ไป๋หานมองสมุนทั้งสองด้วยความไม่พอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอิ้นฮู่เว่ย ใบหน้าของนางเ็าประหนึ่งถูกเคลือบไปด้วยน้ำค้างแข็ง สายตาแหลมคมเช่นนั้น ทำให้เขาถึงกับทำอะไรไม่ถูก
ตามปกติแล้ว อิ้นฮู่เว่ยมักจะข่มอาหวาทันทีที่พบหน้า มาตอนนี้กลับเอาแต่พูดปาวๆ ว่าตนเป็ฝ่ายถูกกระทำ ทว่า อาหวาก็ยังปล่อยผ่านโดยไม่คิดจะแก้ตัว
ความรู้สึกของไป๋หานเริ่มเอนเอียงไปทางโจวชิงหวา ไม่ต้องถาม ก็คาดได้ว่าอิ้นฮู่เว่ยน่าจะเป็คนเริ่มหาเื่ก่อน สายตาที่มองไปยังอีกฝ่ายจึงเดือดดาลยิ่งนัก “เหตุใดจึงทำเช่นนี้?”
ท่าทีเป็ปฏิปักษ์และความรังเกียจในน้ำเสียงของนาง ทำให้อิ้นฮู่เว่ยทั้งอับอายทั้งโมโหจนแทบกระอัก ได้แต่ค้อมศีรษะตอบไปว่า “ข้าเพียงหยอกล้อเท่านั้น ใครจะรู้ว่าวันนี้เขาเป็บ้าอะไรขึ้นมา ถึงได้ทุบตีข้าไม่หยุด”
ล้อเล่นอย่างไม่สร้างสรรค์ ทั้งยังกดดันให้คนเขาอับอายขายหน้า หมายจะกำจัดอีกฝ่ายออกไปด้วยเหตุผลส่วนตัว ช่างน่าโมโหนัก!
แต่แวบหนึ่งก็อดคิดมิได้… หรือว่าอาหวาอาจจะตั้งใจ?
ไป๋หานนึกสงสัยขึ้นมา จึงเหลือบมองห้องหนังสือ ก่อนจะหันมาหาโจวชิงหวา “เขาพูดอะไรกับเ้า จึงต้องลงไม้ลงมือถึงขนาดนี้?”
โจวชิงหวาแอบใช้กำลังภายใน ขับให้ริ้วสีแดงเข้มพาดผ่านแก้ม ที่แม้จะถูกปกคลุมไปด้วยหนวดเครารกครึ้ม แต่ยังสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน กระทั่งใบหูก็ยังขึ้นสีแดงก่ำ
หลังจากนิ่งคิดอยู่นาน เขาก็ก้มศีรษะลงอย่างไม่เต็มใจ พลางกล่าว “เมื่อครู่กำลังคุยกันอยู่ดีๆ แต่จู่ๆ อิ้นฮู่เว่ยก็ถามว่าข้าผ่านผู้หญิงมาแล้วกี่ตน ข้าปฏิเสธที่จะตอบ ทั้งยังพูดไปแล้ว ว่าตัวเองไม่เก่งกาจพอจะอวดอ้างกับใครได้ แต่เขาก็ยังมาหาเื่ข้ากับอาหนี บอกว่าเป็พวกวิปริตผิดเพศ เพราะเห็นว่าพวกเราชอบอยู่ด้วยกัน นอกจากนี้...”
“พอแล้ว!” ไป๋หานที่เป็สตรี ย่อมรู้สึกตะขิดตะขวงใจเกินกว่าจะฟังต่อ จึงรีบหยุดเอาไว้
สิ่งที่ผู้ชายถือสาที่สุด ก็คือการถูกคนอื่นตราหน้าว่าตัวเองไม่เก่งในเื่อย่างว่า ซ้ำยังถูกกล่าวหาว่าเป็พวกผิดเพศรักชอบบุรุษ ไม่ว่าผู้ใดก็ย่อมอับอายและโกรธเคืองทั้งสิ้น
พอคิดเช่นนั้น ความเคลือบแคลงใจของไป๋หานที่มีต่อโจวชิงหวา พลันถูกปัดเป่าไปโดยสิ้นเชิง หลังจากสอบสวนอิ้นฮู่เว่ยสองสามคำ นางก็พาโจวชิงหวาไปยังห้องพักของหนีเจียเอ๋อร์
อิ้นฮู่เว่ยที่โดนไป๋หานทิ้งเอาไว้ กำหมัดต่อยลงกับพื้นจนเป็หลุม “ฮึ่ม... อาหวา ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
ไป๋หานกับโจวชิงหวามาถึงหน้าห้องของหนีเจียเอ๋อร์ พบว่า ‘เขา’ หายใจสม่ำเสมอ ทั้งยังหลับลึกมาก จนไม่ทันรู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่ามีคนมาเยี่ยมเยียน ดังนั้นไป๋หานจึงขจัดข้อกังขาไปได้อีกสองข้อ
โจวชิงหวาเข้าไปดูอาการด้วยความเป็ห่วง พลางดึงมือของอาหนีออกมาตรวจชีพจร
ไป๋หานมองอาหวา ขณะนึกชื่นชมในใจ ถึงความน่ารักของเขาที่มีต่อสหาย
“ไปตามหมอมา!”
“ขอรับ!” โจวชิงหวาโน้มตัวลง หันไปมองหนีเจียเอ๋อร์ครู่หนึ่ง ก่อนเดินออกไป
ไป๋หานทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ มือรินชาพลางปรายตามองหนีเจียเอ๋อร์ หายเข้าออกอย่างเป็จังหวะเช่นนั้น ทำให้รู้ว่าคนตรงหน้าหลับลึกเพียงใด
ไม่ช้า โจวชิงหวาก็กลับมาพร้อมหมอ
ไป๋หานจึงสั่ง “ตรวจดูหน่อย ว่าเขามีโรคแทรกซ้อนอันใดหรือไม่ เหตุใดจึงหลับลึกเช่นนั้น?”
หมอโค้งรับคําสั่ง และนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง
โจวชิงหวาดึงมือของหนีเจียเอ๋อร์ออกมาจากผ้าห่ม เพื่อให้เขาตรวจสอบชีพจร
หมอท่านนี้ทำงานกับเ้าสำนักมากว่าสิบปีแล้ว จึงได้รับความไว้วางใจจากรองเ้าสำนักและหัวหน้าสังกัดในทุกระดับ แต่เมื่ออาหนีเข้ามา กลับรู้สึกว่าฐานะของตนเริ่มสั่นคลอน ด้วยเกรงว่าจะถูกแทนที่ เขาจึงจงใจรายงานว่าอาหนีป่วยหนัก ดังนั้นระหว่างนี้ย่อมไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้สักพัก และเพื่อทำให้อีกฝ่ายหายเร็วขึ้น เขาจึงอาสามาดูแลอย่างใกล้ชิด
ได้ยินดังนั้น ไป๋หานก็ตอบตกลง แล้วพาโจวชิงหวาออกจากเรือนไปเพื่อจัดการธุระอื่นต่อ
...
ด้วยการกระทำที่กล้าหาญและมีไหวพริบดีเลิศ ทำให้โจวชิงหวาได้รับความไว้ใจจากไป๋หานมากขึ้น จนเหนือกว่าอิ้นฮู่เว่ย ยามนี้ไม่ว่าเื่เล็กหรือใหญ่เพียงใด ก็มักจะได้รับมอบหมายให้ไปจัดการแทน
ดังนั้นเขาจึงยุ่งมาก จนไม่มีเวลาไปพบหน้าหนีเจียเอ๋อร์หลายวัน
กลางดึกที่แสนเงียบเชียบ เงาร่างสายหนึ่งผลุบเข้าไปในหน้าต่างห้องนอนของหนีเจียเอ๋อร์ ฝีเท้าแ่เบาย่องขึ้นไปบนเตียงที่อยู่ข้างๆ
หนีเจียเอ๋อร์ที่สะดุ้งตื่นเพราะฝันร้าย เบิกตาโพลง ทำท่าจะอ้าปากกรีดร้อง แต่ไม่ทันเปล่งเสียงก็โดนฝ่ามือปริศนาปิดปากเอาไว้
พอเห็นใบหน้าผู้บุกรุกชัดเจน จิตใจพลันสั่นไหว แล้วดุเบาๆ “ใหมดเลย ลงไปเดี๋ยวนี้นะ!”
โจวชิงหวาเอนตัวลง พลางเอียงหน้าเข้ามาใกล้ใบหู เงาของเขาทาบทับบนร่างนาง ขณะโน้มตัวลงมากระซิบเสียงพร่า “ลงไปไม่ได้ มิฉะนั้นเงาของข้าจะปรากฏบนผนัง คิดว่าแบบนี้คงจะปลอดภัยกว่า”
ลมหายใจอุ่นร้อนที่อีกฝ่ายพ่นออกมา ผ่านเข้าไปในหูของนาง จนหนีเจียเอ๋อร์ถึงกับตัวสั่นระริก หากมิได้อยู่ท่ามกลางความมืด คงเห็นแล้วว่าแก้มทั้งสองของนางแดงก่ำราวกับลูกท้อ เพราะความหวั่นไหว
หญิงสาวดึงมือที่ถูกเกาะกุมไว้ออกมา แล้วซุกตัวใต้ผ้าห่มบางๆ ห่อร่างอย่างกับดักแด้ ใช้ผ้าผืนนั้นต่างเขตปลอดภัย
“อันที่จริง เ้าค่อยมาบอกข้าตอนกลางวันก็ได้”
โจวชิงหวาตอบทันที “แต่ตอนกลางวันข้ายุ่งน่ะสิ” เขาเอ่ย พลางโน้มหน้าเข้ามาใกล้
“เพื่อช่วยเ้าในวันนั้น ภาพลักษณ์ของข้าก็ถูกทำลายจนป่นปี้ ไม่ว่าจะเข้าหรือออกสำนัก ล้วนมีแต่สายตาไล่ตามหลัง ตอนนี้ทุกคนมองข้าในแง่ไม่ดี บ้างก็ว่าข้าวิปริตผิดเพศ ต้องอดทนต่อการดูิ่ดูแคลนเช่นนี้ เ้าคิดจะชดใช้ความบอบช้ำทางจิตใจของข้าอย่างไร?”
แม้จะอยู่ในความมืด ดวงตาของเขาก็ยังคงเปล่งประกายลึกล้ำ ไม่ต่างจากท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยดวงดาราอันพร่างพราว ชวนให้ผู้คนหลงใหล
หนีเจียเอ๋อร์มองดูอยู่ครู่หนึ่งอย่างอดใจมิได้ ก่อนหัวเราะเสียงแ่ “ลองไปเยือนสหายเก่าที่หอร้อยบุปผาหรือหอเฟิงเยวี่ยสักครา อาจจะพิสูจน์ได้ว่าเ้ามิได้ผิดเพศ”
“หอร้อยบุปผากับหอเฟิงเยวี่ย? นั่นมิใช่สหายเก่าของเ้าหรอกหรือ?” โจวชิงหวาโพล่งออกมาดื้อๆ ดวงตาเคร่งขรึมจริงจัง ไม่มีร่องรอยสบประมาทแม้แต่น้อย
หนีเจียเอ๋อร์รู้สึกอับอาย “แม้เราจะมิใช่พี่น้องที่แท้จริง แต่ก็เติบโตมาด้วยน้ำนมของแม่นมเช่นเดียวกัน เ้าเอาข้าไปเหมารวมกับนางคณิกาในหอโคมเขียว เห็นข้าเป็อย่างนั้นหรือ?”
ปรากฏว่าในใจของนาง กลับคิดเพียงแค่นั้น
โจวชิงหวามองเข้าไปในดวงตาของหญิงสาว ขณะพูดอย่างจริงใจ “เสี่ยวเอ๋อร์ ข้าสาบานว่ามิได้ตั้งใจจะดูถูกเ้า ถ้าโกหกขอให้โดนฟ้าผ่า...”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้