ท้องนาที่เจิ้งสยารับผิดชอบอยู่ข้างๆ เจิ้งหยวน เธอทำงานคล่องแคล่วว่องไว ดูชำนาญเป็อย่างมาก ครู่เดียวก็เกี่ยวส่วนของตัวเองเสร็จแล้วมาช่วยเจิ้งหยวนต่อ
เจิ้งหยวนเหลือบมองเธอพลางเอ่ยขึ้น “ขอบคุณนะพี่เสี่ยวสยา”
ใบหน้าเจิ้งสยาตากแดดจนมีรอยไหม้ ขึ้นสีแดดเป็จ้ำๆ คอที่อยู่นอกร่มผ้าก็แดงก่ำไม่ต่างกัน เธอเรียกเจิ้งหยวนเสียงแ่เบา “เสี่ยวหยวน…”
เจิ้งหยวนร้องรับเสียงหนึ่งแล้วมองเธอ ครั้นรอสักพัก ก็ได้ยินเสียงเธอเรียกอีกครั้ง “เสี่ยวหยวน” เจิ้งสยาทำท่าลังเลเหมือนอยากจะพูดบางอย่าง ซึ่งเจิ้งหยวนเดาว่าเธอคงอยากพูดเกี่ยวกับการแต่งงานกับสกุลเฝิง แม้เื่นี้ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งจะเป็ต้นเหตุ และเจิ้งสยาเองก็ไม่มีหน้าที่จัดการกิจการใดในบ้าน หรือมีสิทธิ์มีเสียงใด แต่ในฐานะสมาชิกครอบครัวคนหนึ่ง เธอต้องรู้เห็นด้วยอย่างแน่นอน อันที่จริงแล้วเจิ้งหยวนไม่ได้ใส่ใจเจิ้งสยาเสียเท่าไรนัก ซ้ำตอนเด็กยังเคยเล่นด้วยกัน ถึงโตมาจะไม่ค่อยสนิทสนมดังเก่า แต่สุดท้ายก็เป็ลูกพี่ลูกน้องหญิงของตนอยู่ดี แถมลึกๆ แล้วเธอค่อนข้างเห็นใจเจิ้งสยาที่บังเอิญมีแม่อย่างป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งด้วย เธอจึงเอ่ยถามบ้าง “พี่เสี่ยวหยา มีอะไรเหรอ”
เจิ้งสยายังคงทำหน้ากระอักกระอ่วน
เห็นดังนั้น เจิ้งหยวนจึงแย้มยิ้มบางเบา พลางนึกในใจ บางทีพี่เสี่ยวสยาอาจจะคิดว่าป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งทำตัวน่าละอายเกินไป ถึงรู้สึกผิดจนพูดไม่ออก
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสี่ยวสยาจึงยอมเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจออกมา “เสี่ยวหยวน เธอได้โปรดช่วยฉันหน่อยนะ…”
มือที่กำลังเกี่ยวข้าวของเจิ้งหยวนพลันหยุดชะงักจนเกี่ยวข้าวไม่ขาดในฉับเดียว จำต้องตัดอีกรอบแล้วหันหน้ามาถาม “หมายความว่ายังไงกัน? ฉันช่วยอะไรพี่ได้เหรอ?”
“ก็... ก็เื่การแต่งงานกับสกุลเฝิง…” เจิ้งสยาเห็นคนรอบข้างล้วนอยู่ห่างจากพวกเธอ จึงเริ่มพูดด้วยเสียงอ้อมแอ้ม “เธอยกให้ฉันเถอะ…”
“ฮะ?” เจิ้งหยวนเกือบจะคิดว่าเธอเวียนหัวจากการตากแดดร้อนจัดจนหูฝาดไป เธอจ้องเจิ้งสยา “เมื่อกี้พี่พูดอะไรนะ?”
เจิ้งสยาเลียริมฝีปาก น้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย เธอไม่กล้าสบตาเจิ้งหยวนตรงๆ จึงก้มหน้าก้มตาพูด “การแต่งงานกับสกุลเฝิงนั่น…” เธอเงียบไปอึดใจหนึ่งและพยายามเอ่ยอ้อนวอนอีกครั้ง “หากไม่อาจแต่งเข้าสกุลเฝิง แม่ของฉันจะขายฉันให้คนพิการแซ่หลิวน่ะ”
เจิ้งหยวนคาดไม่ถึงจริงๆ เธอนึกว่าเื่นี้เป็ความ้าของป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งฝ่ายเดียวเสียอีก หากเจิ้งสยายังมีความละอายสักนิดคงไม่จับจ้องแต่งงานของเธอหรอก ไม่คิดเลยว่าเจิ้งสยาเองจะเห็นด้วยเหมือนกัน?
ครั้นเห็นเจิ้งหยวนไม่พูดไม่จา เจิ้งสยายิ่งกระวนกระวายใจมากขึ้น หากเป็เื่อื่น เธออาจจะไม่กล้าเอ่ยปากขอ แต่การแต่งงานถือเป็เื่ใหญ่ที่เกี่ยวพันตราบจนชั่วชีวิต แถมเธอยังเคยพบเฝิงเจี้ยนเหวินผู้เป็ว่าที่คู่หมั้นของเจิ้งหยวน ผู้ชายคนนั้นตัวสูงใหญ่ ทั้งยังเป็ทหาร มองแวบเดียวก็รู้ว่าคือคู่ครองที่ดีคนหนึ่ง หากได้แต่งเข้าสกุลเฝิง เธอคงไม่ต้องทนลำบากมากมายอีก นานๆ ครั้งเธอจะดิ้นรนต่อสู้เพื่อบางเื่ให้ตัวเอง ดังนั้น เลยรวบรวมความกล้าทั้งหมดแล้วพูดกับเจิ้งหยวน “เสี่ยวหยวน เธอหน้าตาสะสวยขนาดนี้ ต่อไปอยากหาคู่แบบไหนก็หาได้ทั้งนั้น แต่ฉันไม่ใช่ หากไม่อาจแต่งเข้าสกุลเฝิง ฉันต้องแต่งให้คนพิการแซ่หลิว เธอรู้จักคนพิการแซ่หลิวใช่ไหม เขา... เขาอายุสามสิบกว่าแล้ว แถมยังพิการ นิสัยก็ไม่ดีนัก ถ้าฉันแต่งไป ชีวิตคงจบเห่… ฉะนั้น…” เธอเงยหน้ามองเจิ้งหยวน บนใบหน้าดำคล้ำปรากฏแววขี้ขลาด เว้าวอนปนเปกับความแน่วแน่ “การแต่งงานของสกุลเฝิงนั่น เธอยกให้ฉันนะ... ได้ไหม?”
เจิ้งหยวนวางกองข้าวสาลีที่เกี่ยวเรียบร้อยไว้ด้านข้าง ก่อนหัวเราะเยาะอย่างเหยียดหยามพลางบอก “บ้านคนพิการแซ่หลิวนั่นให้สินสอดเท่าไร?” ไม่ต้องถามเธอก็รู้ ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งไม่มีทางสนใจว่านิสัยใจคอของคนแซ่หลิวเป็อย่างไร แต่ต้องเห็นแก่เงินที่คนเขาเสนอมาถึงยอมขายลูกสาวกินแน่นอน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้