ทุกตระกูลในเมืองต่างก็รับรู้ถึงข่าวการมาถึงของท่านทูตเช่นกัน
ณ ตระกูลหวัง
ผู้ดูแลหลายคนของตระกูลหวังมารวมตัวกัน หัวข้อสนทนาคือ เื่ท่านทูตกับตระกูลถัง
เดิมทีตงฟางป้าเทียนลอบติดต่อตระกูลหวังกับตระกูลซิน เมื่องานแข่งขันหวู่เต้าจบลง สามตระกูลจะร่วมกันกลืนกินตระกูลถัง
แต่หลังจากถังจงเวยฟื้นพลังกลับมา การเจรจาลับครั้งนั้นจึงกลายเป็โมฆะ
พลังของตระกูลหวังอยู่ต่ำสุดจากทั้งสี่ตระกูลใหญ่ ผู้นำตระกูลหวัง ‘หวังเลี่ย’ เป็เพียงผู้ทรงยุทธ์ขั้นที่สองส่วนผู้าุโสามตระกูลหวัง ‘หวังเหมิ่ง’ ก็เป็แค่ระดับผู้ทรงยุทธ์ขั้นที่หนึ่ง
ทั้งตระกูลหวังมีผู้ทรงยุทธ์เพียงสองคนเท่านั้น
“ท่านทูตมาแล้ว พวกเราต้องไปคารวะหน่อยหรือไม่?”
ผู้าุโสองตระกูลหวัง ‘หวังกัง’ กล่าวเสนอแนะ
อย่างไรตระกูลหวังของพวกเขาก็ไม่เคยชิงอันดับหนึ่งของงานแข่งขันหวู่เต้ามาได้ ศิษย์ที่เข้าร่วมงานแข่งขันส่วนใหญ่ล้วนไปร่วมสนุกด้วยแค่นั้น แต่หากสามารถสร้างความสัมพันธ์กับท่านทูตได้ ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับรางวัลเล็กๆ น้อยๆ
“ของขวัญต้องมอบให้อยู่แล้ว ท่านทูตเป็ถึงผู้ที่จักรวรรดิส่งมา เราควรจะไปสร้างความประทับใจให้ท่านทูต!”
หวังเหมิ่งพยักหน้าเห็นด้วย ทุกๆ ครั้งที่ท่านทูตมา ตระกูลหวังมักจะส่งของขวัญไปให้อยู่แล้ว
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรกับตระกูลถัง? เห็นตงฟางป้าเทียนส่งข่าวมาว่าไม่ต้องกังวลเื่ถังจงเวย แล้วให้ทำตามแผนการเดิม”
หวังเลี่ยเอ่ยขึ้น เื่ส่งของขวัญเป็เื่เล็ก เพราะงานแข่งขันหวู่เต้าจัดขึ้นทุกสามปี ครั้งต่อไปก็อีกสามปีข้างหน้า
แต่การต่อสู้ของตระกูลถังกับตระกูลตงฟางนั้นเร่งด่วนกว่า ตอนแรกพวกเขาก็เห็นความตกต่ำของตระกูลถัง จึงรับปากไปว่าจะร่วมมือกับตระกูลตงฟาง
แต่ยามนี้ถังจงเวยทะลวงระดับผู้ทรงยุทธ์ขั้นที่ห้าและกลับมาดำรงตำแหน่งยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองอวิ๋นหลิวอีกครั้ง ในใจของตระกูลหวังเริ่มคิดถอยแล้ว
“ไม่ต้องกังวลเื่ถังจงเวยหรือ? ข้าได้ยินมาว่าแขนข้างหนึ่งของตงฟางป้าเทียนขาดไปข้าง ทำไมถึงกล้าพูดวาจาใหญ่โตเช่นนี้อีก ถ้าถามข้า ข้าว่าเราอย่ายุ่งเื่นี้ดีกว่า!”
ผู้ดูแลอีกคนของตระกูลหวังกล่าว
คนตระกูลหวังล้วนแต่รักตัวกลัวตาย ไม่ว่ามีอันตรายอะไรก็ไม่อยากเสี่ยง เมื่อเห็นพลังของถังจงเวยฟื้นคืนกลับมา ก็ไม่อยากร่วมมือกับตระกูลตงฟาง
“หลายปีมานี้อำนาจของตระกูลตงฟางขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าพวกเราไม่ร่วมมือ เกรงว่าเมื่อพวกเขากลืนกินตระกูลถังเสร็จแล้ว รายต่อไปก็คือตระกูลหวังของเรา!”
หวังเลี่ยกล่าวด้วยความกังวล
ถึงแม้พลังของตระกูลซินจะไม่แข็งแกร่งนัก แต่ตระกูลซินคือตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง แล้วตระกูลซินในเมืองอวิ๋นหลิวก็เป็เพียงตระกูลสาขาเท่านั้น ตระกูลหลักอยู่อีกเมืองหนึ่ง ยิ่งได้ยินมาอีกว่าในตระกูลมียอดฝีมือระดับยอดยุทธ์ด้วย
ดังนั้นตระกูลตงฟางจึงไม่กล้าลงมือกับตระกูลซิน แต่ตระกูลพวกเขาไร้ที่พึ่งพิง หากตระกูลตงฟางจัดการตระกูลถังสำเร็จจริงๆ อย่าหวังว่าตระกูลพวกเขาจะรอด
“เราทำได้เพียงไหลไปตามสถานการณ์ หากตระกูลตงฟางจัดการกับถังจงเวยได้จริงๆ พวกเราก็พร้อมร่วมมือกับตระกูลตงฟาง!”
หวังเหมิ่งกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ตระกูลที่อ่อนแอต้องระวังตัวตลอดเวลา ก้าวผิดเพียงก้าวเดียวอาจพบกับหายนะ
ปฏิกิริยาทางฝั่งตระกูลซินสงบนิ่งมาก ผู้นำตระกูลซิน ‘ซินซือหยาง’ บอกว่าขอเพียงตงฟางป้าเทียนสามารถจัดการกับถังจงเวยได้ ตระกูลซินจะร่วมมือจัดการตระกูลถังด้วยเช่นกัน
เพราะต่อให้เื่ล้มเหลว ตระกูลถังคงไม่กล้าทำอะไรตระกูลซิน ตระกูลซินหาใช่อะไรที่ตระกูลถังจะหาเื่ได้
ณ จวนเ้าเมือง เยว่มู่จือกำลังจัดงานเลี้ยงต้อนรับท่านทูตที่เพิ่งมาถึง
ในงานเลี้ยงล้วนมีแต่อาหารล้ำค่า ในฐานะที่เยว่มู่จือเป็เ้าเมือง จึงเอาสุราชั้นดีของตัวเองออกมาและต้อนรับท่านทูตจากจักรวรรดิอย่างดี
“ฮ่าๆๆ เ้าเมืองเยว่เกรงใจกันเกินไปแล้ว ข้าผู้แซ่เยียนรับไว้ไม่ไหวหรอก!”
ฝั่งตรงข้ามของเยว่มู่จือมีบุรุษสวมชุดคลุมยาวสีม่วงทองผู้หนึ่งนั่งอยู่ อายุของบุรุษผู้นี้ใกล้เคียงกับเยว่มู่จือ แต่พลังของทั้งสองคนนั้นแตกต่างกันมาก
ถึงแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายคือท่านทูตที่จักรวรรดิส่งมา ทว่ากลิ่นอายชั่วร้ายบนร่างของอีกฝ่ายกลับทำให้เยว่มู่จือไม่ค่อยสบายใจ
อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็ยื่นป้ายคำสั่งและเอาการเตรียมการจัดงานแข่งขันของจักรวรรดิในครั้งนี้มาบอกกับเยว่มู่จือแล้ว
ท่านทูตเยียนหลิงซานหัวเราะออกมา ถึงแม้ปากจะขอบคุณเยว่มู่จือ แต่มือสองข้างกลับลูบคลำร่างของสาวใช้ที่รินสุราอยู่ข้างกาย
“ท่านทูตเยียนก็กล่าวเกินไป นี่ล้วนเป็สิ่งที่ผู้แซ่เยว่ควรทำ!”
ใบหน้าของเยว่มู่จือเหยเก สาวใช้ข้างกายเยียนหลิงซานก็ไม่กล้าขัดขืน คนที่แม้แต่เ้าเมืองยังต้องต้อนรับด้วยความเคารพเช่นนี้ นางจะกล้าขัดขืนได้เยี่ยงไร
แต่หลินอวี่ที่อยู่ด้านข้างกลับทนดูต่อไปไม่ไหว นางที่เกิดในตระกูลใหญ่เช่นนั้น คงทนดูนิสัยไร้ยางอายของเยียนหลิงซานเช่นนี้ไม่ไหวจริงๆ จักรวรรดิเอาคนแบบนี้มาเป็ทูตหรือ? ช่างน่ารังเกียจนัก!
“ท่านทูตเยียนเดินทางมาไกล หลินอวี่ขอคารวะหนึ่งจอก”
หลินอวี่ยกจอกสุราขึ้นพร้อมกล่าว
“ฮูหยินเ้าเมืองเกรงใจเกินไปแล้ว เ้าเมืองเยว่ช่างมีวาสนาจริงๆ ที่ได้แต่งกับภรรยาเช่นท่าน ถ้าเปลี่ยนเป็ข้า ต่อให้อายุขัยลดลงสามสิบปีข้าก็ยอม!”
ดวงตาหื่นกระหายของเยียนหลิงซานกลอกมองไปทั่วร่างของหลินอวี่ไม่หยุด มองจนเยว่มู่จือแอบเดือดดาลอยู่ในใจ แต่ติดที่สถานะกับพลังของฝ่ายตรงข้ามทำให้ไม่อาจลงมือได้ ไม่เช่นนั้นถ้าเปลี่ยนเป็คนอื่นที่กล้าหยอกล้อฮูหยินต่อหน้าเขาเช่นนี้ เขาคงลงมือสั่งสอนไปนานแล้ว
แต่หลินอวี่ผ่านโลกมามาก จึงไม่ได้หวาดกลัว
“ท่านทูตเยียนก็ล้อเล่นมากไป ข้าอายุมากแล้ว สู้พี่น้องตระกูลโอวหยางคนอื่นๆ ของเราทุกคนที่ล้วนหน้าตาสะสวยดุจดอกไม้เ่าั้ไม่ได้หรอก”
เมื่อได้ยินคำว่าโอวหยางสองคำนี้ สีหน้าของเยียนหลิงซานแข็งค้าง
ในจักรวรรดิเทียนอวี่ คำว่าโอวหยางสองคำนี้หมายถึงอะไร ในใจเขารู้ดี นั่นคือตระกูลใหญ่ชั้นนำของจักรวรรดิเทียนอวี่ อีกทั้งในจักรวรรดิเทียนอวี่ยังมีตระกูลโอวหยางแค่หนึ่งเดียว
หรือว่าฮูหยินเ้าเมืองผู้นี้จะมีเื้ัเช่นนั้น?
หลินอวี่ฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายมึนงง รีบให้สาวใช้รินสุราถอยออกไป
เยียนหลิงซานไม่ได้พูดอะไรมาก ถ้าอีกฝ่ายมีเื้ัเช่นนั้นจริง ไม่ล่วงเกินเป็ดีที่สุด
หลังจากนั้นเยียนหลิงซานก็สำรวมขึ้นเล็กน้อย เมื่องานเลี้ยงเลิกรา เขาก็บอกว่าอยากไปเดินเล่นในเมืองอวิ๋นหลิวสักหน่อย แต่ความจริงคือไปหาความสุขที่หอนางโลม
หลังจากเยียนหลิงซานจากไปแล้ว เยว่มู่จือถอนหายใจไม่หยุด ไยหนนี้ต้องมาเจอท่านทูตแบบนี้
หลินอวี่ก็ไม่สบอารมณ์เช่นกัน ที่ต้องเอาชื่อเสียงตระกูลโอวหยางมาขู่อีกฝ่ายก็เป็เื่ที่ช่วยไม่ได้ ยังไงเสียนางก็ถูกขับไล่ออกมาจากตระกูลนั้นมาแล้ว
เมื่อยามราตรีเข้าปกคลุม เยียนหลิงซานยังคงไม่ได้กลับไปพักที่จวนเ้าเมือง เขากำลังเสพสุขอยู่ในอ้อมกอดสาวงาม
หญิงสาวที่สวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นกลุ่มหนึ่งกำลังรินสุราและร้องเพลงให้เยียนหลิงซานฟัง ทันใดนั้นสีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนสี เขาบอกให้ทุกคนถอยออกไป
“ใครกันทำตัวลับๆ ล่อๆ ถ้าไม่ยอมเผยตัวออกมา อย่ามาโทษว่าข้าไม่เกรงใจ!”
เยียนหลิงซานมองไปรอบๆ แล้วกล่าวออกมาด้วยเสียงเฉียบแหลม
“ไม่เจอหน้ากันหลายปีเลยนะ เ้าสามตระกูลเยียน เ้าสวมหนังสุนัขของจักรวรรดิั้แ่เมื่อไหร่กัน?”
ปรากฏร่างที่ซ่อนใบหน้าอยู่ภายใต้ชุดคลุมสีดำในมุมมืดหนึ่ง
“เฮยฉานฉู่ เ้ากล้ามาก ถึงกับกล้าปรากฏตัวในจักรวรรดิเทียนอวี่!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้