เข้าเยี่ยมไม่ได้?!
เซี่ยเสี่ยวหลานออกเดินทางจากปักกิ่งมาั้แ่เช้าตรู่ เพื่อเดินทางมายังมณฑลจี้เป่ย
ลงรถไฟเพื่อเปลี่ยนรถที่สือเจียจวง เธอมาหาโจวเฉิงด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง แต่ทางวิทยาลัยกลับบอกว่าเข้าเยี่ยมไม่ได้ ถึงขนาดไม่ยอมเรียกโจวเฉิงให้ออกมาเจอเธอที่หน้าประตูด้วยซ้ำ เซี่ยเสี่ยวหลานทำใจยอมรับลำบากเหลือเกิน
“สหาย ฉันเดินทางมาตั้งไกล ขอเจอเขาที่หน้าทางเข้าสักครั้งก็ได้ คุยกันแค่ไม่กี่ประโยคได้หรือไม่”
อย่าว่าแต่สาวสวยอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานเลย ปกติแล้วขนาดยุงตัวเมียยังไม่ยอมให้เข้าง่ายๆ อย่างไรก็ตามเวลาเซี่ยเสี่ยวหลานขอร้องคนอื่นช่างดูน่าสงสารเหลือเกิน หากใจไม่แข็งพอคงหวั่นไหวกับเธอโดยง่ายอย่างแน่นอน
จุดยืนของผู้คุมหน้าทางเข้านั้นหนักแน่นมาก เขาไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อความงามสตรี และส่ายหน้าตอบกลับไปว่า
“ขอโทษด้วย นี่เป็ข้อบังคับ!”
ข้อบังคับย่อมไม่มีการอะลุ่มอล่วย
บอกว่าห้ามเจอก็คือเจอไม่ได้ หากเป็เื่ใหญ่คอขาดบาดตายอาจจะพอทำให้ระดับหัวหน้าของวิทยาลัยยอมยืดหยุ่นได้บ้าง
เซี่ยเสี่ยวหลานใช้ไม้อ่อนไม่สำเร็จ และคงไม่อาจใช้บุหรี่ติดสินบนเหมือนที่เคยทำกับเหล่าจ้าว ยามเฝ้าหน้าโรงเรียนเซี่ยนอีจง อยู่ที่นี่ใช้ลูกไม้พวกนั้นไม่มีทางสำเร็จ และเซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้แก่โจวเฉิงด้วยเช่นกัน
เช่นนั้นแสดงว่าจะไม่ได้เจอหน้ากันอย่างนั้นหรือหรือ?
เซี่ยเสี่ยวหลานเดินวนไปวนมาอยู่หน้าทางเข้า พลางคิดว่าจะมีนักศึกษาคนอื่นออกมาหรือไม่ เผื่อเธอจะได้ถามไถ่ข่าวคราวของโจวเฉิงบ้าง
เธอรออยู่ตรงประตูทางเข้าหนึ่งชั่วโมงกว่า กว่าจะเห็นใครสักคนเดินผ่านมา แต่เพิ่งจะเอ่ยปาก เ้าหน้าที่ก็เชิญเธอกลับอย่างมีมารยาท... สหายหญิงหน้าตาสะสวยผู้นี้เดินวนไปวนมาอยู่หน้าทางเข้า ช่างทดสอบความหนักแน่นทางจิตใจของนักศึกษาทหารเหลือเกิน
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกจนปัญญาจึงต้องยอมเดินทางกลับเข้าตัวเมือง
เธอโทรศัพท์ไปหาบ้านโจว
กวนฮุ่ยเอ๋อใยิ่งกว่าเธอเสียอีก
“ไปที่วิทยาลัยทหารบก? เด็กคนนี้ทำไมไม่บอกกันก่อนสักคำเล่า ว่าแต่เธอบอกว่าเขาไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยมอย่างนั้นหรือ ไม่สิ นี่ก็ผ่านมาเดือนหนึ่งแล้วไม่ใช่รึอย่างไร”
เซี่ยเสี่ยวหลานถ่อไปที่วิทยาลัยทหารบกโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า แต่กวนฮุ่ยเอ๋อจะโมโหได้อย่างไร เธอรู้สึกดีใจเสียด้วยซ้ำ นี่แสดงว่าเซี่ยเสี่ยวหลานใส่ใจในตัวโจวเฉิง เด็กสองคนไม่ได้เจอกันมาหนึ่งเดือนเต็ม พอครบกำหนดเซี่ยเสี่ยวหลานก็รีบถ่อไปหาถึงวิทยาลัย คงเพราะทนความคิดถึงไม่ไหวสินะ
ไม่ควรไปที่หน่วยงานของโจวเฉิงบ่อยครั้ง นี่คือสิ่งที่โจวกั๋วปินบอกกับกวนฮุ่ยเอ๋อ
คงไม่มีพ่อแม่ที่ไหนไปเยี่ยมลูกชายทุกวันใช่หรือไม่ ต่อให้ทำได้ก็ออกจะตามติดเกินไปสักหน่อย หากหัวหน้ารู้เข้าคงคิดว่ายังไม่หย่านมแม่น่ะสิ!
แต่สำหรับเซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีข้อห้ามนี้
พวกทหารอย่างโจวเฉิงถึงอย่างไรสักวันก็ต้องแต่งงาน คนเป็ภรรยาทหารเดิมทีก็ลำบากมากพออยู่แล้ว พวกโจวเฉิงไม่อาจออกจากฐานทัพได้ ถ้ายังไม่ยอมให้ฝ่ายหญิงเข้าไปเยี่ยม แล้วจะให้ฝ่ายหญิงทนได้อย่างไร
สถานการณ์แบบนี้ ทั้งที่ทำตามกฎระเบียบการเข้าเยี่ยมทุกอย่าง ทำไมถึงไม่ได้เจอตัว
กวนฮุ่ยเอ๋อรู้สึกผิดสังเกต “รอเดี๋ยวนะ ฉันจะไปถามคุณอาโจวของเธอ”
เซี่ยเสี่ยวหลานเฝ้าอยู่ข้างโทรศัพท์นานสิบกว่านาที กวนฮุ่ยเอ๋อก็โทรกลับมา
“คุณอาโจวของเธอบอกว่า ทางโจวเฉิงมีสถานการณ์พิเศษบางอย่าง กลับปักกิ่งมาก่อนเถิด เื่นี้ไม่สะดวกคุยทางโทรศัพท์”
มีสถานการณ์พิเศษจริงหรือนี่
เซี่ยเสี่ยวหลานชักเริ่มรู้สึกกังวล
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ปล่อยให้เสียเวลาโดยเปล่า เธอรีบซื้อตั๋วรถไฟกลับปักกิ่งทันที อีกทั้งยังเป็ตั๋วที่ซื้อต่อจากคนอื่นในราคาที่สูงกว่าอีกด้วย กวนฮุ่ยเอ๋อบอกว่าจะส่งรถมารับ เมื่อเซี่ยเสี่ยวหลานกลับมาถึงปักกิ่งตอนสี่ทุ่มกว่า รถยนต์คันเล็กก็จอดรอเธออยู่หน้าสถานีรถไฟแล้ว
กระจกรถเลื่อนลง โจวกั๋วปินคือคนที่นั่งอยู่บนรถ
“คุณอาโจว มารอนานหรือยังคะ”
โจวกั๋วปินงานยุ่งแค่ไหนเซี่ยเสี่ยวหลานนั้นรู้ดี เธอนึกว่าคนขับรถจะเป็ผู้มารับมารับ นึกไม่ถึงเลยว่าโจวกั๋วปินจะมารับด้วยตัวเอง
“ไม่นานเท่าไรหรอก ขึ้นรถเถิด ถึงบ้านแล้วค่อยคุยกัน ตอนนี้ดึกมากแล้ว คืนนี้ก็ค้างที่บ้านสักคืนนะ”
เวลานี้จะกลับหอพักก็คงดึกเกินไป ถ้าไปสือช่าไห่หลิวเฟินกับย่าอวี๋ก็คงเป็ห่วง เซี่ยเสี่ยวหลานกำลังคิดอยู่เลยว่าคืนนี้จะออกไปพักที่ไหน เมื่อได้ยินโจวกั๋วปินเอ่ยเช่นนี้ หมายความว่าจะให้เธอไปค้างคืนที่บ้านตระกูลโจวสินะ
เซี่ยเสี่ยวหลานหยุดคิดแล้วรู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องกังวล ถึงอย่างไรโจวเฉิงก็ไม่อยู่บ้าน และตระกูลโจวก็ไม่ได้จะให้เธอนอนห้องเดียวกับโจวเฉิงเสียหน่อย ค้างแค่คืนเดียวคงไม่มีปัญหาอะไร
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องรบกวนคุณอากับคุณน้ากวนแล้วล่ะค่ะ”
“ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไรหรอก”
ความหัวแข็งกับความคุยง่ายบางครั้งก็ต่างกันแค่เส้นบางๆ กั้น ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานอิดออดเกินพอดี โจวกั๋วปินคงรู้สึกอึดอัดใจ
ในฐานะคู่ครองของโจวเฉิง หากเข้ากับคนทั้งตระกูลไม่ได้คงลำบาก เซี่ยเสี่ยวหลานมีนิสัยตรงไปตรงมา โจวกั๋วปินพูดคุยกับเธอแล้วไม่รู้สึกอึดอัด สิ่งที่เขาคุยกับโจวเฉิงได้ก็สามารถคุยกับเซี่ยเสี่ยวหลานได้เช่นกัน นั่นเป็เพราะเซี่ยเสี่ยวหลานคือคนที่แบกรับแรงกดดันได้
โจวกั๋วปินเคยเจอสหายหญิงที่อ่อนแอบอบบางมาแล้ว อย่างเช่นเซี่ยอวิ๋น แม่ของคังเหว่ย หลังพ่อของคังเหว่ยเสียสละตัวเองในสนามรบ เป็เหตุให้เซี่ยอวิ๋นรู้สึกเสียศูนย์ ยี่สิบปีมานี้เธอใช้ชีวิตอย่างลุ่มๆ ดอนๆ ไม่อาจเป็เสาหลักของบ้านได้ ส่วนลูกชายก็ดูแลได้ไม่ดี...
ถุยๆๆ โจวกั๋วปินไม่ได้กำลังแช่งลูกชายว่าต้องสละชีพ แต่ใครจะไม่เจออุปสรรคในชีวิตบ้าง?
ยามเจออุปสรรคหรือขวากหนาม การมีภรรยาที่มีสติรับมือกับปัญหาได้ คงดีกว่าคนที่เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายหลายร้อยเท่า!
โจวกั๋วปินรู้สึกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเป็คนมีสติและใจเย็น ั้แ่เื่เล็กจนถึงเื่ใหญ่เซี่ยเสี่ยวหลานสามารถรับมือได้เป็อย่างดี นี่อาจจะเป็จุดที่ทำให้เขาพึงพอใจในตัวเซี่ยเสี่ยวหลานมากที่สุด
ทว่าบนโลกนี้ย่อมไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และมีสิ่งที่ตระกูลโจว้าทุกอย่าง
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้ความคิดของโจวกั๋วปิน เธอเห็นโจวกั๋วปินดูอารมณ์ดีใช้ได้จึงทายว่าทางโจวเฉิงไม่ได้เกิดเื่ใหญ่อะไร ความกังวลที่แฝงอยู่ในใจจึงเริ่มผ่อนคลายลงบ้าง เมื่อมาถึงบ้านโจวก็พบว่ากวนฮุ่ยเอ๋อยังไม่เข้านอน
“กินมื้อค่ำมาแล้วหรือยัง ฉันจะให้พี่เจิงต้มบะหมี่ให้สักชาม เื่อะไรก็ไม่ใหญ่เท่าเื่กิน!”
เพราะลูกชายของตนทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานต้องตะลอนไปกลับระหว่าง ‘ปักกิ่ง-จี้เป่ย’ มาทั้งวัน แน่นอนว่าลูกสาวใครใครก็รัก กวนฮุ่ยเอ๋อย่อมให้ความใส่ใจกับเซี่ยเสี่ยวหลานเป็พิเศษ เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่ได้กินมื้อค่ำ เธอขึ้นรถไฟเที่ยวสุดท้ายทันก็นับว่าเก่งมากแล้ว เธอซื้อหมั่นโถวลูกหนึ่งมากินรองท้องระหว่างรอรถไฟ ตอนนี้กำลังรู้สึกหิวโซ พอดีกับที่พี่เจิงยกบะหมี่เนื้อมาให้เธอ
กวนฮุ่ยเอ๋อกลัวเซี่ยเสี่ยวหลานกินคนเดียวจะรู้สึกขัดเขิน เธอกับโจวกั๋วปินจึงนั่งกินเป็เพื่อนด้วยอีกหนึ่งมื้อ
หลังกินเสร็จ ทั้งสามคนก็มานั่งที่โซฟาในห้องรับแขก โจวกั๋วปินจึงเริ่มเล่าเื่โจวเฉิงให้ทุกคนฟัง
“โจวเฉิงไม่ได้อยู่ที่จี้เป่ยหรอก พวกนักศึกษาใหม่เทอมนี้ถูกส่งไปทำภารกิจทางใต้ อีกทั้งสถานการณ์ของโจวเฉิงค่อนข้างพิเศษ เธอกับโจวเฉิงคบหากันมานาน รู้จักคนชื่อพานเป่าหัวหรือเปล่า ผู้ชายคนนี้ตอนอยู่แนวหน้าสนิทกับโจวเฉิงมากเลยทีเดียว”
พานเป่าหัว?
“คุณอาหมายถึงพี่พานซานเหรอคะ ฉันไม่รู้จักชื่อจริงของเขา แต่เคยเจอเขาสองครั้งค่ะ”
โจวกั๋วปินขมวดคิ้ว
“แม้แต่เธอยังเคยเจอ อย่างไรก็ตามพวกเขาสนิทสนมกันมาก ถ้าอย่างนั้นนี่คงไม่นับว่าเป็การใส่ร้ายโจวเฉิง ตอนนี้โจวเฉิงถูกกักบริเวณเพื่อเข้ารับการสอบสวน มีคนสงสัยว่าเขากับพานเป่าหัวแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกัน... จะร้ายแรงหรือไม่คงต้องรอดูผลการตรวจสอบที่แน่ชัด”
พี่พานซานดูมีกลิ่นอายของพวกอาชญากรจริง
เซี่ยเสี่ยวหลานเคยเจอเขาสองครั้ง และแต่ละครั้งเขามาเพื่อจัดการความยุ่งยากให้กับเธอทั้งสิ้น
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ใช่พวกได้รับผลประโยชน์แล้วจะถีบหัวส่ง จากที่ต้องขอบคุณพานซาน พอพานซาน ‘สร้างความเดือดร้อน’ ให้โจวเฉิง แล้วเซี่ยเสี่ยวหลานจะนึกโทษอีกฝ่ายทันที อย่างไรก็ตามแม้โจวเฉิงจะไม่ใช่คนที่อยู่ในกรอบ แต่เขาไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักขอบเขต ถ้าเขายินดีไปมาหาสู่กับพานซานก็แสดงว่าพานซานไม่ใช่นักเลงอย่างที่คิด
“ฉันเคยเจอพี่พานซานค่ะ และเชื่อมั่นในการมองคนของโจวเฉิง เช่นนั้นคงต้องรอผลการตรวจสอบค่ะ!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้