ถึงแม้ว่าหยวนชุนจะยังดูอ่อนแรง แต่สีหน้าและแววตาเริ่มมีประกายสดใสมากขึ้น เขาหันไปมองรอบๆ และเมื่อเห็นเหยาหลิงที่ยืนเช็ดน้ำตาด้วยความดีใจอยู่ข้างเตียง จึงถามด้วยเสียงแหบแห้งว่า “เกิดอะไรขึ้น”
ระหว่างที่เหยาหลิงอธิบายเื่ราวให้สามีฟัง จิงซิงอี้คอยสังเกตสีหน้าและอาการของหยวนซุน
จิงซิงอี้บอกให้เขายกมือข้างขวาขึ้น หยวนซุนพยายามทำตาม แต่พบว่าเขายกแขนขึ้นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และอาการชาของร่างกายด้านขวายังคงมีอยู่ จิงซิงอี้จึงอธิบายให้ทั้งคู่ฟังว่า
“คนไข้เป็โรคหลอดเืในสมองคั่ง ที่มีสาเหตุมาจากหลายอย่าง ทั้งการใช้ชีวิต อาหารการกิน อายุที่มากขึ้น อารมณ์ต่างๆ และการเคลื่อนที่ของชี่ยังเสียสมดุลติดขัด ทำให้เืไหลเวียนไม่คล่อง จึงทำให้มีอาการแขนขาชาหรือกล้ามเนื้อแขนขาเกร็ง เวียนศีรษะ ตาลาย
และสุดท้ายคือหมดสติ ถ้ารักษาไม่ทัน ก็มีโอกาสเป็อัมพาตอัมพฤกษ์ได้เช่นกันครับ”
เมื่อได้ยิน ทั้งสองหน้าซีดเผือดทันที เพราะมันไม่ใช่แค่อาการจากการทำงานหนักและความเครียด ตามที่หมอจากโรงพยาบาลในเมืองบอก
เหยาหลิงรีบถามต่อด้วยความร้อนใจว่า
“แล้วจะรักษาได้มั้ยคะหมอ”
จิงซิงอี้พยักหน้าและตอบด้วยความมั่นใจว่า
“รักษาได้ครับ แต่ต้องรักษาต่อเนื่องและใช้เวลาพอสมควร ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของคนไข้ด้วย”
เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อว่า “และใครเป็คนรักษาด้วย”
เหยาหลิงหันไปมองตาหยวนซุน เหมือนขอความเห็นจากเขา หยวนซุนพยักหน้าให้ เหยาหลิงจึงรีบหันมาทางจิงซิงอี้ และถามด้วยหวังว่า
“คุณหมอจะช่วยรักษาให้ได้มั้ยคะ!”
จิงซิงอี้ลังเลไปสักพัก ก่อนจะตอบว่า “ไม่ใช่ว่าผมจะปฏิเสธนะครับ ถ้าจะรักษากับผม คนไข้ต้องพักอยู่ที่หมู่บ้านนี้ เพราะต้องใช้เวลาในการรักษา ต้องฝังเข็มกระตุ้นและกินยา และอาจจะมีวิธีอื่นๆ ที่ต้องปรับไปตามอาการ
ที่นี่เป็บ้านของผม ไม่ใช่คลินิก ไม่สะดวกจะรับคนไข้มาดูแล ผมเองก็ยังไม่มีคลินิกที่นี่ด้วย ถ้าจะรักษา พวกคุณต้องหาที่พักที่หมู่บ้านนี้ให้ได้ก่อน”
สองพ่อลูกเสี่ยวหลงที่ยืนฟังอยู่นาน ก็รีบพูดขึ้นมาทันทีว่า
“ไม่ต้องห่วง! พวกเราจะช่วยหาที่พักให้เองครับ!”
ในระหว่างที่ทั้งคู่จัดการเื่ที่พักและธุรกิจการงานต่างๆ เย็นวันนั้น จิงซิงอี้ก็ทำอาหารสมุนไพรให้คนป่วยกิน
เขาทำข้าวต้มเครื่องยาจีน ด้วยการเคี่ยวสมุนไพรเพื่อเอาน้ำที่สกัดได้มาทำข้าวต้ม จากนั้นก็ใส่พุทราจีน เห็ดหูหนู และโสมูเาลงไปในน้ำเดือด และใช้ไฟอ่อนค่อยๆเคี่ยวจนได้ตัวยาออกมา เมื่อได้ที่จึงยกลงกรองเอากากออก
เขานำข้าวสารผสมกับข้าวเหนียวเล็กน้อยเติมลงไปในน้ำซุปสมุนไพร ต้มด้วยไฟอ่อนไปเรื่อยๆ เพื่อให้ข้าวต้มมีความข้นน่ากิน จนกลิ่นข้าวต้มและสมุนไพรหอมฟุ้งไปทั่วบ้าน เมื่อข้าวต้มเปื่อยนุ่มได้ที่จึงตักใส่ถ้วย และยกออกไปให้คนป่วย
เหยาหลิงซึ่งได้กลิ่นข้าวต้มั้แ่แรก ถึงกับกลืนน้ำลายเมื่อเห็นข้าวต้มสมุนไพรสีขาวข้น ควันกรุ่นน่ากิน เธอขอบคุณจิงซิงอี้อย่างจริงใจ และค่อยๆ ป้อนข้าวให้หยวนซุนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง
จิงซิงอี้อธิบาย ในขณะที่มองหยวนซุนกินข้าวต้มอย่างหิวโหยว่า พุทราจีนแห้ง เห็ดหูหนูดำ จะช่วยลดอาการแข็งตัวของเส้นเื ช่วยบำรุงสมองและประสาท ลดการอุดตันของเส้นเื และช่วยบำรุงไต เขายังแนะนำสูตรอาหารอื่นๆ
สำหรับวิธีการรักษาด้วยยาสมุนไพรนั้น จิงซิงอี้จะเสริมบำรุงเืและชี่ ขับไล่ลม ขจัดความเย็น และชี่ที่ก่อโรคออกไป ซึ่งเขาจะใช้ยาตำรับปู่หยางหวนอู่ทังในการรักษาเป็หลัก
ยาตำรับนี้ประกอบไปด้วย เซิงหวงฉี ที่เป็ตัวยาหลัก มีสรรพคุณบำรุงชี่ และใช้ตังกุยเหว่ย์ เช่อเสา ชวนซยฺง หงฮฺวา ถาวเหริน และตี้หลง เพื่อช่วยสลายเืคั่ง ทำให้การไหลเวียนของเืสะดวก ช่วยทะลวงเส้นลมปราณ และบรรเทาเืคั่งในสมองได้
นอกจากนี้ เขายังจะฝังเข็มกระตุ้นให้ด้วย เพราะร่างกายฝั่งขวาของหยวนซุนยังขยับได้ลำบาก และพูดไม่ชัด ซึ่งเป็อาการของอัมพาตครึ่งซีก
หลังจากกินอาหารเย็นไปได้สักพัก จิงซิงอี้จึงนวดแขนและขาของเขา เพื่อกระตุ้นให้เืหมุนเวียน
คืนนั้น เขาให้เหยาหลิงพักอยู่ที่นี่ เธอนอนบนเตียงผ้าใบเพื่อจะได้อยู่ดูแลหยวนซุนใกล้ๆ เธอติดต่อให้ผู้ช่วยของหยวนซุนเข้ามาที่หมู่บ้าน และนำข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็มาให้ และติดต่อประสานงานกับชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อจัดหาที่พักในระหว่างรักษาตัวให้กับเธอและหยวนซุนด้วย
เหยาหลิงได้ที่พักใกล้ๆ กับบ้านของจิงซิงอี้ เ้าของบ้านให้พวกเขาเช่าบ้านทั้งหลังเพื่อความเป็ส่วนตัว ส่วนตนเองย้ายไปพักกับญาติ และยังรับจ้างดูแลทำความสะอาด และทำอาหารให้สามีภรรยาคู่นี้ด้วย
ในเช้าวันต่อมา จิงซิงอี้ฝังเข็มอีกชุดให้หยวนซุนและให้เขาดื่มน้ำพุทราจีนแห้ง เห็ดหูหนูดำ และขิงตุ๋นในตอนท้องว่าง
เมื่อพบว่าหยวนซุนอาการคงที่แล้ว ทั้งสามีและภรรยาจึงย้ายออกไปอยู่ที่บ้านเช่าไม่ไกลจากบ้านของจิงซิงอี้นัก
่ที่พักรักษาตัว จิงซิงอี้แนะนำให้หยวนซุนฟื้นฟูร่างกายทุกวัน ด้วยการออกกำลังกาย เพื่อช่วยปรับสมดุลการไหลเวียนของชี่และระบบหลอดเื ด้วยการฝึกทำ “เต๋าอิ่น” ซึ่งเป็การผสมผสานระหว่างการเคลื่อนไหวของร่างกาย และการควบคุมลมหายใจให้เป็หนึ่งเดียวกัน เขาสอนให้ทำท่าล้างหน้า ท่าเสยผม ท่าคลึงใบหู ท่าถูคอ ที่สามารถทำในขณะที่นั่งหรือยืนก็ได้
ในขณะที่จิงซิงอี้กำลังง่วนอยู่กับการรักษาให้หยวนซุนอยู่นั้น สองพ่อลูกเสี่ยวหลง ซึ่งออกมานั่งกินอาหารเช้ากับชาวบ้านที่ลานหินใต้ต้นไม้ ก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตื่นเต้นออกรสออกชาติว่า
“แล้วหมอจิงซิงอี้ก็เดินออกมาจากประตู หล่อออร่าเหมือนเทวดาลอยมาเลย! ตอนแรกพวกเราก็ไม่เชื่อสักเท่าไหร่ว่าเขาจะเป็หมอจริงๆ” เสี่ยวหลงเล่าไปกัดซาลาเปาไป
“ทำไมล่ะ” ป้าหวังถามด้วยความอยากรู้
“ใครจะไปเชื่อลงล่ะ ทั้งเด็กทั้งหล่อขนาดนั้น ถ้าบอกว่าเป็นักร้องไอดอลในทีวียังน่าเชื่อมากกว่า ใช่มั้ยพ่อ”
เด็กหนุ่มหันไปถามพ่อ ซึ่งก็ยืนยันกลับมาอย่างหนักแน่นเช่นกัน ทำให้ชาวบ้านที่จับกลุ่มฟังเขยิบเข้ามาใกล้ด้วยความตื่นเต้นมากขึ้น
“แล้วตอนที่คุณหยวนซุนชักกระตุกอะ พวกเราใทำอะไรกันไม่ถูก แต่หมอจิงกลับใจเย็นมาก! บอกให้พวกเราช่วยกันจับตัวเอาไว้ แล้วก็เอาเข็มปัก ชั้วะ! ชั้วะ! ชั้วะ! ลงไปอย่างมั่นใจทันที!”
เขาเล่าพร้อมกับทำท่าประกอบอย่างตื่นเต้น จนซาลาเปาบางส่วนกระเด็นออกจากปาก ชาวบ้านที่อยู่ใกล้พากันถอยห่างออกมา
แต่แล้วเสี่ยวหลงก็สำลักซาลาเปาจนไอออกมาหน้าดำหน้าแดง พ่อของเขาต้องรีบตบหลังให้หยุดไอ ในขณะที่คนอื่นรีบส่งน้ำชาอุ่นๆให้ดื่มกลั้วคอ เมื่อหยุดไอแล้ว เสี่ยวหลงจึงเล่าต่อด้วยเสียงแหบแห้งว่า
“คุณหยวนซุนก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ตอนแรกพวกเรานึกว่าแกจะไม่รอดแล้วซะอีก เพราะก่อนหน้านั้น หน้าแกซีดลงไปเรื่อยๆ เรียกยังไงก็ไม่ได้ยิน!
แต่หมอจิงก็สุดยอดมาก ปลุกจนแกฟื้นขึ้นมาได้ แถมยังกินข้าวต้มได้จนหมดชามเลยนะ!
เฮ่อออออ...ข้าวต้มที่หมอจิงทำก็หอมฟุ้งน่ากินจริงๆนะ พูดแล้วผมก็ยังอยากจะกินบ้างเลย..”
เสี่ยวหลงรำพึงรำพันถึงข้าวต้มขึ้นมาในตอนท้าย จากนั้นก็ยัดซาลาเปาชิ้นสุดท้ายเข้าปากไป
ชาวบ้านต่างหันมาแสดงความคิดเห็นกัน พวกเขาสงสัยว่า หมอจิงคนนี้ เป็หลานของหมอใหญ่จิงเซียว แต่ทำไมถึงไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน
เ้าฟู่ ชายชราอายุประมาณ 80 ปี ซึ่งนั่งดื่มชาและฟังอยู่เงียบๆ ก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“หมอจิงเซียวมาอยู่ที่นี่ได้เกือบ 15 ปีแล้ว แกก็ไปๆมาๆ อยู่บ้าง ไม่อยู่บ้าง ไม่มีใครเคยเห็นว่าแกมีครอบครัวรึเปล่า แต่แกจะมีหลานชายมาอยู่ด้วย แต่มักจะอยู่ในบ้าน หรือออกไปพร้อมกับหมอจิงเซียว”
“แล้วทำไมพวกเราไม่เคยเห็นเลยล่ะ” ป้าหวังถามด้วยความสงสัย ปู่เ้าฟู่จึงตอบว่า
“บ้านของพวกเขาอยู่ท้ายหมู่บ้าน ไกลกว่าบ้านอื่นๆ จะไปไหนมาไหน ไปทำอะไร เราไม่รู้หรอก แล้วเขาก็ไม่ได้มาสุงสิงอะไรกับชาวบ้านแถวนี้ หมอใหญ่เองก็ไม่ได้เปิดคลินิกที่นี่ด้วย”
“ก็จริงนะ ถ้าไม่ป่วยหนักจริงๆ พวกเราก็ไม่เคยไปหาแกเลย เพราะไม่รู้ว่าจะอยู่บ้านรึเปล่า” ลุงหม่าเสริมขึ้นมา หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย
“ถ้าหลานแกยอมรักษาให้แบบนี้ แสดงว่าแกจะเปิดคลินิกเองหรือเปล่านะ” พ่อของเสี่ยวหลงสงสัย
ทุกคนส่ายหน้าอย่างไม่รู้คำตอบ และได้แต่ภาวนาให้เป็จริง เพราะพวกเขาอยากจะอยู่ใกล้กับหมอที่รักษาโรคเก่งๆ จะได้ไม่ต้องเดินทางไปรักษาในเมือง หรือที่หมู่บ้านข้างๆ เหมือนที่ผ่านมา
และหมู่บ้านนี้ ก็เหลือแต่คนแก่และเด็กๆ เป็ส่วนใหญ่ ในขณะที่คนหนุ่มสาวออกไปทำงานต่างเมืองกันเกือบหมด เมื่อเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจึงต้องช่วยเหลือกันเองไปตามมีตามเกิด
