปรายยามคิมหันต์ จันทราสุกใสในสารทฤดู สายลมหนาวหิมะขาวยามเหมันต์ ฝนที่ว่าก็ไม่ใช่ฝนจากฟ้า แต่เป็ละอองน้ำจากน้ำตก หิมะที่ว่าก็ไม่ใช่หิมะทั่วๆ ไป แต่เป็ดอกไม้หน้าหนาวที่ร่วงโรยเหมือนหิมะ ยิ่งกว่านั้นหนึ่งปีมีสามร้อยหกสิบห้าวันจะมีดอกไม้ใหม่ๆ บานทุกวัน นับเป็หนึ่งสิ่งที่มหัศจรรย์ในใต้หล้า
ิหยวนเล่าเื่นี้ให้ิเยี่ยฟัง แต่กลับถูกหัวเราะเยาะ “มันไม่ได้วิเศษถึงเพียงนั้นหรอก ก็แค่สวนดอกไม้ที่มีพื้นที่กว้างขวาง แต่ก็งดงามกว่าสวนที่จวนข้าจริงๆ นั่นแหละ เพราะเ้าของสวนนั่นคือใต้เท้าจ้าว นามว่า”จ้าวผู” ผู้เป็ถึงใต้เท้าผู้ตรวจการประจำเมืองนี้ แม้ปัจจุบันจะไม่ได้ตรวจตราเข้มงวดเหมือนที่ผ่านมา แต่ก็ยังถือเป็ตำแหน่งที่มีอำนาจบารมีอยู่ แล้วอย่างนี้ผู้ใดจะไม่อยากประจบเขา?”
ที่แท้ก็เป็เช่นนี้ แต่เื่นี้ไม่เกี่ยวกับเขา ิหยวนจึงไม่เก็บใส่ใจ
“คารวะท่านลุง ยินดีที่ได้พบญาติผู้พี่!” ใครบางคนเข้ามาทักทาย
เป็คนที่ิเยี่ยไม่อยากพบที่สุด นั่นก็คือลูกพี่ลูกน้องอย่างหลิวเปียว วันนี้แต่งตัวเรียบร้อยดูดี แต่พฤติกรรมยังคงต่ำเตี้ยเช่นเดิม แถมยังถือพัดที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ิเยี่ยเห็นเขาก็พลันอารมณ์เสีย ตั้งใจจะเดินหนี แต่ถูกิหยวนคว้าข้อมือไว้แล้วดึงกลับมาเสียก่อน ิหลานยังคงตีหน้านิ่งราวกับไม่เคยโมโหจนเกือบจะทุบจอกชา แถมยังส่งยิ้มแ่เบาให้คนผู้นั้น “วันนี้หลานชายดูมีสง่าราศีเสียจริง”
ิเยี่ยจึงต้องเอ่ยทักทายอีกฝ่ายตามมารยาท
“ผู้คนต่างยกย่องตระกูลิว่าสง่างามเปี่ยมความรู้ ได้ยินมาว่าวันนี้ท่านเ้าเมืองและใต้เท้าผู้ตรวจการเตรียมรางวัลใหญ่ไว้ พวกท่านมีความรู้สูงส่ง ต้องคว้าชัยชนะมาได้แน่นอน ทว่ามันคงดูไม่ดี หากจะปล่อยให้คนที่มาจากครอบครัวยากจนในเจียงหนานของเราเข้าร่วมประลอง”
“ญาติผู้น้องช่างวาจาจองหองยิ่ง” ในที่สุดิเยี่ยก็อดไม่ได้ “พวกเราไหนเลยจะกล้าถือดีอวดฉลาด แต่ก็ยังดีกว่าคนที่วันๆ เอาแต่ขี่ม้าบินเหยี่ยว”
“สามวันไม่พบหน้ากลายเป็อื่น แปลกหูแปลกตากันเสียแล้ว ่นี้ข้าได้พบปะสหายใหม่มากหน้าหลายตา ล้วนแล้วแต่เป็บัณฑิตผู้มีความรู้” หลิวเปียวกล่าวอย่างมั่นใจพร้อมเชิดหน้าจนคอแทบหัก
“ผู้ใดกัน คนพวกนั้นน่ะหรือ?” ิเยี่ยยิ้มเยาะพลางกวาดตามองคนแปลกหน้ารอบตัวหลิวเปียว
“ก็ยังดีกว่าคนที่ยอมลดตัวลงไปคบกับพวกบ้านนอก” หลิวเปียวโบกพัดสะบัดหน้าท่าทางเย่อหยิ่ง “ข้าก็นึกว่าท่านพี่ิสิ้นเนื้อประดาตัวไปเสียแล้ว กลายเป็สุนัขจนตรอกไม่มีทางเลือกจนต้องลดตัวลงไปคบค้าสมาคมกับคนชั้นต่ำ ไม่สนใจว่าที่นี่คือที่ใด มีไว้สำหรับผู้ใด กล้าแม้กระทั่งพาคนบ้านนอกมาที่นี่ด้วย ทุกท่านรู้หรือไม่ว่าเด็กที่อยู่ข้างหลังเขาคือผู้ใด เขาก็คือศิษย์คนหนึ่งในสำนักศึกษาตระกูลิ บัณฑิตอัจฉริยะที่มีบิดามารดาเป็คนงานตระกูลิ!” หลิวเปียวชี้ไปทางิหยวนที่ยืนอยู่ด้านหลังิเยี่ยพลางหัวเราะเสียงดัง เหล่าสหายของเขาก็ประสมโรงกับเขาด้วย
“เ้า!” ิเยี่ยกำหมัดแน่น
ิหยวนโกรธใบหน้าแดงก่ำ สองมือกำแน่นแอบไว้ด้านหลัง ท่องในใจไว้ว่าเขาไม่ได้มาที่นี้เพื่อก่อเื่ให้ตนเองต้องขายหน้า แต่การที่เขาต้องพยายามกัดฟันข่มใจครั้งแล้วครั้งเล่า มันทำให้ทรมานจนแทบกระอัก เขาจะจดจำความเ็ปและอัปยศอดสูในเวลานี้เอาไว้
“แล้วเราจะได้เห็นดีกัน” ิเยี่ยโต้กลับอย่างดุเดือด
พอเห็นคนเริ่มทยอยมาเรื่อยๆ ทั้งสองจึงทำทีเป็กล่าวทักทายกันและกัน ก่อนจะส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจแล้วแยกย้ายกันไปนั่งรอแขกที่มาร่วมงาน ผ่านไปสักพักเ้าเมืองเฉินปั๋วและผู้ตรวจการจ้าวผูก็เดินออกมาทักทายทุกคน
“ฝู่จวินเชิญนั่ง”
“ไม่เอาน่า ไม่ต้องมากพิธีหรอก พี่หยวนร่างเป็เ้าบ้าน นั่งหัวโต๊ะสมควรแล้ว”
จ้าวผูหรืออีกชื่อคือ “จ้าวหยวนรั่ง” ออกมาในชุดคลุมแขนกว้างและรองเท้าไม้ ใบหน้ามีเครายาวสวย ดูสง่างามน่านับถือ แต่ก็ไม่ได้แก่ถึงขั้นเป็บัณฑิตเฒ่าเดินเหินไม่สะดวก เขายิ้มกว้างพลางหัวเราะชอบใจ “ตัวข้าก็แค่เ้าของสวนผู้ต่ำต้อย แต่ฝู่จวินเป็ถึงเ้าเมืองเมืองนี้ อยู่เหนือชาวเมืองทุกคน ไยถึงต้องถ่อมตัวถึงเพียงนี้?”
“ฮ่า!!! เช่นนั้นตามใจท่าน” เฉินปั๋วยิ้มแล้วนั่งลง ยามนี้มีเขาคนเดียวที่นั่งเพียงลำพัง คนอื่นๆ ต่างแยกจับกลุ่มสนทนากัน งานเลี้ยงครั้งก่อนหลายคนทำตัวหยาบคายและไม่เคารพเขา แต่ดูเหมือนเขาจะไม่เก็บไปใส่ใจ ยังคงพูดคุยและหัวเราะอย่างมีความสุข
เฉินปั๋วยกจอกสุราขึ้นดื่มอวยพร “ย่างเข้ากลางวสันต์ นกเหยี่ยวเหินเวหา มัจฉากระโจนเหนือธารา พี่หยวนรั่งจิตใจกว้างใหญ่ให้ยืมสถานที่ล้ำค่าจัดงานเลี้ยง เชิญชวนมิตรสหายปัญญาชนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทุกท่านมาร่วมดื่มกิน มีทั้งบัณฑิตผู้มีความสามารถ ชื่อเสียงเลื่องลือ มีทั้งศิษย์ผู้มีอนาคตสดใสจากสำนักศึกษาน้อยใหญ่ในเมืองนี้ ทั้งลูกหลานจากตระกูลน้อยใหญ่ทุกท่าน ล้วนแล้วแต่เป็ผู้มีความรู้ความสามารถ ถือเป็ความโชคดีของเมืองนี้ สุราจอกนี้ข้าขออวยพรให้ฝ่าาอายุยืนหมื่นปี ฝู่จวินทุกท่านสุขภาพแข็งแรง และขอให้ลูกหลานเมืองเจียงโจวรอบรู้ทั้งบุ๋นและบู๊!”
ทุกคนกล่าวพร้อมกัน “ฝ่าาอายุยืนหมื่นปี ฝู่จวินสุขภาพแข็งแรง!”
เ้าบ้านอย่างจ้าวผูยกจอกสุราอีกครั้งพลางยกยิ้มเ้าเล่ห์ “ทุกท่านสละเวลามาร่วมงาน ถือเป็เกียรติอย่างยิ่ง ไม่พูดพร่ำเสียเวลา งานเลี้ยงในวันนี้ ถือเป็โอกาสดีที่ทุกท่านจะได้แสดงความสามารถ แน่นอนว่าข้าได้เตรียมของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ เอาไว้แล้ว”
----------------------------------------------------------------------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้