หรงต้าสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันที เป็อย่างที่ซ่งอวี้ว่าจริงๆ ใบหน้าของหรงจิ่งซีดเซียวราวกับเกล็ดหิมะในฤดูเหมันต์ เขาพยุงหรงจิ่งให้นอนลงด้วยความเป็ห่วง ไม่ได้พูดอะไรอีก
หลังจากนั้นซ่งอวี้ก็พาทั้งสองคนเข้าไปในห้องพัก ซึ่งความจริงแล้วก็เป็เพียงห้องแคบๆ ที่อยู่ติดกับห้องเก็บฟืนเท่านั้น การให้บุรุษสองคนมาอยู่ในห้องนี้คล้ายจะทำให้พวกเขาลำบากเล็กน้อย
แต่ว่าเรือนของนางมีห้องไม่มาก หรงจิ่งพักห้องหนึ่ง พวกนางสตรีทั้งสามคนพักห้องหนึ่ง ทั้งยังมีอีกห้องที่นางจัดใหม่เป็ห้องทำงานชั่วคราว ซึ่งใช้สำหรับแปรรูปสมุนไพร
นี่จึงเป็ห้องเดียวที่เหลือแล้ว
โชคดีที่ซ่งอวี้บอกอาฝูั้แ่เมื่อวานว่าวันนี้จะมีผู้คุ้มกันมาสองคน ดังนั้นอาฝูจึงเก็บกวาดห้องนี้ั้แ่เช้า มองดูแล้วสะอาดเอี่ยมอ่องยิ่งนัก
นอกจากเล็กไปหน่อยแล้ว ที่เหลือก็ไม่ได้มีอะไรแย่
"เวลานี้ลำบากพวกเ้าพักที่ห้องนี้ไปก่อน เรือนข้างๆ ที่กำลังก่อสร้างอยู่นั้นเป็เื่ของข้าเช่นเดียวกัน รอสร้างเสร็จข้าจะแบ่งให้พวกเ้าสองคนคนละหนึ่งห้อง"
ซ่งอวี้ลูบจมูก พูดด้วยความกระอักกระอ่วน
หรงต้าและหรงเอ้อร์ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะถึงอย่างไรตอนฝึกลับ แม้กระทั่งห้องแคบๆ เช่นนี้ก็ยังไม่มีให้หลับนอน เมื่อเทียบกันแล้ว ห้องนี้ดีกว่ามาก
หากถามว่าหลังจากในเรือนมีบุรุษเพิ่มขึ้นสองคน รู้สึกอย่างไร?
อาฝูกล่าวว่าไม่ได้รู้สึกอะไร ถึงอย่างไรก็ต้องทำงานบ้านงานเรือนเช่นเดิม ทางด้านเสี่ยวหมานบอกว่างานที่บุรุษทำได้นางล้วนทำได้ทุกอย่าง ทั้งยังทำได้ดียิ่งกว่าบุรุษเสียอีก นางก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ทว่าเมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้ว จะเห็นว่าการเปลี่ยนแปลง อย่างน้อยก็มีคนมาดูเื่ครึกครื้นไม่ขาด
คนแรกที่เดินเข้ามาคือป้าหวังที่ทราบเื่แล้วใคร่อยากจะรู้ นางคว้าเมล็ดทานตะวันขึ้นมาหนึ่งกำมือ ตรงตามมาตรฐานของการมาเที่ยวบ้าน
"ยัยหนูซ่ง ข้าไม่ได้ว่าเ้านะ แม้ชายสองคนนี้จะเป็ผู้คุ้มกันของเรือนเ้า แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็บุรุษ กิริยาวาจาและทุกการเคลื่อนไหวของเ้าต้องระมัดระวังเป็พิเศษ เพื่อเลี่ยงไม่ให้ผู้อื่นจับผิดแล้วนำมานินทาว่าร้าย" ป้าหวังยืนมองหรงต้าและหรงเอ้อร์อยู่นานค่อนวัน แล้วค่อยพูดกำชับซ่งอวี้อย่างมีเลศนัย
กฎเกณฑ์ต่างๆ ล้วนเข้มงวดกับสตรีมาั้แ่โบราณ เื่นี้ซ่งอวี้ลำบากมามากพอแล้ว นางอยากจะให้ซ่งอวี้ปกป้องตนเองให้ดี
ซ่งอวี้รู้ว่าป้าหวังหวังดีกับตนเองจึงไม่ได้โต้กลับ นางเพียงยิ้มแล้วรับคำ จากนั้นหันไปครุ่นคิดถึงแผนการที่ตนวางไว้ั้แ่แรก
ในเมื่อหรงต้าและหรงเอ้อร์มาแล้ว เช่นนั้นเื่นี้ก็ไม่ควรที่จะรอช้า
ซ่งอวี้ให้คนไปสืบสถานการณ์ของตระกูลฉีในตอนนี้ ดูว่าควรจะลงมือเมื่อใด คิดไม่ถึงว่านางจะเจอโอกาสลงมือจริงๆ
อีกห้าวันจะมีงานเลี้ยงครบเดือนของลูกชายฉีเสี่ยวเม่ย ลูกสาวเพียงคนเดียวของตระกูลฉี เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาไปร่วมงานเลี้ยงกันทั้งครอบครัว ในเรือนต้องเหลือคนเพียงไม่กี่คนเป็แน่ นี่เป็โอกาสที่ดีที่สุดที่จะลงมือ
เมื่อซ่งอวี้คิดว่าในที่สุดเื่ก็ใกล้จะจบลงแล้วนางก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ดูผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด
"เ้าขอทาน เ้าเป็อะไรของเ้า ข้าให้หมั่นโถวกับเ้าไปหนึ่งลูกแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเ้าจึงโลภเช่นนี้" จู่ๆ เสียงแหลมของเสี่ยวหมานก็ดังมาจากหน้าประตู
"แม่นาง ทำบุญทำทานด้วยเถอะขอรับ แม่ของข้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย แม่นางให้หมั่นโถวข้าอีกลูกหนึ่งเถอะ ข้าจะจดจำบุญคุณของแม่นาง!”
อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น เป็น้ำเสียงที่ขอร้องอ้อนวอน
ซ่งอวี้เปิดหน้าต่างแล้วบอกเสี่ยวหมาน "แค่หมั่นโถวหนึ่งลูกเท่านั้น ถือว่าช่วยชีวิตคนก็แล้วกัน เ้าให้เขาไปเถอะ"
ซ่งอวี้มองจากหน้าต่าง เห็นขอทานที่คุกเข่าอยู่หน้าประตู ผมเผ้ายุ่งเหยิงเสื้อผ้าขาดรุ่ย แขนและเท้าที่พ้นออกมานอกเสื้อผ้าซูบผอมยิ่งนัก คล้ายว่าเพียงจับเบาๆ ก็หักแล้ว ่นี้คล้ายจะมีขอทานมากมาย
เสี่ยวหมานเสียดายอาหาร นางทำปากมู่ทู่แล้วบ่นพึมพำ แต่น่าเสียดายที่เสียงของนางเบายิ่งนัก
ซ่งอวี้มองไปที่นางคล้ายกำลังมองเด็กๆ แล้วพูดด้วยความจนปัญญา "หมั่นโถวเพียงหนึ่งลูกสามารถช่วยชีวิคนได้ เ้าว่าไม่คุ้มค่าหรือ? ยังไม่รีบไปเอามาให้เขาอีก"
ซ่งอวี้เดินออกมาที่หน้าประตู เวลานี้เสี่ยวหมานยังคงอยู่ในห้องครัว ซ่งอวี้มองขอทานอย่างพิจารณา แล้วเอ่ยถาม "พี่ชาย หากเ้าอยากจะเป็ขอทาน เช่นนั้นควรจะเป็ขอทานในอำเภอ เหตุใดจึงมาที่นี่? หมู่บ้านเสี่ยวหนิวขึ้นชื่อเื่ความยากจน"
ขอทานถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตอบ "เวลานี้ หากไม่ใช่เพราะไม่มีทางเลือกแล้ว ผู้ใดอยากจะห่างบ้านห่างครอบครัวมาเป็ขอทาน? พูดตามตรง เดิมทีข้าเป็ชาวนา แม้จะไม่มีที่ดินใหญ่โต แต่อย่างน้อยก็มีกินมีใช้ แต่น่าเสียดายที่แถบชายแดนเกิดาขึ้น"
"ทหารแคว้นศัตรูมักจะข้ามแดนมาก่อกวน ถึงขั้นสังหารคนทั้งหมู่บ้าน หากไม่ใช่เพราะวันนั้นข้ากับแม่ของข้าบังเอิญไปเยี่ยมญาติ ไม่แน่ว่าเวลานี้อาจจะกลายเป็ศพไปแล้วก็ได้"
คืนนั้นเืนองไปทั้งหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านของพวกเขาแทบจะตายกันหมด มีเพียงคนที่ออกไปนอกหมู่บ้านเท่านั้นที่รอดพ้นจากหายนะในครั้งนั้น หลังจากนั้นขอทานคนนี้ก็ไม่กล้ากลับบ้านอีก เขาพามารดาที่อายุมากขอทานไปทั่วสารทิศเพื่อเอาตัวรอด
ซ่งอวี้ได้ฟังเช่นนั้นก็ใ "ชายแดนเริ่มทำาแล้วหรือ? เวลานี้สถานการณ์ของาเป็อย่างไรบ้าง? แพ้ชนะอย่างไรบ้าง?"
าไม่ใช่เื่เล่นๆ การทำาของยุคสมัยนี้ล้วนถือมีดถือดาบ ฆ่าฟันกันเืสาด ซ่งอวี้ไม่อยากััประสบการณ์ความวุ่นวายของาแม้แต่น้อย
"เื่เหล่านี้ชาวบ้านอย่างเราๆ จะรู้ได้อย่างไร? ตลอดทางที่หนีเอาชีวิตรอดมานั้น ข้าได้ยินเพียงว่าแคว้นศัตรูส่งทหารม้าที่เคลื่อนไหวเร็วออกมา เวลานี้ผ่านชายแดนมาแล้ว กำลังสังหารคนในแคว้นเป่ยเฉิน หมู่บ้านของข้าก็ถูกทหารม้ากลุ่มนี้สังหารหมู่"
เมื่อพูดถึงทหารม้ากลุ่มนั้น สีหน้าของขอทานก็ดูย่ำแย่ขึ้นมาทันตา
"กระทั่งเวลานี้ข้ายังจำได้ดี ทหารม้าเ่าั้สวมเสื้อเกราะและหน้ากาก ฟันคนในหมู่บ้านทีละคนๆ ด้วยรอยยิ้ม ทหารบางคนถึงขั้นแข่งกันว่าผู้ใดจะสังหารคนได้มากกว่า พวกเขาคือฝูงปีศาจ ปีศาจชัดๆ!”
"มีคนในหมู่บ้านหลายคนรวมทั้งข้าที่กลับมาตอนกลางดึก เมื่อเห็นภาพสยดสยองในหมู่บ้านจึงไม่กล้าเดินเข้าไป ได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ รอให้พวกมันสังหารจนพอใจ แล้วควบม้าจากไป พวกข้าจึงค่อยๆ คลานออกมาจากพุ่มไม้อย่างสั่นเทา แล้วฝังศพคนในหมู่บ้าน"
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกรงว่ากระทั่งวันตายขอทานคนนี้ก็คงไม่อาจลืม ดินสีน้ำตาลเข้มที่ถูกย้อมไปด้วยเื แม้ฝนจะตกลงมาอีกสักกี่รอบก็คงไม่อาจชำระล้างคราบเืให้สะอาดได้กระมัง
แววตาของขอทานเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวที่ไม่อาจซ่อนเร้น "ระหว่างที่ข้าเดินเท้ามาที่นี่ ข้าเคยเจอทหารม้าครั้งหนึ่ง พวกเขายังคงฆ่าสังหารอย่างเหี้ยมโหดเช่นเดิม"
อะไรนะ? เคยพบเจอทหารม้าเ่าั้ แม้จะอยู่ไกลจากชายแดน?
ซ่งอวี้รู้สึกถึงความผิดปกติทันที หรือว่าทั้งสองแคว้นจะทำา? มิเช่นนั้น ในยามที่ความสัมพันธ์กลมเกลียวก็ไม่ควรมีความขัดแย้งเช่นนี้
ซ่งอวี้หนาวไปทั้งตัว นางไม่อยากให้เกิดาเลยแม้แต่น้อย อย่างที่ขอทานเล่ามา ทหารม้าเ่าั้ไม่มีความเป็มนุษย์ ทำชั่วทุกอย่าง ทั้งฆ่าฟัน เผาบ้านเรือนและชิงอาหาร หากพวกเขามาถึงหมู่บ้านเสี่ยวหนิว ไม่แน่ว่าอาจจะไม่มีใครรอดแม้แต่คนเดียว
"...คุณหนู?" เสี่ยวหมานหยิบหมั่นโถวหนึ่งลูกออกมาจากห้องครัว แต่ตอนที่นางเดินไปถึงหน้าประตู กลับพบว่าซ่งอวี้ที่ใบหน้าซีดขาวกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แม้นางเดินไปตรงหน้าก็ยังไม่รู้ตัว
เสี่ยวหมานแกว่งหมั่นโถวไปมาตรงหน้าซ่งอวี้ ทำให้ซ่งอวี้หลุดจากภวังค์
ซ่งอวี้ฝืนยิ้มครู่หนึ่ง หาข้ออ้างแล้วเดินจากไป เื่ที่รับรู้ในวันนี้ทำให้นางไม่สบายใจเลย นางต้องตั้งสติ