เซี่ยยวี่หลัวออกจากเซียนจวีโหลวก็ไปฮวาหม่านยีทันที
ครั้งก่อนคุยกับฮวาเหนียงไว้ว่าให้ช่วยไปสืบข้อมูลเกี่ยวกับเถ้าแก่ห้องหนังสือซานเว่ย ฮวาเหนียงก็ช่วยสืบมาให้แล้ว
เถ้าแก่ห้องหนังสือซานเว่ยแซ่หลิ่วนาม ‘สวินเหมี่ยว’ ชื่อรองซานเว่ย ไม่ใช่คนเมืองโยวหลัน ได้ยินว่าพาภรรยาของเขามาจากต่างถิ่นภรรยานาม ‘โม่หยุนโหรว’ ตั้งครรภ์อยู่ ทั้งสองคนเคยไปตัดเสื้อและซื้อผ้าจากร้านฮวาหม่านยีโม่หยุนโหรวงามสง่าดูใจกว้าง อ่อนโยนและวางตัวเหมาะสม มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็ลักษณะของคุณหนูจากตระกูลร่ำรวยและสูงศักดิ์
ส่วนหลิ่วสวินเหมี่ยวเองก็เป็สุภาพบุรุษถ่อมตนอิริยาบถเหมือนบัณฑิตดูสง่างาม เป็คนอ่อนโยนมาก
ถือเป็ผู้ร่วมงานที่ดีมากทีเดียว
“ฮวาเหนียง รบกวนท่านช่วยหาชุดบุรุษให้ข้าสักชุดได้หรือไม่ข้าอยากออกไปทำธุระข้างนอก! ” จะไปขายตำรา ต้องไปในฐานะอื่น จะให้คนอื่นรู้ว่าตนเองเป็สตรีไม่ได้
“ต้องได้แน่นอน ร้านข้าก็เป็ร้านขายเสื้อผ้าเสื้อที่เหมาะกับรูปร่างของเ้าก็มีอยู่ เ้ารอก่อน ประเดี๋ยวข้าเอามาให้! ”
ฮวาเหนียงออกไปทันที ผ่านไปเพียงครู่เดียวนางก็ยกชุดบุรุษเข้ามาหนึ่งชุด
เสื้อเป็ชุดจีนทรงตรงสีน้ำเงินเข้มหลังจากเซี่ยยวี่หลัวเปลี่ยนชุด และรวบผมขึ้น เมื่อออกมาฮวาเหนียงก็มองด้วยแววตาแข็งทื่อ
“หากเ้าเป็บุรุษและข้าเกิดช้ากว่านี้สักยี่สิบปี ข้าจะร้องไห้โวยวายขู่จะผูกคอตายเพียงเพื่อให้ได้แต่งกับเ้า!” ฮวาเหนียงแสดงสีหน้าตกตะลึงในรูปโฉมของนาง
ยามแต่งหญิงก็ดึงดูดสายตาเหล่าบุรุษยามแต่งชายก็ดึงดูดความสนใจจากสตรี เรียกว่ากินเรียบทั้งชายหญิงอย่างแท้จริง!
เพราะใบหน้านี้ช่างดูดีเหลือเกิน!
เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกเก้อเขิน
เป็ครั้งแรกที่ได้ฟังสตรีกล่าววาจาเช่นนี้
ฮวาเหนียงเองก็ไม่ได้ถามว่าเซี่ยยวี่หลัวจะไปทำอะไรเพียงส่งเซี่ยยวี่หลัวออกทางด้านหลัง เซี่ยยวี่หลัวออกจากฮวาหม่านยี ก็ตรงไปยังห้องหนังสือซ่านเว่ย
เทียบกับร้านหนังสือซิงหลงที่มีผู้คนเดินขวักไขว่ภายในห้องหนังสือไม่มีลูกค้า มีเพียงบุรุษผู้หนึ่งที่สวมชุดผ้าฝ้ายสีเทากำลังจะเรียงตำราบนชั้นวางอยู่กระดิ่งตรงประตูโบกพลิ้วตามสายลม ขณะเซี่ยยวี่หลัวเข้าไป ทำให้กระดิ่งสั่นพอดี เกิดเสียง“กรุ๊งกริ๊ง” ไพเราะเสนาะหู
หลิ่วสวินเหมี่ยวหันมามองทางประตูแววตาก็เต็มไปด้วยประกายตกตะลึงในรูปโฉมของนาง
เพียงเห็นบุรุษผู้หนึ่งที่สวมชุดทรงตรงสีน้ำเงินเข้มเดินเข้ามาจากด้านนอกอายุประมาณสิบห้าหรือสิบหกปี ตัวสูงสง่า รูปร่างสูงโปร่งดูดี เส้นผมสีดำประหนึ่งหยกดำรวบไว้สูงคิ้วยาวดุจใบหลิว โก่งโค้งราวยอดเขาในฤดูใบไม้ผลิ ดวงตาใสบริสุทธิ์ประหนึ่งน้ำใสในฤดูใบไม้ร่วงหางตาชี้ขึ้นเล็กน้อย แฝงเร้นด้วยอารมณ์และเสน่ห์ที่ไม่อาจอธิบายได้
ชุดสีน้ำเงินเข้มที่สวมใส่ขับให้ใบหน้าเกลี้ยงเกลาดุจหยกดูเด่นขึ้นดั่งเครื่องกระเบื้องชิ้นงามขาวเนียนเงางาม บุรุษผู้นี้มีใบหน้างดงามกว่าสตรีเสียอีก!
งดงามจนไม่อาจละสายตา
ยังดีที่หลิ่วสวินเหมี่ยวก็เป็คนที่เคยผ่านเหตุการณ์ใหญ่มาก่อนจึงกลับสู่สภาวะปกติอย่างรวดเร็ว “คุณชายจะซื้อหนังสือหรือขอรับ? ”
เซี่ยยวี่หลัวส่ายหน้า“ท่านคือเถ้าแก่ห้องหนังสือซานเว่ยงั้นหรือ? ”
บุรุษผู้นั้นพยักหน้า รู้สึกประหลาดใจ“ขอรับ ข้าน้อยหลิ่วสวินเหมี่ยว ชื่อรองซานเว่ย คุณชาย้าพบข้าน้อยหรือขอรับ? ”
เซี่ยยวี่หลัวแย้มรอยยิ้ม“ใช่ ข้า้าพบท่าน! ”
เวลานี้ในร้านไม่มีลูกค้าพอดีหลิ่วสวินเหมี่ยวได้ยินว่าเซี่ยยวี่หลัว้าพบตนเอง ก็รู้สึกประหลาดใจ “คุณชายมีธุระอะไรหรือไม่? ”
เซี่ยยวี่หลัวเหลียวซ้ายแลขวา“ข้ามีธุระ้าคุยกับเถ้าแก่อย่างละเอียด เถ้าแก่จะช่วยหาสถานที่ดีๆ เพื่อคุยกันได้หรือไม่? ”
ถึงแม้หลิ่วสวินเหมี่ยวจะสงสัยในเจตนาของเซี่ยยวี่หลัวแต่เห็นว่านางไม่ใช่คนไม่ดี หลังจากแง้มประตูไว้ จึงเชิญเซี่ยยวี่หลัวนั่งลงตรงมุมหนึ่งในห้องหนังสือ“คุณชายมาหาข้าน้อยมีธุระอันใดงั้นหรือ? ”
เซี่ยยวี่หลัวมองดูการจัดวางของในห้องหนังสือตำรา้าจัดเรียงอย่างเป็ระเบียบ บนนั้นไม่มีฝุ่นแม้แต่น้อย พอจะดูออกว่าเ้าของที่จัดวางพวกมันเอาใจใส่ดูแลอย่างดี
“ท่านหลิ่วเป็คนเรียนหนังสือใช่หรือไม่? ” เซี่ยยวี่หลัวเอ่ยถาม
หลิ่วสวินเหมี่ยวเผยรอยยิ้ม“แค่ชอบอ่านตำราเท่านั้น ยังไม่เคยสอบเพื่อรับตำแหน่งใดๆ ”
“ฟังคำพูดคำจาของท่านหลิ่วดูเหมือนจะไม่ใช่คนในท้องที่? ”
หลิ่วสวินเหมี่ยวพยักหน้า“ข้าเป็คนต่างถิ่น รู้สึกว่าเมืองโยวหลันงดงามผู้คนจิตใจดี จึงมาเปิดร้านหนังสือ คิดจะอยู่สักสองปี”
เซี่ยยวี่หลัวมองดูตำราที่หมึกยังไม่แห้งซึ่งวางอยู่บนโต๊ะรวมถึงตำราที่เขียนเสร็จแล้ว ริมตัวเล่มมีการลงนามไว้ จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “พวกนี้ล้วนเป็ตำราที่ท่านหลิ่วเขียนงั้นหรือ? ”
หลิ่วสวินเหมี่ยวหันมองไปทางตำราบนโต๊ะกล่าวด้วยท่าทางถ่อมตน “เพียงเขียนบันทึกการเดินทางและประสบการณ์ในยามว่าง หาใช่ผลงานที่จะเชิดหน้าชูตาได้”
ตัวอักษรบนกระดาษเขียนด้วยพู่กันดูมีพลังเป็ตัวหนังสือกว่านเก๋อตามแบบฉบับ เท่าที่ดู อย่างน้อยก็เคยเรียนหนังสือมาก่อน และน่าจะเรียนมาไม่น้อยทีเดียว
เซี่ยยวี่หลัว “กิจการของท่านหลิ่วไม่ค่อยดีนักเคยคิดจะขายตำราที่ร้านหนังสืออื่นไม่มีหรือไม่? ”
หลิ่วสวินเหมี่ยวยิ้มด้วยสีหน้าจนใจ“ร้านหนังสือซิงหลงเปิดในเมืองโยวหลันมานาน มีรากฐานและเส้นสายมากกว่าข้านัก อีกทั้งข้าเพิ่งเคยทำงานด้านนี้หากเป็ตำราที่แม้แต่ร้านหนังสือซิงหลงยังไม่อาจซื้อได้ เช่นนั้นทางข้า...”
เขาเพียงเผยรอยยิ้มบางไม่ได้กล่าววาจาต่อจากนั้น เซี่ยยวี่หลัวย่อมเข้าใจดี
“เช่นนั้นหากมีตำราเช่นนั้นสักหนึ่งเล่มมีเพียงร้านท่านเท่านั้นที่มีเล่า? ” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มพร้อมหยิบซีโหยวจี้ที่เขียนเสร็จแล้วออกมาจากแขนเสื้อตัวเอง ก่อนยื่นส่งให้
หลิ่วสวินเหมี่ยวผงะไปไม่กล้ารับของในมือนาง
“คุณชาย นี่คือ...”
เซี่ยยวี่หลัวเพียงนำเนื้อเื่สิบสองถึงสิบสามบทแรกให้หลิ่วสวินเหมี่ยว
“นี่คือนิทานที่สหายคนหนึ่งของข้าเป็คนเขียนหากท่านหลิ่วมีเวลา มิสู้ลองอ่านดู”
เมื่อหลิ่วสวินเหมี่ยวเห็นตัวอักษรซีโหยวจี้ สามตัวที่อยู่ตรงปก ตัวอักษรดูสง่าและทรงพลังประหนึ่งัเหินหงส์บินร่อนดูออกว่าเป็ลายมือของบุรุษ เขารีบรับมาอย่างอดรนทนไม่ไหว
เมื่อพลิกเปิดหน้าปก ยามเห็นหน้าแรกเบื้องลึกแววตาเขาก็ฉายประกายตกตะลึง
ช่างเป็ตัวอักษรที่งดงามนัก!
หลังจากเขาอ่านนิทานจนจบในคราเดียวเขายังรู้สึกไม่หนำใจ จึงเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น “ข้ายังไม่เคยอ่านนิทานที่น่าสนใจถึงเพียงนี้มาก่อนคุณชายบอกว่านี่เป็นิทานที่สหายของท่านเขียนงั้นหรือ? ได้เขียนเื่ราวหลังจากนั้นไว้หรือไม่? ”
เซี่ยยวี่หลัวพยักหน้า“นิทานทั้งหมดอยู่ในหัวของเขา ขอเพียงมีเวลา เขาสามารถเขียนออกมาได้ทันที”
หลิ่วสวินเหมี่ยวตื่นเต้นจนทนไม่ไหวมือถึงกับสั่นเทิ้ม “หากหนังสือเล่มนี้สามารถเปิดเผยสู่สายตาผู้คน ต้องได้รับความนิยมไปทั่วต้าเยว่แน่นอน”
เซี่ยยวี่หลัวย่อมรู้ว่าหนังสือเล่มนี้ได้รับความนิยมแน่ต้องรู้ว่า สุดยอดวรรณกรรมทั้งสี่ไม่ได้มีดีแค่ชื่อ! มันโด่งดังไปทั่วโลกเลยทีเดียวเซี่ยยวี่หลัวไม่เชื่อว่าจะไม่สามารถทำให้ผู้คนในต้าเยว่เล็กๆ นี้ชื่นชอบ
“ในเมื่อท่านหลิ่วคิดว่ามันจะได้รับความนิยมเช่นนั้นเรามาคุยเื่ร่วมงานกันเถอะ! ” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวอย่างหนักแน่น
“คุณชาย้าร่วมงานกันอย่างไร? ” หลิ่วสวินเหมี่ยวไม่อาจฝืนสะกดความตื่นเต้นได้ จึงพูดโพล่งออกมา “คุณชายกล่าวมาได้เลยขอเพียงเป็สิ่งที่ข้ารับปากได้ ข้าจะรับปากทั้งหมด! ”
ต่อให้ต้องแลกด้วยทรัพย์สินทั้งหมดที่เขามีเขาก็จะตอบตกลง