รถม้าเดินทางทั้งวันทั้งคืน ในตอนเที่ยงของวันต่อมาจึงเข้าใกล้เมืองโซ่วหลิง
ภายในรถม้าที่คุ้มกันโดยกลุ่มองครักษ์เกราะหนัก หลี่อวิ๋นหังมองวิวทิวทัศน์นอกเมืองโซ่วหลิงนอกหน้าต่างผ่านม่านที่ยกขึ้น ชาวเมืองออกและเข้าเมืองอยู่เต็มริมถนน ยังมีพ่อค้าแม่ค้าแผงลอยตั้งแผงซื้อขายสินค้าที่มาจากูเาหรือจำพวกหนังสัตว์ ผู้ที่ขี่ม้า เดินเท้าหรือนั่งรถต่างก็หยุดพักเท้าที่หน้าร้านน้ำชา บรรยากาศเป็ไปอย่างครึกครื้น
ใบหน้าของหลี่อวิ๋นหังเ็า สีหน้าปรากฏความอ้างว้างอยู่เล็กน้อย
เขาออกจากโซ่วหลิงเมื่ออายุห้าปีกว่าๆ หลังอายุสิบสี่ปี เกรงว่าเวลานี้นับเป็ครั้งแรกที่ได้กลับมา
เจียงเฉิงเยว่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตยามที่ออกจากสถานที่นี้เป็ครั้งแรกหรือไม่ หรือว่าในใจกังวลเื่หลังจากกลับไปที่วัง...เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะจับมือที่วางบนเข่าและงออยู่เล็กน้อยของหลี่อวิ๋นหัง
ฝ่ามือของหลี่อวิ๋นหังเย็นอยู่บ้าง อีกฝ่ายหันมามองเขาอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
เจียงเฉิงเยว่ปลอบโยนด้วยรอยยิ้มน้อย “ไม่ต้องกังวล...เสด็จพี่อยู่เคียงข้างเ้าเสมอ”
หลี่อวิ๋นหังตกตะลึงก่อนยกยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นพลิกมือแล้วกางฝ่ามือออกเพื่อประสานนิ้วทั้งสิบให้แน่น ใช้น้ำเสียงออดอ้อนเล็กน้อยตอบอย่างอ่อนหวาน “ตกลง”
หลังจากเข้ามาในเมืองก็มีราชองครักษ์รออย่างเคารพอยู่ ทหารจากศาลาว่าการเปิดทาง ต้อนรับองค์ชายทั้งสองพระองค์เข้าสู่พระราชวังอย่างยิ่งใหญ่ เหล่าองค์ชายที่อยู่ในเมืองโซ่วหลิงต่างเข้าแถวที่ประตูพระราชวังเพื่อต้อนรับองค์ชายใหญ่ของพวกเขา เจียงเฉิงเยว่กับหลี่อวิ๋นหังลงจากราชรถทีละคน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทักทายและสนทนากันอย่างสุภาพอยู่พักหนึ่ง
เจียงเฉิงเยว่จากโซ่วหลิงไปสามปี ภายในเวลาสามปีเหล่าน้องชายของเขายกเว้นองค์ชายรองกับองค์ชายสามที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก คนที่เหลือต่างโตขึ้นไม่น้อย รูปลักษณ์เริ่มฉายชัดขึ้น เหล่าข้าราชบริพารล้วนอดไม่ได้ที่จะมาเตือนข้างหูเขาอย่างใกล้ชิด เพื่อให้องค์รัชทายาทหลีกเลี่ยงการเรียกนามของน้องชายแท้ๆ ของตนเองผิด และนี่กลับลดความยุ่งยากให้กับเจียงเฉิงเยว่ผู้เป็ตัวปลอมนี้ได้อย่างดี
สามปีนี้ในจดหมายที่โต้ตอบกันของเจียงเฉิงเยว่กับเสด็จพ่อมักกล่าวถึงหลี่อวิ๋นหัง รวมกับที่เขามีพร์เหนือผู้ใด ราชครูจึงอดไม่ได้ที่จะยกย่ององค์ชายห้าต่อหน้าจักรพรรดิ เวลานี้ หลี่อวิ๋นหังกำลังจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ เหล่าคนในวังจึงปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพมากกว่ายามเด็ก อย่างน้อยภายนอกก็เรียกอย่างสุภาพว่า ‘เสด็จพี่’ หรือ ‘น้องชาย’ อย่างสนิทสนม
หลี่อวิ๋นหังเก็บนิสัยด้านที่ออดอ้อนต่อหน้าเจียงเฉิงเยว่กับอารมณ์ขี้หงุดหงิดเหมือนกับตอนแรกที่พบกับเจียงเฉิงเยว่เข้าไป เขาทั้งถ่อมตนอย่างเคารพและเว้นระยะห่างอย่างเหมาะสม สุภาพมีมารยาท ทำให้ผู้คนหาจุดบกพร่องไม่ได้แม้แต่น้อย
หลังจากผ่านพิธีรีตองมากมายเรียบร้อยแล้ว องค์รัชทายาทจึงเดินจากเหล่าน้องชายไปยังห้องบรรทมของเสด็จพ่อภายใต้การนำของขันทีฝ่ายใน ตลอดทางเขาสอบถามอย่างละเอียดจึงรู้ชัด หลายวันก่อนไม่ทราบว่าจักรพรรดิทรงงานหนักเกินไปใน่นี้หรือว่าพิโรธในท้องพระโรง เมื่อกลับไปยังห้องทรงอักษรเพื่ออ่านฎีกากลับเป็ลมหมดสติไปอย่างกะทันหัน คนในพระราชวังต่างก็แหงนหน้า ม้ากลับพลิกคว่ำ1 ใน่เวลาสั้น จักรพรรดิล้มหมอนนอนเสื่ออยู่หลายวัน เพราะเกรงว่าตนเองที่ประชวรหนักกับองค์รัชทายาทที่อยู่นอกโซ่วหลิงจะไม่ได้พบหน้ากันเป็ครั้งสุดท้าย จึงรีบร้อนเรียกตัวเจียงเฉิงเยว่กลับมา ณ ตอนนี้ หลังจากพักผ่อนไม่กี่วัน อาการประชวรของจักรพรรดิจึงค่อยๆ ทุเลา ภายหลังแพทย์หลวงตรวจดูแล้วไม่ใช่ปัญหาร้ายแรงอะไร นี่เป็เพียงการตื่นตูมโดยใช่เหตุ ถึงอย่างนั้นเพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัย แพทย์หลวงจึงกำชับให้พระองค์พักรักษาตัวสองสามวันจึงจะหายดี
เจียงเฉิงเยว่ลูบที่หน้าอก ไม่ว่าจะพูดอย่างไร หลังจากจักรพรรดิวางมือ การเปลี่ยนยุคสมัยสุดท้ายจะยิ่งเป็ปัญหาใหญ่สำหรับเขาที่เป็องค์ชายรัชทายาทตัวปลอมผู้นี้ แม้ว่าจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้หรือว่าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงช้ายิ่งดี ถึงอย่างไรยามกลับมา เขารู้สึกยินดีจากใจจริงที่ท่านพ่อคนนี้ของตนเองไม่เป็อะไร
เมื่อเข้ามาในห้องบรรทม เขาพาน้องชายโขกศีรษะทำความเคารพเสด็จพ่อสองสามครั้ง จักรพรรดิเรียกบุตรชายทั้งสองของตนให้เดินมาข้างหน้า เจียงเฉิงเยว่นั่งข้างบนเตียงคนป่วย จับฝ่ามือที่ผอมแห้งและขาวซีดของบิดาที่ยื่นมา เผยความเ็ปในดวงตาอย่างเลี่ยงไม่ได้ จากนั้นเอ่ยเรียกด้วยเสียงแ่ “เสด็จพ่อ”
เจียงเฉิงเยว่ยามที่ยังมีชีวิตอยู่ก่อนหน้านี้ บิดาของตนเองนั้น...ยากที่จะอธิบายจริงเชียว แม้ว่าจะเป็ตัวปลอมที่เก็บท่านพ่อคนนี้มาได้ แต่ความรักที่ิจงมีต่อตนเองผู้เป็บุตรชายคนโตผู้นี้...คือความรักอย่างแท้จริง หากไม่รักคงไม่ถึงขั้นทำให้หลี่อวิ๋นเฉินตัวจริงถูกคนเ่าั้อิจฉาริษยาจนต้องคำสาปชั่วร้ายเช่นนั้น
นิสัยของหลี่อวิ๋นเฉินตัวจริงเขาพอเข้าใจ นิสัยที่อ่อนไหวง่ายและขี้ระแวง เหมือนกับนกที่ใคันธนู2 อันที่จริงแล้วโทษเขาไม่ได้ สุดท้ายแล้วการอยู่ในตำแหน่งสูงส่งที่ผู้คนจำนวนมากให้ความสนใจ มีดวงตามากมายจับจ้อง ผู้คนมากมาย้าแทนที่...เพราะอย่างนั้นระหว่างสเด็จพ่อผู้เป็จักรพรรดิ แม้ว่าจะมีสายสัมพันธ์บิดากับบุตร แต่กลับผสมปนเปกับปัจจัยอื่นอีกมากมาย ถูกวังหลังและท้องพระโรงที่มีเื่ราวและผู้คนมากมายบาดหมางจนเจือจางลง
หลังจากที่เจียงเฉิงเยว่รับ่ต่อร่างนี้เขาไม่ต้องหวั่นเกรงอะไรมากมาย จะอย่างไรสุดท้ายแล้วเขาก็เป็าาผีระดับหัวหน้า หากกลัวกลอุบายของมนุษย์ธรรมดาเหล่านี้คงเป็ที่ขบขันน่าดู ดังนั้นสามปีกว่านี้จึงได้รับความรักจากทางไกลของเสด็จพ่อผู้เป็จักรพรรดิอย่างวางใจ หากไม่กล่าวถึงสิ่งอื่น การที่จักรพรรดิส่งเขาไปที่เขาฉีหวนในนามของการพักฟื้น ความจริงแล้วคงเพื่อปกป้องเขาให้อยู่ห่างไกลจากข้อพิพาทในราชสำนักและผู้ทรยศที่ทำร้าย ด้วยความปรารถนาดีนี้นับว่าไม่ใช่สิ่งที่เหล่าองค์ชายคนอื่นๆ ที่อยู่ในโซ่วหลิงจะมีได้ ดังนั้น...ความรู้สึกที่เจียงเฉิงเยว่มีต่อท่านพ่อของตนเอง...จึงยังมีความผูกพันอยู่หลายส่วน....เวลานี้เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวไร้ชีวิตชีวาโดนทรมานจากความเจ็บป่วย ในใจจึงเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
จักรพรรดิตรัส “กลับมาก็ดี...”
่เวลานี้เจียงเฉิงเยว่ซึ่งเป็องค์รัชทายาทมีความเชี่ยวชาญมากขึ้น คำศัพท์ใดนับวันกลับยิ่งพูดได้คล่องปาก เขาจับมือท่านพ่อของตนเองด้วยมือทั้งสองข้าง สีหน้าเศร้าหมองพลางกล่าวอย่างสะอึกสะอื้น “ลูกอกตัญญู...ที่ไม่อาจอยู่รับใช้ข้างกายเสด็จพ่อ ยังดีที่เป็การตื่นตูมไปเท่านั้น เสด็จพ่อลำบากเสียแล้ว”
จักรพรรดิส่ายศีรษะ ดวงตามีน้ำคลอก่อนตรัสเสียงทุ้ม “ในเมื่อกลับมาแล้ว...ก็อยู่ต่อหลายวันหน่อยเถอะ...”
เจียงเฉิงเยว่ตอบรับ “พ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสองคนพูดคุยอย่างส่วนตัวอีกสองประโยค ก่อนที่จักรพรรดิจะก็มองไปทางหลี่อวิ๋นหังที่ยืนอยู่ด้านหลังเจียงเฉิงเยว่ เรียกเขาให้เข้ามาใกล้
เจียงเฉิงเยว่รีบออกจากตำแหน่งด้านหน้าเตียงผู้ป่วย ดึงหลี่อวิ๋นหังไปข้างหน้าแล้วกล่าว “เสด็จพ่อ...นี่คืออาหัง...”
หลี่อวิ๋นหังทำความเคารพ
จักรพรรดิเพียงจ้องใบหน้าของหลี่อวิ๋นหังเท่านั้น หลังจากนิ่งค้างไปครู่หนึ่งจึงพยักหน้า สีหน้าเผยให้เห็นความรู้สึกผิดอยู่หลายส่วน เป็เวลานานจึงตรัส “เหมือน...เหมือนจริงเชียว” จักรพรรดิตรัสต่อ “อาหัง...เ้าโตแล้ว ค่อนข้างเหมือนกับมารดาของเ้าจริงเชียว”
หลี่อวิ๋นหังตกตะลึงไปชั่วขณะ ราวกับไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร
จักรพรรดิตรัสอีกครั้ง “หลายปีมานี้...เ้าได้รับความไม่เป็ธรรมแล้ว”
หลี่อวิ๋นหังรีบกล่าว “ลูกมิกล้า”
จักรพรรดิถอนหายใจ กำชับคนทั้งสองอยู่สองสามประโยค ข้าราชบริพารที่อยู่ข้างกายหยุดการสนทนาระหว่างบิดากับบุตรที่เรียบง่ายใน่เวลาอันสั้นในครั้งนี้ ด้วยเหตุผลว่าจักรพรรดิจำเป็ต้องพักผ่อน องค์ชายทั้งสองที่เดินทางมาอย่างลำบากลำบนย่อมจำเป็ต้องพักผ่อนเช่นกัน
หลังออกจากห้องบรรทมของจักรพรรดิแล้ว ทั้งสองคนไปยังตำหนักต่างๆ โดยการนำของข้าราชบริพาร
ก่อนหน้านี้ยามเจียงเฉิงเยว่ยังอยู่ในโซ่วหลิง เขาอยู่ในวังตะวันออกมาโดยตลอด แม้ว่าองค์รัชทายาทที่เป็ผู้ใหญ่แล้วจะต้องย้ายออกจากพระราชวังเพื่อเปิดศาลาว่าการและสร้างจวน แต่เพราะก่อนหน้านี้เขาสุขภาพไม่ดี ป่วยออดแอดเสมอ จักรพรรดิจึงอนุญาตให้เขาพักอยู่ในวังตะวันออกได้ ภายหลังไปที่เขาฉีหวน ตอนนี้กลับมาแล้วจึงยังคงอยู่ที่เดิม
สำหรับหลี่อวิ๋นหัง เขาฝึกฝนนอกวังั้แ่เด็ก และยามนี้ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ตามรับสั่งของจักรพรรดิจึงให้เขารับวังหลินเฉวียนที่มารดาของเขาเคยอยู่พำนักชั่วคราว
สำหรับองค์ชายคนอื่นๆ ตำหนักของผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่างก็อยู่ใกล้กับมารดาของตน เมื่อบรรลุนิติภาวะจึงออกจากพระราชวังแล้วสร้างจวนของตนเอง โดยเฉพาะองค์ชายรองหลี่อวิ๋นซิน ผู้ที่ขนาบข้างไปด้วยสนมหลายคน
ด้วยเหตุนี้ การกลับโซ่วหลิงเป็เวลาหลายวัน สองคนที่ถูกผูกมัดด้วยมารยาทในราชสำนักจึงไม่อาจสนิทสนมเฉกเช่นก่อนหน้านี้ที่อยู่ในวิหารหลิงเซียวบนเขาฉีหวน จำนวนครั้งที่พบหน้ากันแทบนับนิ้วได้
เดิมทีเจียงเฉิงเยว่ไม่ได้อะไร แต่ในที่สุดความเคยชินที่ถูกบ่มเพาะไว้ค่อยๆ ออกมา เวลาไม่ได้เจอหลี่อวิ๋นหังค่อนข้างจะปรับตัวไม่ได้อยู่เล็กน้อย รวมกับพิธีรีตองในราชสำนัก ข้าราชบริพารและเสนาบดีที่ช่างประจบสอพลอและมีกลยุทธ์เ่าั้ต่างเข้ามารายล้อมไม่ยอมปล่อย ทำให้เขารู้สึกรำคาญอย่างยิ่ง
ครึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา เมื่อเห็นว่าคืนเดือนดับกำลังจะมาถึง เดิมทีเจียงเฉิงเยว่ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ครั้งนี้หากใช้ข้ออ้างกลับไปโซ่วหลิงย่อมสามารถสิ้นสุดข้อบังคับที่ให้อาหังมานอนด้วยทุกเดือนใน่คืนเดือนดับ แต่กลับไม่คาดคิดว่ายิ่งใกล้คืนเดือนดับมากเท่าไร ในใจของเขายิ่งกระวนกระวายมากขึ้นเท่านั้น
หลายวันมานี้ตนเองยุ่งวุ่นวายจนลืมอาหัง...ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็อย่างไรบ้าง?
หลังจากนึกถึงสีหน้าที่ค่อนข้างกังวลยามเพิ่งเข้าสู่โซ่วหลิงในเวลานั้น ในใจของเจียงเฉิงเยว่พลันเ็ป สุดท้ายแล้วเด็กคนนี้ไม่ได้กลับมาที่โซ่วหลิงเป็เวลานาน เกรงว่าสรรพสิ่งจะยังอยู่แต่คนไม่มีแล้ว เพียงชั่วยามเดียวอาจรับไม่ไหว...หรือว่าจะทิ้งอีกฝ่ายและไม่สนใจไยดี?!!
วันที่ยี่สิบเก้าของเดือน เจียงเฉิงเยว่นอนพลิกไปพลิกมาบนเตียงในห้องนอนของตนเอง
ความมีเหตุผลได้บอกกับเขาว่านี่เป็โอกาส โอกาสที่จะผิดสัญญากับอีกฝ่ายซึ่งนอนเตียงเดียวกันใน่คืนเดือนดับ...ความยุ่งเหยิงที่ถาโถมอยู่ในใจทำให้เขาสับสนอย่างไม่รู้จบ
หลังจากนั้นเป็เวลานาน เขานอนไม่หลับ หากคิดดูแล้วยังคงรู้สึก ไม่อย่างนั้น...เื่ที่จะผิดสัญญา...หรือว่า...เอาไว้วันหลังดีกว่ากระมัง? อย่างน้อยรอจนกว่าเดือนนี้จะสิ้นสุดลง สุดท้ายแล้วเดือนนี้นับเป็เดือนพิเศษสำหรับหลี่อวิ๋นหัง หากตนเองทิ้งและไม่สนใจอีกฝ่ายเช่นนี้ อาจทำให้คิดฟุ้งซ่านอย่างเลี่ยงได้ยาก
อืม...ข้าแค่เป็ห่วงเขา จึงยกเว้นเดือนนี้ก็เท่านั้น!
หลังจากโน้มน้าวตนเองเช่นนี้แล้ว เจียงเฉิงเยว่ไม่อาจทนอยู่ได้อีกต่อไปจึงะโขึ้นจากเตียง ใช้กลอุบายเดิมแปะยันต์ล่องหนให้กับตนเอง จากนั้นทิ้งให้ข้าราชบริพารคิดว่าเขาเข้านอนแล้ว ออกจากวังไปยังวังหลินเฉวียนที่หลี่อวิ๋นหังอยู่
เขาเดินอ้อมข้าราชบริพารที่คุ้มกันเข้าไปในวิหารหลัก รีบใช้ยันต์ล่องหนของตนเองก่อนพลิกหน้าต่างเพื่อเข้าไป หลี่อวิ๋นหังนั่งคุกเข่าในห้องโถงอย่างเรียบร้อย กำลังพลิกอ่านหนังสือบางเล่มอยู่ เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวแปลกๆ จึงหันศีรษะมาสบตากับเจียงเฉิงเยว่ ก่อนที่ทั้งสองจะตกตะลึง
เจียงเฉิงเยว่ยิ้มแล้วพูด “อาหัง...ยังไม่นอนอีกหรือ?”
หลี่อวิ๋นหังกำลังคุกเข่าตัวตรงที่ด้านข้างโต๊ะ ถือม้วนหนังสือกำลังอ่าน เมื่อได้ฟังเขากระตุกมุมปากเล็กน้อย กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ ข้ารอท่านอยู่”
เจียงเฉิงเยว่นิ่งค้าง ความรู้สึกอบอุ่นผุดขึ้นในหัวใจ หัวใจดวงน้อยพลันมีเสียง ‘ตึกตัก’ อย่างสูญเสียจังหวะอีกครั้ง...เขาสาปแช่งตนเองอย่างลับๆ แสร้งเดินไปอย่างเป็ธรรมชาติ นั่งตรงข้ามกันแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “หากข้าไม่มาเล่า?”
หลี่อวิ๋นหังชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง ดวงตามีความไม่พอใจอยู่เล็กน้อย ทว่าสีหน้าบนใบหน้ายังคงเฉยเมย เบ้ปากนิดหน่อยก่อนตอบอย่างโกรธเคือง “ก็รอจนกว่าจะมา...”
เจียงเฉิงเยว่ปิดปากยิ้ม คิดในใจว่าท่าทางเคร่งขรึมและมีมารยาทที่เ้าแสร้งทำต่อหน้าคนนอกเล่า? เขาไม่ได้เปิดเผยความในใจออกไป ทว่าก้มศีรษะมองไปที่กองม้วนหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างมืออีกฝ่าย “เ้าอ่านอะไรอยู่?”
หลี่อวิ๋นหังกล่าว “ไม่มีอะไรน่าสนใจ แค่พลิกไปตามใจเท่านั้น”
เจียงเฉิงเยว่พูดด้วยรอยยิ้ม “อย่าให้เป็หนังสืออ่านเล่นอย่าง ‘บันทึกเื่ประหลาด’ ประเภทนั้นอีกเล่า ตอนนี้เ้ากำลังอยู่ใน่เวลาสำคัญของการเลื่อนขั้น ระวังข้าจะกลับไปฟ้องอาจารย์!”
หลี่อวิ๋นหังชำเลืองมองเขาอย่างเฉยเมยแวบหนึ่ง
อันที่จริงแล้ว เสด็จพี่ของเขาผู้นี้ที่มีวรรณกรรมเหนือธรรมชาติหรือแม้กระทั่งพกม้วนบันทึกเื่เล่าไม่เคยห่างจากมือในทุกๆ วัน ไม่มีคุณสมบัติที่จะสอนเขาในเื่นี้ เจียงเฉิงเยว่หยิบม้วนหนังสือขึ้นมาอย่างลวกๆ แล้วพลิกเปิด จากนั้นจ้องอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นพบว่าเป็การเล่าเื่ราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่แตกต่างออกไปของราชวงศ์ นับได้ว่าเป็จำพวก ‘หนังสืออ่านเล่น’ จึงเริ่มสนใจในทันที ราวกับว่าตนจับเปียเล็กๆ ของหลี่อวิ๋นหัง เขาจงใจยิ้มแล้วพลิกไปยังจุดเริ่มต้นของบท ในขณะเดียวกันก็อ่านออกเสียงเบาๆ ‘กุ้ยเฟย4 ‘ แซ่สวีของจักรพรรดิเซียงของซีเฉียนจากฮุยโจว ในรัชศกจิ้นตี้ปีที่ 15...” จู่ๆ นึกอะไรขึ้นได้ รอยยิ้มบนหน้าของเขาหายไปทันทีอย่างสิ้นเชิ้งแล้วรีบหยุดด้วยเสียง ‘พรึ่บ’ จากการปิดม้วนหนังสืออย่างกะทันหัน ใบหน้าซีดลง
หลี่อวิ๋นหังใกับเสียงนี้ ทั้งเห็นสีหน้าของเขาที่แปลกออกไปจึงหันศีรษะมองอย่างแปลกใจ
ใบหน้าของเจียงเฉิงเยว่ขาวซีด เป็เวลานานจึงยกมุมปากขึ้นอย่างฝืนใจ เขานำม้วนหนังสือที่ปิดอยู่ในมือวางกลับไปอย่างระมัดระวัง แสร้งทำเป็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “สองวันนี้ข้าถูกเสด็จพ่อเรียกไปคอยดูและรับใช้อยู่ข้างกายขณะที่เขาหารือเื่การเมือง...ยังดีที่เป็การตรวจสอบแบบสุ่มให้ข้าอภิปรายเื่การเมืองกับเสนาบดีเ่าั้ พวกเขาใครเป็ใครบ้าง ใครรับผิดชอบอะไรบ้างข้าก็ไม่รู้แน่ชัด ทำได้เพียงหลับตาลง...ไม่รู้ว่าถูกโกรธหรือไม่ พรุ่งนี้พอดีกับเป็วันหยุดราชการด้วย ข้าจึงไม่ต้องไป” เจียงเฉิงเยว่ยืดเอวอย่างเกียจคร้าน “์! นับว่าอนุญาตให้ข้าหายใจได้เปราะหนึ่ง”
หลี่อวิ๋นหัง “...”
ในความเป็จริงแล้วเจียงเฉิงเยว่รู้ว่าเขากำลังพูดกับตนเอง ดังนั้นจึงไม่พร้อมหากอีกฝ่ายพูดแทรก เมื่อพูดจบก็แสร้งทำท่าทางง่่วงงุนด้วยการหาว ก่อนหันไปหาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ไม่พูดถึงเื่น่าเบื่อพวกนี้แล้ว...พวกเราไปนอนกันดีหรือไม่?”
หลังกล่าวจบ เขาไม่รอการตอบสนองใดของหลี่อวิ๋นหัง รีบลุกขึ้นราวกับหลบหนี หมุนตัวไปยังห้องนอนในวังหลินเฉวียน ทว่าเพิ่งเดินไปไม่เกินสองหรือสามก้าวพลันได้ยินหลี่อวิ๋นหังที่อยู่ด้านหลังเรียกด้วยเสียงแ่ “เสด็จพี่...”
เจียงเฉิงเยว่หยุดฝีเท้าชั่วคราว หันศีรษะไปมอง
หลี่อวิ๋นหังยังคงคุกเข่านั่งตัวตรง จากนั้นหันศีรษะมามองเขา พูดด้วยใบหน้าจริงจัง “ไม่ว่าเสด็จพี่จะเลือกอย่างไร...ข้าจะอยู่เคียงข้างเสด็จพี่”
------------------------
[1] ต่างก็แหงนหน้า ม้ากลับพลิกคว่ำ เป็สำนวน หมายถึง โกลาหลวุ่นวาย
[2] นกที่ใคันธนู เป็สำนวน หมายถึง คนที่ใง่ายเพราะฝังใจกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น
[3] กุ้ยเฟย หมายถึง ชายาเอก
