ฮ่องเต้เสด็จ!
ฮวารั่วซีลุกขึ้นยืนด้วยความตกตะลึง ผ้าเช็ดหน้าของนางตกลงบนพื้น เท้าของนางเหยียบย่ำด้วยท่าทีลนลาน นางรู้สึกผิด ทว่ายังคงแสร้งทำเป็สงบนิ่งพร้อมทำความเคารพตามปกติ
ซ่งอี้เฉินที่เพิ่งออกว่าราชการเสร็จ ก็รีบเสด็จมาที่ตำหนักเฟิ่งชัยโดยไม่ทราบสาเหตุ ทว่าเขากลับผิดหวัง นางกำนัลได้รายงานว่าเหยียนอู๋อวี้ไปที่ตำหนักิ่ซิ่วและเขารู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ
เมื่อเดินเข้ามาถึงลานในตำหนักกลับพบร่างหนึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้ ภาพตรงหน้าที่เห็นทำให้จิตใจของเขารู้สึกสั่นไหวขึ้นมาทันใด
โดยไม่สนใจฮวารั่วซีที่ยังคงทำความเคารพอยู่ เขาก้าวเดินไปหยุดยืนข้างกายของเหยียนอู๋อวี้
“เกิดเื่อันใดขึ้น?” น้ำเสียงนั้นเ็าราวกับน้ำแข็งนับพันปี
เหยียนอู๋อวี้พยายามควบคุมสติที่เหลือเพียงน้อยนิด เอ่ยตอบด้วยท่าทีนอบน้อมว่า “หม่อมฉันทำให้ซูเฟยขุ่นเคือง หม่อมฉันสมควรถูกลงโทษเพคะ”
น่าเสียดายที่ซ่งอี้เฉินไม่ฟังคำพูดของนางเลย เขากวาดสายตามองไปทางป้าโฉ่วแล้วกล่าวต่อไปว่า “เ้าพูดเสีย!”
ป้าโฉ่วไม่อยากเห็นเหยียนอู๋อวี้ต้องทนทุกข์เช่นนี้ นางจึงหมอบลงกับพื้นและอธิบายทุกอย่างทันที
หลังจากได้ฟังเื่ราวทั้งหมดสีหน้าของซ่งอี้เฉินพลันเคร่งขรึมขึ้นทันที “เ้าใจแคบกับผู้อื่นถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
ฮวารั่วซีทำความเคารพและยังไม่ทันลุกขึ้น หลังได้ยินคำพูดเหล่านี้จึงรีบคุกเข่าลงกับพื้นทันทีและกล่าวอย่างมั่นใจว่า “หม่อมฉันดูแลตำหนักหลัง และทุกอย่างก็เป็ไปตามกฎ ดังคำโบราณที่ว่า บ้านมีกฎบ้าน เมืองมีกฎเมือง ในตำหนักหลังจึงไม่อาจปล่อยปละละเลยไปมากกว่านี้ได้อีกแล้วเพคะ!”
นางยืดตัวและเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความคับข้องใจและความสับสนราวกับเด็กดื้อรั้น
“หือ?” ซ่งอี้เฉินเอ่ยตอบด้วยท่าทีเฉยเมยโดยใช้น้ำเสียงย้อนถามที่ชัดเจน
ฮวารั่วซีรู้ว่าหากเหยียนอู๋อวี้มีสถานะพิเศษภายในใจของซ่งอี้เฉิน นางอาจถูกลงโทษั้แ่เขาเดินเข้ามาแล้ว ทว่าเขามิได้ทำอันใดเลย มิได้ทำอันใดเลย นอกเสียจากถามคำถามเช่นนี้และเหยียบใบหน้านางให้อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา!
นางมองซ่งอี้เฉินไม่ออกและไม่เข้าใจเขามากขึ้นเรื่อยๆ
“หากเป็ดั่งที่เ้าว่า เช่นนั้นข้าควรเลื่อนสถานะที่สูงกว่านี้ให้อวี้เอ๋อร์ใช่หรือไม่ เช่นนั้นแล้วนางก็จะไม่ถูกเ้ากดขี่อีกต่อไป”
ขณะที่ซ่งอี้เฉินเอ่ย เขารีบหันกลับไปออกคำสั่งกับเว่ยหรูไห่ซึ่งอยู่ด้านข้างเขาว่า “ร่างพระราชโองการ เหยียนอู๋อวี้เป็ผู้มีคุณธรรมและมีจิตใจที่บริสุทธิ์ มีอุปนิสัยซื่อตรงและเป็นางในดวงใจของข้า แต่งตั้งเป็เป่าหลิน[1] ขั้นหก......”
ราชโองการนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกตกตะลึง ในเวลาเพียงไม่กี่วัน เป็เพียงแค่ซิ่วหนี่ว์ได้รับการเลื่อนขั้นหลายระดับ จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็เป่าหลินขั้นหก นี่ถือเป็เกียรติยศใหญ่หลวงยิ่งนัก! กลับกันหากเป็ผู้อื่นคงต้องร้องไห้คร่ำครวญ ส่งเสียงขอบพระทัยในพระเมตตาของฮ่องเต้ ทว่านางกลับนิ่งเงียบไร้ซึ่งคำกล่าวใด ได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและหมดสติไป
เมื่อเห็นร่างบางหายใจรวยริน กลับยิ่งทำให้ซ่งอี้เฉินรู้สึกเ็ปใจ
ทันใดนั้นเขาพลันคิดถึงความโศกเศร้าเสียใจขณะที่อวี๋นอู๋เหยียนล้มลงเสียชีวิตต่อหน้าเขาในครานั้น
เหยียนอู๋อวี้ที่อยู่ด้านหน้าเขาดูไม่คล้ายเหยียนอู๋อวี้ ทว่ากลับคล้ายกับอวิ๋นอู๋เหยียนที่ใบหน้าค่อยๆ ซีดขาวในวันนั้น
ภายในใจของซ่งอี้เฉินคล้ายมีบางสิ่งกำลังพังทลาย เขาไม่สนใจฮวารั่วซีที่มองมาด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เขารีบอุ้มร่างเล็กบอบบางนั้นไว้ในอ้อมแขน ร่างบอบบางที่เย็นเฉียบทำให้เขารู้สึกสับสนจึงออกคำสั่งไปว่า “เรียกหมอหลวง!”
คำสั้นๆ เพียงสามคำ ทว่าผู้คนต่างรับรู้ได้ถึงความโกรธที่รุนแรง เว่ยหรูไห่ไม่กล้าลังเล เขารีบวิ่งไปสำนักหมอหลวงอย่างรวดเร็ว
ซ่งอี้เฉินอุ้มเหยียนอู๋อวี้เดินผ่านฮวารั่วซีซึ่งยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นพลางกล่าวว่า “ซูเฟย ครั้งที่แล้วเื่วางยาพิษ เป็แผนการของเ้าหรือไม่นั้น! เ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ! เื่เมื่อวานนี้ ข้าจะตรวจสอบให้ชัดเจนว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่!”
ร่างของฮวารั่วซีแทบแตกสลาย นางพลันล้มลงไปนอนกองกับพื้นทันที
เชิงอรรถ
[1] เป่าหลิน เป็ชื่อลำดับชั้นของนางสนมในพระราชวัง เริ่มใช้ในสมัยฮ่องเต้หยางแห่งราชวงศ์สุย มีสนมเป่าหลินอยู่ทั้งหมดยี่สิบสี่คน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้