บทที่ 120 คนป่าอวิ๋นชู
นับั้แ่เสวี่ยหรูเยียนตกลงให้ฉู่อวิ๋นได้เข้าร่วมกลุ่มนักรบหญิงกลุ่มนี้ เขาก็ใช้ชื่อปลอมว่า “อวิ๋นชู”
ระหว่างทางทุกคนต่างก็ได้วัตถุิญญามาไม่น้อย เมื่อพอใจทุกคนก็เตรียมกลับบ้าน รถม้าแล่นผ่านป่าที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบยา วัตถุิญญา และอัญมณี
ทุกคนตื่นเต้นมากเพราะการเดินทางครั้งนี้ เป็การเก็บเกี่ยวที่ยอดเยี่ยม หลังจากกระแสสัตว์ปีศาจครั้งใหญ่หมดไป ทรัพยากรในดินแดนแห่งจิติญญาก็เกิดขึ้นมากมาย ทำให้นักรบหญิงเหล่านี้พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
แม้ว่าฉู่อวิ๋นจะไม่ตื่นเต้นมากนัก แต่เขาก็มีนิสัยอ่อนโยนและเต็มใจที่จะช่วยเหลือกลุ่ม เขาเข้าไปมีส่วนร่วมกับสาวๆ อย่างรวดเร็ว
เขามีดวงตาคมเข้มที่ชัดเจน คิ้วคมหนาที่หนักแน่น แต่งกายด้วยเสื้อผ้าชาวป่าที่เผยให้เห็นร่างกายแข็งแรงกำยำ เผยถึงจิติญญาลูกผู้ชาย แม้จะอายุยังน้อย แต่ผู้หญิงบางคนที่เดินทางไปกับเขาก็เริ่มให้ความสนใจ
แน่นอนว่าฉู่อวิ่นรู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่ควรสนิทสนมกับคนเหล่านี้มากเกินไป เพราะพวกเขาอาจกลายเป็ศัตรูกันในอนาคต
หลังจากที่ออกเดินทาง เขาพยายามรักษาระยะห่างจากทุกคน ทำให้ผู้หญิงเ่าั้รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ
แต่สิ่งที่ฉู่อวิ๋นไม่รู้ก็คือทัศนคติที่บางครั้งก็เป็มิตรและบางครั้งก็เฉยเมยของเขา ดึงดูดสายตาแปลกๆ จากผู้หญิงบางคน
อย่างเช่นสวี่ยหรูเยียน
“กุบ-กับ-กุบ-กับ-”
รถม้าศึกเคลื่อนตัวไปข้างหน้า เสียงกีบดังและทรงพลัง และพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองชุยเสวี่ย
แต่ในใจกลางรถม้าที่หรูหรา สาวงามนางหนึ่งกลับดูมืดมน มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย
“หรูเยียน เ้าคิดอะไรอยู่? ยังกังวลเกี่ยวกับเื่ของสระิญญาอยู่หรือ?” หนิงซิ่วที่คุ้นเคยกับเสวี่ยหรูเยียนถามด้วยรอยยิ้ม
“ป้าหนิง ท่านพูดเื่อะไรน่ะ? ไม่อยู่แล้ว!” เสวี่ยหรูเยียนมองหนิงซิ่วด้วยความใ จากนั้นใช้มือหยกลูบคางของตนเบาๆ และรีบมองไปยังผืนป่าที่อยู่ห่างออกไปนอกหน้าต่าง
เมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงซิ่วก็ยิ้มสดใสยิ่งขึ้นและหยอกล้อ “ฮ่าๆ ข้าเข้าใจแล้ว เ้าคงจำกฎของตระกูลเสวี่ยได้แล้วกระมัง? หรือเ้าคิดที่จะแต่งงานกับเด็กป่าคนนั้นเพราะร่างกายถูกเปิดเผยจริงๆ?”
มีกฎบางข้อที่ไม่ได้บันทึกไว้ของตระกูล คือ ตราบใดที่หญิงในตระกูลคนใดเปลือยเปล่า ไม่ว่าอย่างไร นางจะต้องแต่งงานกับชายคนนั้น
แม้ว่ากฎข้อนี้จะเลือนหายไปตามกาลเวลา แต่หากผู้เฒ่าในตระกูลรู้เื่นี้เข้า พวกเขาต้องจะปฏิบัติตามอย่างแน่นอน
ในฐานะแม่บ้านและผู้พิท้กษ์ส่วนตัวของเสวี่ยหรูเยียน หนิงซิ่วรู้ดีถึงความร้ายแรงของสถานการณ์นี้ นางจึงบอกนักรบหญิงทุกคนว่าอย่าได้หลุดปากเปิดเผยเื่นี้ออกไป
แต่นางไม่เข้าใจว่าทำไมเสวี่ยหรูเยียนถึงยังมองฉู่อวิ๋นในแง่ดีอยู่? ไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ
ทั้งสองเคยพบกันเพียงครั้งเดียว แต่ถึงกระนั้น หนิงซิ่วก็ไม่เชื่อว่าเสวี่ยหรูเยียนจะตกหลุมรักฉู่อวิ๋นั้แ่แรกพบ
เพราะในแง่ของรูปลักษณ์ ภูมิหลัง และอารมณ์ ไม่ว่าจะมองในแง่ใดก็ตาม คนป่าอวิ๋นชูในชุดเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งผู้นี้ ค่อนข้างแตกต่างจากคนที่มีความสามารถเ่าั้
ในเวลานี้เสวี่ยหรูเยียนก็หันหน้ามามอง ดวงตาของนางเป็ประกาย และหัวเราะเบาๆ “ป้าหนิง ท่านไม่เห็นหรือ? ชายหนุ่มที่ชื่ออวิ๋นชูคนนั้นไม่ธรรมดาเลย”
“ไม่ธรรมดาหรือ?” หนิงซิ่วตกตะลึง ส่ายหัวแล้วพูดว่า “แม้ว่าเด็กคนนั้นจะรับหมัดของข้าได้ แต่ข้าแทบจะไม่ใช้แรงอะไรเลย นี่คงเป็แค่ความบังเอิญ คนป่าในขอบเขตควบแน่นพลังปราณจะแข็งแกร่งได้แค่ไหนกัน?
ดวงตาของเสวี่ยหรูเยียนหรี่ลงเล็กน้อย ปากเล็กๆ ของนางยกยิ้ม และพูดเบาๆ “ป้าหนิง ท่านเอาแต่คิดเื่หยุมหยิมในตระกูลมาตลอดจนกลายเป็คนน่าเบื่อไปแล้ว ชายหนุ่มคนนี้ไม่มีทางธรรมดา ข้าอยู่ในสระ มองเห็นชัดเจน”
“หรือว่าหรูเยียน เ้ามีความคิดอื่นอยู่?” หนิงซิ่วถาม
“แน่นอน” เสวี่ยหรูเยียนปิดปากหัวเราะเบาๆ ดวงตาของนางกะพริบและเอ่ยว่า “ก่อนอื่น ชายหนุ่มคนนี้อ้างตัวว่าเป็คนป่า ไม่ว่าเขาจะโกหกหรือไม่ แต่เขาสามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีของนักรบหญิงขั้นมหาสมุทรและรับหมัดของป้าหนิงได้ทั้งที่ตนเองอยู่ในขอบเขตควบแน่นพลังปราณ มันจะเป็ความบังเอิญได้อย่างไร?”
“ประการที่สอง อวิ๋นชูบอกว่าเขาอาศัยอยู่ในป่าสีเื แต่ท่านและข้าต่างก็รู้ว่ากระแสสัตว์ปีศาจในป่าสีเืเพิ่งสิ้นสุดลง แถมเขาสามารถหลบหนีออกมาได้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงกับบอกว่าเขากำลังจะไปชมเมืองชุยเสวี่ย นี่เป็เื่ที่น่าสนใจไม่น้อย”
“สาม…” ณ จุดนี้ น้ำเสียงของเสวี่ยหรูเยียนดูโกรธเล็กน้อย นางกัดริมฝีปากก่อนจะพูดว่า “เขาเห็นร่างกายของข้าแล้วแต่ยังเฉยเมยได้! เขาเป็พระอิฐพระปูนหรือ? นี่มันน่ารำคาญเกินไปแล้ว! ป้าหนิง ท่านคิดว่าข้าแย่ขนาดนั้นเลยหรือ?!”
หนิงซิ่วหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “คุณหนูเสวี่ยของข้าย่อมงดงามเหนือผู้ใด ไม่เช่นนั้นคราก่อนนี้จะดึงดูดอัจฉริยะมากมายให้มาไล่ตามได้อย่างไร?”
“ดังนั้น...” เสวี่ยหรูเยียนยกยิ้มอย่างภาคภูมิใจ นั่งตัวตรงแล้วพูดว่า “อวิ๋นชูผู้นี้ไม่ใช่แค่คนป่าอย่างแน่นอน เขาอาจเป็อัจฉริยะจากตระกูลที่มีอำนาจในสมัยโบราณ คราวนี้เขามาที่เมืองชุยเสวี่ยเพื่อหาประสบการณ์!"
“อะไรนะ!? อวิ๋นชูเป็ทายาทของตระกูลโบราณ!?” หนิงซิ่วใจนร่างกายสั่นเทา ทันใดนั้น นางก็รู้สึกว่าคำพูดนี้ดูสมเหตุสมผล!
“ถูกต้อง!” เสวี่ยหรูเยียนพยักหน้ายืนยัน ดวงตาของนางเป็ประกาย “เราจะปล่อยให้คนที่มีพร์อันทรงพลังเช่นนี้หลุดมือไปได้อย่างไร? พวกเราต้องสานสัมพันธ์กับเขาให้ดี ไม่ละเลยเขาเด็ดขาด ถ้ามีคนได้เขาตัดหน้าเราไปก็คงแย่แน่!”
“ถ้าพวกเราสามารถผูกมิตรกับตระกูลโบราณได้ อำนาจของตระกูลชุยเสวี่ยของเราจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น! ป้าหนิง ท่านคิดว่าข้าจะปล่อยให้เขาตามข้าเข้าเมืองมาเฉยๆ หรือ? หรูเยียนย่อมคิดอ่านอย่างรอบคอบไว้ก่อนแล้ว”
“เช่นนี้นี่เอง!” หนิงซิ่วเบิกตากว้าง พยักหน้าและพูดว่า “พูดเช่นนี้แล้ว พวกเราก็ต้องจับเขาไว้ให้ได้!"
“แน่นอน และอีกอย่าง...” เสวี่ยหรูเยียนหรี่ตาลง รอยยิ้มของนางมั่นคง และพูดอย่างจริงจัง “อวิ๋นชูคนนี้เห็นเรือนร่างของข้าแล้ว เขาจะรอดพ้นจากเงื้อมมือของข้าไปได้อย่างไร?”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา อุณหภูมิในรถม้าก็ลดลงทันที มันหนาวสั่นไปถึงกระดูก
“หากอวิ๋นชูเป็เด็กอัจฉริยะของตระกูลโบราณจริงๆ นี่ย่อมดีที่สุดที่จะพัฒนาตระกูล ข้า... ข้ายังสามารถตกลงปลงใจแต่งงานกับเขาได้ เพราะอย่างไรเสีย...พวกเราก็เปลือยกายมองหน้ากันแล้วในสระิญญา
“แต่ว่า ถ้าเขาโกหก...” ดวงตาของเสวี่ยหรูเยียนเริ่มเ็าขึ้น นางพูดเบาๆ “เพื่อป้องกันไม่ให้เขาเผยแพร่ข่าวและทำลายความบริสุทธิ์ของข้า เราทำได้เพียง... ฆ่าเขาเสีย”
หลังจากพูดจบ เสวี่ยหรูเยียนก็หยุดพูดและเผยสีหน้าหยิ่งยโส นางลูบคางอันบอบบางและมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า ปล่อยให้หนิงซิ่วตกตะลึงอยู่นาน
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง หนิงซิ่วก็พูดอย่างเ็า “วางใจเถอะ หากพิสูจน์ได้ว่าเขาโกหก ข้าย่อมลงโทษเขาแน่นอน”
“กุบ-กับ-กุบ-กับ-”
เสียงกีบม้าดังกึกก้องกลบบทสนทนาในรถม้าคันงาม ราวกับคลื่นอันร้ายแรง พวกนางยังคงควบม้าต่อไป
“ฮัดเช้ย!”
“เป็หวัดจากสระิญญาหรือ? พลังปราณไฟหยางไม่ได้แย่ขนาดนั้นกระมัง? ต้านทานลมหนาวเย็นไม่ได้เลย” ในรถม้าอีกคัน ฉู่อวิ๋นจามพลางเช็ดจมูกและพึมพำด้วยเสียงต่ำ
“เหอะๆ เ้าหนู เ้าอารมณ์สุนทรีย์ดีนี่ ข้าควรจะชมหรือด่าเ้าดี?” โยวกู่จือพูดอยู่ในวงแหวนอวกาศ น้ำเสียงของเขาดูแปลกๆ ราวมีนัยบางอย่าง
“ผู้าุโ ท่านอยากพูดอะไร?” ฉู่อวิ๋นหลับตาและเอนตัวไปที่ด้านข้างของรถม้า เล่นกับผ้าหนังสัตว์พลางกระซิบถาม
“เ้าไม่เห็นหรือว่ารถม้าคันนี้รายล้อมไปด้วยนักรบหญิง? ข้าไม่คิดว่าพวกนางทุกคนจะหลงรักเ้าหรอกนะ” โยวกู่จือกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉู่อวิ๋นก็ระบายยิ้มจางๆ บนริมฝีปาก และปิดหน้าครึ่งหนึ่งด้วยผ้าคลุมหน้า
ทันใดนั้น ใบหน้าของเขาก็จริงจังขึ้นและเอ่ยว่า “ผู้น้อยไม่ใช่คนโง่ ข้ารู้ว่าพวกนางกำลังสอดแนมข้าอยู่"
โยวกู่จือพูดอย่างนึกสนุก “โอ้? แล้วเหตุใดเ้าถึงยังไปกับพวกนางล่ะ? หรือเ้าโลภในร่างกายของสาวนางนั้นหรือ? ฮิๆ”
“จะเป็ไปได้ยังไง?! ไม่ใช่อยู่แล้ว” ฉู่อวิ๋นส่ายหัวอย่างเด็ดเดี่ยว “ตระกูลชุยเสวี่ยเป็ตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชุยเสวี่ย และเสวี่ยหรูเยียนก็เป็หนึ่งในทายาทของตระกูลนี้ ขอเพียงแค่ติดตามนาง ข้าเชื่อว่าจะหาพี่หญิงเจอได้เร็วขึ้น”
“และข้าก็ไม่แปลกใจที่พวกนางจะระแวงข้า ตราบใดที่ข้ายังปลอมตัวเป็คนป่าจากป่าสีเื ให้พวกนางระวังตัวไว้ก็ไม่เป็ไร”
ขณะที่พูด ฉู่อวิ๋นก็ขมวดคิ้ว กำหมัดแน่นและเผยสีหน้าเคร่งขรึม เขาเริ่มครุ่นคิดถึงแผนการข้างหน้าอย่างรอบคอบ
เขารู้ดีว่าหลังจากเข้าไปในเมือง หาก้าทำอะไรสักอย่างก็คงต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะไม่ว่าจะเป็กระบี่ชื่อยวนหรือวิชากระบี่ดาวตกต่างก็ไม่อาจเปิดเผยออกมา ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็จะรู้ตัวตนและจับกุมเขาได้ง่าย
ในเวลานี้ เมืองชุยเสวี่ยเป็สถานที่ของผู้แข็งแกร่ง แม้ว่าพลังของฉู่อวิ๋นจะเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังด้อยกว่าสัตว์ปีศาจโบราณบางตัวมาก
หลังจากข้ามป่าสีเืไปจนสุดทางแล้ว ฉู่อวิ๋นก็ไม่ใช่ชายหนุ่มโง่เขลาที่ไม่เข้าใจอะไรอีกต่อไป เขารีบร้อนลนลานอย่างสุดกำลัง ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าหาก้าช่วยเหลือฉู่ซินเหยาให้สำเร็จ เขาจะต้องระมัดระวังทุกย่างก้าว
ตอนนี้ เขาโชคดีมากที่ได้พบกับเสวี่ยหรูเยียน หากสามารถตามหาฉู่ซินเหยาผ่านนางและช่วยเหลือนางได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็น ย่อมเป็ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ดังนั้น ฉู่อวิ๋นจึงต้องรับบทเป็ “คนป่าอวิ๋นชู” ต่อไปโดยไม่ให้จับได้
“แต่ว่านะเ้าหนู เ้าพันหน้าเสียขนาดนี้ ไม่กลัวว่าคนอื่นจะสงสัยในตัวตนของเ้าหรือ? ข้าเห็นข้ายังอยากจะหัวเราะเลย!” โยวกู่จือเหลือบมองฉู่อวิ๋นที่ดูเหมือนขโมยขโจรและถามด้วยรอยยิ้ม
ฉู่อวิ๋นกลอกตาและพูดด้วยความโมโห “ข้าไม่อาจให้คนรู้ตัวตนได้นี่ นี่เป็เพียงวิธีการแก้ปัญหาชั่วคราว หลังจากเข้าเมืองแล้ว ข้าย่อมต้องสวมหน้ากากอยู่แล้ว”
“อีกอย่างข้าก็บอกแม่บ้านหนิงและคนอื่นๆ ไปว่านี่เป็วัฒนธรรมดั้งเดิมของชนเผ่าชาวป่าของข้า หลังจากเข้าเมืองแล้วข้าต้องปิดหน้า นี่แสดงถึงความเคารพต่อเทพเ้าของข้า พวกนางคงจะไม่สงสัย”
“นี่มันธรรมเนียมอะไรกัน?! เ้าเด็กนี่พูดจาไร้สาระ!” โยวกู่จือหัวเราะ
“ในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว เราไม่พูดเื่ไร้สาระสักหน่อยแล้วจะได้รับความไว้ใจได้อย่างไร? ผู้าุโโยว ในฐานะผู้แข็งแกร่งเมื่อพันปีก่อน เช่นนั้นแนะนำวิธีอื่นได้หรือไม่เล่า?”
ฉู่อวิ๋นพูดติดตลก กางมือผ่อนคลาย ปล่อยให้โยวกู่จือพูดไม่ออก เขาคิดวิธีอื่นไม่ได้จริงๆ
“ตึง--”
ในขณะที่หนึ่งคนหนึ่งิญญากำลังสนทนากัน แผ่นดินก็สั่นะเื ได้ยินเสียงดังอึกทึก แรงกดดันเพิ่มสูงขึ้น
ทุกคนหยุดกะทันหันและแลดูระมัดระวัง
“ป้าหนิง เกิดอะไรขึ้น?” เสวี่ยหรูเยียนถามด้วยความตื่นตระหนก
“คงจะเป็พวกขโมยม้าที่คอยซุ่มโจมตีอยู่ใกล้ๆ โง่เขลานัก! กล้ามาขวางทางตระกูลเสวี่ยของเรา!” หนิงซิ่วพูดด้วยใบหน้าบูดบึ้ง จากนั้นก็เปิดม่านรถม้าแล้วเดินไปที่หน้ากลุ่มอย่างมุ่งมั่น
“ตูม!”
เสียงกีบม้าดังราวกับฟ้าร้อง พื้นดินสั่นะเื เสียงอึกทึก และลมพัดกระโชก สถานที่แห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายสังหารอันรุนแรง
“อาฮู้ว~ ผู้หญิงหรอกหรือนี่?!”
“ทุกคนบุกไปพร้อมกัน! ล้อมรอบผู้หญิงพวกนี้ไว้! ฮ่าๆ!”
ชั่วเวลาถัดไป พร้อมกับเสียงะโอันเย่อหยิ่งของชายคนหนึ่ง ม้าศึกก็วิ่งเข้ามาทีละตัว ฝุ่นควันกระจัดกระจายไปทั่วทุกแห่ง
อาวุธต่างๆ เปล่งประกายด้วยแสงเย็นเยียบ และในทันใดนั้น กลุ่มโจรชายฉกรรจ์และม้าก็ล้อมรอบเสวี่ยหรูเยียนและกองกำลังอย่างแ่า หยิ่งผยองอย่างยิ่ง