หอพักทรุดโทรม
ห้องพักประหลาดหมายเลข 438
บวกกับคนที่อยู่เตียงชั้นล่างที่ไม่น่าคบค้าสมาคมสักเท่าไร
แต่อีกฝั่งหนึ่ง เป็ห้องของคุณหนูอวี๋ซึ่งอยู่ใกล้โรงเรียนและอยู่ในอาคารที่สะดวกสบาย มีรูมเมตเป็เพื่อนสนิทของเธอ
มีอะไรง่ายๆ อยู่แล้ว ทำไมเธอต้องอดทนกับอะไรที่ลำบากแบบนั้นด้วย
เธอเข้าเรียนที่นี่ในฐานะนักเรียนที่สอบได้คะแนนสูงเป็อันดับหนึ่ง ซูอินรู้ดีว่าตนเองคงได้รับความสนใจจากผู้คนไม่น้อย ทุกอย่างที่เริ่มต้นใหม่เธอจะทำมันให้ดี ตั้งใจเรียน ไม่ทำตัวเป็จุดสนใจ นั่นคือเหตุผลที่เธอเลือกที่จะอยู่หอพักนักเรียน
แต่ในตอนนี้มีคนช่วยเธอหาเหตุผลเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
ในห้องนอนที่ไม่ใหญ่นัก หญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวดียังคงพล่ามไม่หยุด “นี่เธอ…จะพูดยังไงดีล่ะ ตัวเองไม่รักษาสุขอนามัย แล้วยังไม่ยอมให้คนอื่นวิจารณ์อีกหรือ”
ผู้ปกครองของเด็กสาวอีกสองคนเริ่มเอ่ยปากเพื่อเกลี้ยกล่อม แน่นอนว่าพวกเขาพูดเพื่อช่วยเหลือซูอิน แต่การพยายามโน้มน้าวด้วยความอ่อนโยนนั้นกลับไม่เป็ผล และยิ่งทำให้หญิงสาวคนนั้นแสดงท่าทีหยิ่งผยองมากขึ้นเรื่อยๆ
เธอเชิดคางมองสองสามีภรรยาตระกูลซู “คนแบบนี้หากนอนชั้นบนของลูกสาวฉัน จะมีเหาตกลงมาใส่หรือเปล่าเนี่ย”
“เกิดอะไรขึ้น”
หวังเหวินชิงครูที่ปรึกษาซึ่งกำลังเดินตรวจตราหอพักนักเรียนได้ยินเสียงเหตุการณ์ตรงนี้จึงรีบเดินเข้ามาดู เมื่อเห็นซูอินแววตาที่อยู่หลังกรอบแว่นสีดำของเธอก็อ่อนโยนมากขึ้น
ท่าทีเช่นนี้ของเธอไม่ใช่เพราะผลการเรียนที่ดีของซูอิน นั่นเป็เพียงส่วนหนึ่ง ตอนที่ซูอินพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล หวังเหวินชิงได้เดินทางไปเยี่ยมพร้อมกับหลินซิ่ว ตอนนั้นซูอินหยิบหนังสือของชั้นมัธยมปลายปีที่ 4 ซึ่งยืมมาจากลูกพี่ลูกน้องซูผิงมาอ่าน และได้ขอให้หวังเหวินชิงช่วยสอนอยู่หลายข้อ
มิน่าล่ะเธอถึงสอบได้อันดับหนึ่ง
ทั้งๆ ที่สอบได้คะแนนสูงที่สุดแล้ว ปิดเทอมก็ยังตั้งใจเรียนอีก
สิ่งสำคัญคือเด็กสาวคนนี้ยังเป็คนหน้าตาดี ใครเห็นก็รู้สึกมีความสุข
เด็กนักเรียนเช่นนี้ คนเป็ครูคนไหนจะไม่ชอบ ต่อให้หวังเหวินชิงที่มีนิสัยเ็า ได้เจอแบบนี้เธออดไม่ได้ที่จะชื่นชอบเด็กนักเรียนที่เก่งและขยันคนนี้จากก้นบึ้งของหัวใจ
อย่าว่าแต่ตอนนี้เลย เธอสามารถแยกแยะถูกผิดได้อย่างรวดเร็ว
“นักเรียนคนนี้ เธอชื่ออะไร”
เด็กสาวที่แต่งตัวอย่างประณีตยืดอกตอบ “คุณครูคะ หนูชื่อเจี่ยงิเถียนค่ะ”
ในหัวของซูอินผุดชื่อหนึ่งขึ้นมา “เจี่ยงชางตงคือพ่อของเธอหรือ”
เมื่อเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของสองแม่ลูกตระกูลเจี่ยง ซูอินก็ยังคงไม่เข้าใจ
“มิน่าล่ะ พ่อของเธอรับผิดชอบดูแลธุรกิจในเขตหนึ่งของหลิงกวง ที่แท้ก็กินข้าวของตระกูลหลิงนี่เอง”
ในเวลานั้นทุกคนต่างเข้าใจเื่ราวทั้งหมดก่อนจะมองสองแม่ลูกตระกูลเจี่ยงด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป
หวังเหวินชิงตอบสนองอย่างรวดเร็ว แต่ประเด็นที่เธอสนใจกลับไม่ใช่สิ่งนั้น “เจี่ยงิเถียนหรือ เหมือนว่าเธอจะไม่ใช่นักเรียนห้องหนึ่ง ถูกแบ่งให้เข้าพักที่หอพักหรือ”
นักเรียนหลายคนมีบ้านอยู่ในเมือง โรงเรียนมัธยมลำดับที่หนึ่งไม่ได้บังคับให้อยู่หอพัก หากเป็นักเรียนที่มีฐานะก็จะเลือกเดินทางไปกลับแทน
อย่างมากนักเรียนจะพักห้องละสามคน เตียงที่ว่างหนึ่งหลังมักจะเป็นักเรียนจากห้องอื่นที่ถูกเพิ่มเข้ามา
“คุณครูคะ หนูอยู่ห้องสองค่ะ”
ห้องสอง…หวังเหวินชิงชะงักเล็กน้อย ก่อนจะสั่งเด็กสาวที่อยู่ด้านข้าง “นักเรียน เธอไปห้องข้างๆ ที่อยู่ถัดไปสองสามห้อง ไปเรียกคุณครูอู๋มา”
เด็กนักเรียนที่ได้รับคำสั่งคือเด็กสาวมีลักยิ้มที่มอบเนื้อหมักซอสให้ซูอินพยักหน้า เดินออกจากห้องพักไป ไม่ถึงครึ่งนาทีเธอก็ตามคุณครูอู๋ที่อยู่ห้องถัดไปไม่กี่ห้องมาได้
คุณครูอู๋อยู่ในวัยขึ้นเลขสามเช่นเดียวกับหวังเหวินชิง
เธอเป็ครูที่ปรึกษาของห้องสอง แน่นอนว่าเธอต้องได้เจอนักเรียนในห้องของตนเอง แต่เมื่อเธอได้รู้เื่ราวทั้งหมด จึงมองสองสามีภรรยาตระกูลซูที่แต่งตัวเรียบง่ายแต่สะอาดสะอ้าน และพบว่าไม่มีจุดไหนที่เธอจะปกป้องนักเรียนของตนเองได้เลย เื่นี้เห็นได้ชัดว่าเป็ความผิดของนักเรียนของเธอเอง
“โรงเรียนเป็สถานที่สำหรับเรียนหนังสือ ไม่ใช่มาชิงดีชิงเด่น พวกเธอเป็เพื่อนนักเรียนกัน ถูกให้มาอยู่ห้องพักเดียวกันนั่นคือเื่ของโชคชะตา ควรปฏิบัติต่อกันด้วยดี นักเรียนเจี่ยง เธอขอโทษซูอินและผู้ปกครองซะ”
คำพูดของครูที่ปรึกษา แน่นอนว่าเจี่ยงิเถียนต้องเชื่อฟัง
แม้จะรู้สึกไม่พอใจ แต่เธอก็ยอมก้มศีรษะและเดินไปยังเบื้องหน้าของซูอิน ใบหน้าของเธอแดงเพราะความโกรธก่อนจะกัดฟันพูดสามคำ “ฉันขอโทษ”
ซูอินได้แต่ส่ายหน้า
อวี๋ฉิงที่อยู่ข้างๆ เธอหัวเราะ
“การขอโทษของเธอไม่มีความจริงจังสักนิด อินอิน เจอกันวันแรกก็เป็แบบนี้แล้ว สามปีต่อจากนี้ต้องเจอปัญหามากมายนับไม่ถ้วนแน่ คุณครูก็พูดแล้วว่าพวกเรามาที่นี่เพื่อเรียนหนังสือ หากแต่ละวันต้องมานั่งคิดเื่เล็กๆ น้อยๆ แบบนี้จะมีกะจิตกะใจเรียนได้ยังไง เธอมาอยู่กับฉันเถอะ ที่นั่นอยู่ไกลกว่าหอพักนักเรียนแค่ไม่เท่าไรเอง”
อันที่จริงก่อนที่ครูจะมาถึง ซูอินได้ตัดสินใจแล้ว
ครั้งนี้เธอไม่ปฏิเสธอีก แต่หันไปมองครูที่ปรึกษา “คุณครูหวังคะ ตอนนี้หากหนูขอยื่นทำเื่ไปกลับ ไม่อยู่หอพักนักเรียนยังทันไหมคะ”
หวังเหวิงชิงรีบตอบด้วยความยินดี “ที่โรงเรียนไม่บังคับเื่ไปกลับหรืออยู่หอพัก ตอนนี้เธอยังไม่ได้จ่ายค่าหอพัก จึงตัดปัญหาเื่นี้ไปได้เลย”
“ถ้าอย่างนั้นคุณครูหวังคะ หนูขอเลือกเดินทางไปกลับดีกว่าค่ะ”
“ได้สิ”
เื่ราวในครั้งนี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทำให้คนในหอพักที่ยังคงตกอยู่ในความงุนงงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
มีเพียงคุณหนูอวี๋ที่ส่งเสียงด้วยความดีใจ “ฉันบอกแล้วว่าให้เธอมาอยู่กับฉัน กินข้าวหรืออาบน้ำก็สะดวกสบาย ยังพอมีเวลาเปลี่ยนไปใส่เครื่องแบบฝึกทหาร พวกเรารีบไปกันเถอะ แม่ของฉันเก็บของรออยู่ที่นั่นแล้ว”
กระเป๋าเดินทางของเธอยังไม่ได้ถูกเปิด หาก้าไปจากที่นี่ตอนนี้ก็สะดวกมาก
จนเมื่อคนอื่นๆ มีปฏิกิริยาตอบสนอง ตระกูลซูทั้งสี่คน อวี๋ฉิง และคนขับรถรวมหกคนก็เดินกลับไปยังทางเดิม เหลือไว้เพียงเงา
ผู้ปกครองของนักเรียนอีกสองคน : …
“ไปแบบนี้เลยหรือ”
พวกเรายังอยากให้บุตรสาวของตนเองได้เรียนหนังสือร่วมกับนักเรียนอันดับหนึ่งนี่นา
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้กลายเป็เื่ใหญ่มาก พวกเขาเคยกังวลว่าซูอินจะมีปัญหาไหม แต่อย่างไรเสียตบมือข้างเดียวคงไม่ดัง ทว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ การกระทำของซูอินขจัดความสงสัยจนหมด สิ่งต่างๆ ล้วนเกิดจากจิตใจ เด็กที่ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับได้รับสายลมเย็นใน่ฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้น่าจะไม่มีปัญหาแน่นอน
บุตรสาวของพวกเขาอยู่ห้องพักเดียวกับซูอินเหมือนกับได้โบนัส
แต่เพียงพริบตาเดียวโบนัสก้อนนั้นก็หลุดลอยจากมือ
น่าเสียใจจริงๆ!
ผู้ปกครองของทั้งสองครอบครัวเหลือบมองสองแม่ลูกตระกูลเจี่ยง จากนั้นหันไปขอความช่วยเหลือจากหวังเหวินชิง
“คุณครูครับ ลูกสาวของพวกเราเปลี่ยนห้องได้ไหมครับ…”
“เปลี่ยนห้องดีกว่าค่ะ ลูกสาวของเราสนใจเื่เรียนมาั้แ่เด็ก พวกเราหวังว่าสามปีจากนี้เธอจะได้ตั้งใจเรียนอย่างสงบสุข”
เมื่อถูกทุกคนแสดงท่าทีรังเกียจ สีหน้าของสองแม่ลูกตระกูลเจี่ยงก็หม่นหมองลงทันที
พวกเขารู้ดีว่าเกิดจากสิ่งใด มารดาตระกูลเจี่ยงลูบผ้าคลุมไหล่ราคาแพง เธอรู้สึกหดหู่ใจ แต่ทำได้เพียงข่มความรู้สึกและยิ้มกลับไป
หากตัดผลประโยชน์ออกไป เธอก็คาดหวังให้บุตรสาวได้อยู่ร่วมกับนักเรียนห้องโอลิมปิก
ซูอินไม่ได้รับรู้ถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในหอพัก
เมื่อออกมาจากตึกหอพัก พวกเธอกลับไปยังหน้าประตูโรงเรียน มีเด็กสาวเดินผ่านพวกเธอไปด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“เห็นหรือเปล่า หล่อมากเลย”
“ทำไมครูฝึกปีนี้หล่อขนาดนี้!”
“โดยเฉพาะคนที่เป็หัวหน้า ดูดีกว่าดาราเสียอีก”
“ฉันว่าคนที่อยู่ข้างหลังเขาหล่อกว่า เหมือนจิ้งจอกเก้าหางที่หลุดออกมาจากการ์ตูน”
“เป็รับแน่ๆ ถ้างั้นคนข้างหน้าก็ต้องเป็รุกแน่นอน”
ซูอิน : …
ตายแล้ว สาววายนี่นา
แม้ว่าเด็กสาวจะตื่นเต้น แต่เธอไม่ใส่ใจอะไรมาก เธอปรายตามอง ในโรงเรียนมัธยมลำดับที่หนึ่งเต็มไปด้วยนักเรียนอ่อนเยาว์ที่หน้าเป็สิวและสวมเครื่องแบบนักเรียนที่ดูหม่นหมอง
หากต้องใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้นานๆ เมื่อเห็นพี่ๆ ทหารตัวสูงโปร่งกลุ่มหนึ่งที่อยู่ตรงนั้นก็คงรู้สึกว่าหล่อจนไม่มีอะไรมาเทียบได้
แต่ว่าการเป็ทหาร มันก็ดูเท่กว่าดาราจริงๆ นั่นแหละ
ใบหน้าคมคายของชายหนุ่มแวบขึ้นมาในหัวทำให้เธอรีบส่ายหน้า เธอเคยได้ยินคำยืนยันจากหลินเฉวียนว่า ฉินหล่างปลดประจำการทางทหารแล้ว ไม่มีวันถูกส่งมาเป็ครูฝึกของพวกเธอแน่ๆ
เธอส่ายหัวสลัดความคิดนั้นทิ้ง ก่อนจะให้ความสนใจไปที่เมิ่งเถียนเฟิน
เมื่อครู่เธอถูกสองแม่ลูกตระกูลเจี่ยงแสดงท่าทีรังเกียจ ความสุขที่เคยอยู่บนหน้าของเมิ่งเถียนเฟินหายไปอย่างสิ้นเชิง และถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกไม่พอใจในตนเอง
“แม่คะ ไม่ต้องไปสนใจคำพูดพวกนั้นหรอกค่ะ”
อวี๋ฉิงช่วยโน้มน้าว “ใช่ค่ะ คำพูดพวกนั้นก็เป็แค่ฉี่หนู ไม่แน่ว่าคงได้ผลประโยชน์จากตระกูลหลิง จงใจมาทำให้อินอินลำบากใจ คุณป้าเมิ่งคะ ไม่ต้องไปสนใจพวกเขาหรอกค่ะ”
เมิ่งเถียนเฟินรีบพยักหน้า และพยายามดึงสติกลับมา “ฉันไม่เป็อะไรหรอกจ้ะ จริงๆ”
แม้จะพูดออกไปเช่นนั้น แต่อันที่จริงในใจเธอยังคงหงุดหงิด
เมื่อพิจารณาถึงแก่นแท้แล้ว สาเหตุมันมาจากที่ครอบครัวของพวกเธอยากจน
ถึงแม้อินอินจะมีเงิน แต่เธอและเจี้ยนจวินตกลงเป็เอกฉันท์แล้วว่าจะไม่ใช้เงินของบุตรสาว แค่พวกเขาไม่เคยเลี้ยงดูบุตรสาวก็รู้สึกลำบากใจอยู่แล้ว พวกเขาไม่สามารถทำตัวเป็ปลิงสูบเืสูบเนื้อเอาเปรียบบุตรสาวได้
พวกเขาต้องหาวิธีหาเงิน ่ปิดเทอมอินอินเคยพูดถึงเื่ทำธุรกิจ เปิดร้านอาหารขนาดเล็กต่างๆ
ไม่ใช่แค่เมิ่งเถียนเฟิน ซูเจี้ยนจวินก็กำลังครุ่นคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ สองสามีภรรยาสบตากัน ต่างก็เห็นความหนักใจในแววตาของกันและกัน
ถึงแม้ว่าโลกด้านนอกจะอันตราย แต่บุตรของพวกเขาเติบโตขึ้นทุกวัน หลังจากนี้ต้องใช้เงินมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเป็ผู้ปกครองต้องมีการเปลี่ยนแปลง ต้องมีความสามารถถึงจะชูท้องฟ้าไว้ให้ลูกหลานหลบฝนได้
บัดนี้เมล็ดพันธุ์ที่ซูอินได้เพาะปลูกไว้ในจิตใจของพวกเขาได้เกิดเป็ต้นอ่อนแล้ว
เมื่อเดินผ่านถนนก็มาถึงห้องพักของตระกูลอวี๋ซึ่งอยู่ในพื้นที่คอนโดมิเนียมที่คุณครูพัก ในเวลานี้สองสามีภรรยาตระกูลซูครุ่นคิดจนเข้าใจทุกอย่าง สีหน้าของพวกเขาไม่หนักใจเหมือนก่อนหน้านี้
ตระกูลอวี๋ซื้อคอนโดมิเนียมห้องนี้ก็เพื่อให้อวี๋ฉิงได้พักระหว่างที่เรียนอยู่ที่นี่ ตำแหน่งของห้องนี้ดีมาก เดินจากปากทางไม่ไกล ห้องอยู่ที่ชั้นสาม ไม่สกปรกเหมือนชั้นหนึ่ง และไม่เดินจนเหนื่อยเหมือนชั้นสี่ชั้นห้า
สองสามีภรรยาตระกูลอวี๋ใช้ชีวิตสุขสบาย พวกเขาย่อมไม่ทำให้บุตรสาวลำบากอย่างแน่นอน ถึงแม้จะเป็ห้องเก่า แต่ด้านในมีการตกแต่งใหม่ ประตู หน้าต่าง กำแพงกันเสียงล้วนทำใหม่ทั้งหมด เฟอร์นิเจอร์ก็เปลี่ยนใหม่ทั้งหมด สไตล์เรียบง่ายแบบที่อวี๋ฉิงชอบ
ซูอิน…ก็ชอบเช่นกัน
ถึงแม้ในใจเธอจะชื่นชอบห้องสีชมพูเหมือนห้องเ้าหญิง แต่เธอก็ชื่นชอบสไตล์เรียบง่ายเช่นนี้เหมือนกัน
เมื่อพวกเขาทั้งหกคนเดินทางมาถึง หรงชิวกำลังอยู่ในห้องช่วยจัดข้าวของของอวี๋ฉิงอยู่กับแม่บ้านอีกคนหนึ่ง
เธอไม่เหมือนกับบางคนที่มองคนที่เงิน เธอเต็มใจต้อนรับสองสามีภรรยาตระกูลซู แก้วน้ำเป็ถ้วยกระเบื้องพอร์ซเลนซึ่งทำด้วยมืออย่างประณีต แทนที่จะใช้แก้วแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งซึ่งวางอยู่ใต้โต๊ะกลาง
“ฉิงฉิงคอยบอกตลอดว่าให้อินอินมาอยู่ด้วยกัน แต่เด็กคนนี้ก็ทำตัวห่างเหิน สาวน้อยสองคนอยู่ด้วยกันจะได้ช่วยเหลือดูแลกัน เื่การเรียนก็จะได้คอยสนับสนุนกัน ดีจะตายไปนะคะ”
เมิ่งเถียนเฟินถือถ้วยชา สีหน้าแสดงความลำบากใจเล็กน้อย “ไม่ได้ทำตัวห่างเหินหรอกค่ะ ก่อนหน้านี้ที่อินอินต้องนอนโรงพยาบาลก็รบกวนพวกคุณมากแล้ว ตอนนี้เข้าเรียนมัธยมปลาย ไม่ได้ใช้เวลาแค่วันสองวัน หากไม่ใช่เพราะไม่มีทางเลือก พวกเราก็ไม่อยาก…แบบนี้มันรบกวนพวกคุณมากเกินไปแล้วค่ะ”
จากสิ่งที่ยังพูดไม่จบนั้น หรงชิวสามารถรับรู้ถึงบางอย่าง “เกิดอะไรขึ้นหรือคะ”
อวี๋ฉิงรวบยอดสรุปให้เธอฟัง “ก็พวกสุนัขรับใช้ของตระกูลหลิงน่ะสิคะ บังเอิญถูกแบ่งมาอยู่ห้องเดียวกับอินอิน เหน็บแนมถากถางด้วยคำพูดต่างๆ แต่ก็ดีที่พวกเขาทำแบบนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นอินอินก็คงไม่ออกมาอยู่กับหนู”
หรงชิวพยักหน้า “ไม่ว่าที่ใดก็มีคนแบบนี้ พวกคุณอยากพูดอะไรก็พูดออกไปเลย บอกไปต่อหน้า หลังจากนี้ก็ไม่ต้องเก็บมาคิดอีก”
หรงชิวซึ่งให้กำเนิดอวี๋ฉิงเป็คุณหนูที่ไม่เคยสนใจกับคำว่า “อดกลั้น”
ซูอินพยักหน้าเห็นด้วย “คุณป้าหรงพูดมีเหตุผลมากค่ะ ใช่แล้ว ห้องของพวกคุณตกแต่งสวยมาก หนูไม่อยากอยู่ฟรีๆ ให้หนูจ่ายค่าเช่าเถอะค่ะ”
แววตาของเมิ่งเถียนเฟินเป็ประกาย “ใช่ค่ะ ให้อยู่เฉยๆ ไม่ได้ พวกเราจะจ่ายค่าเช่าค่ะ”
เธอเอ่ยพร้อมกับล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง วันนี้ต้องจ่ายค่าเทอม เธอจึงเตรียมเงินมาด้วยไม่น้อย
อวี๋ฉิงรีบห้ามมือของเธอ “จ่ายค่าเช่าทำไมคะ”
ในเวลาเดียวกันเธอมองซูอินอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกเราเป็เพื่อนสนิทกัน กับฉันก็ยังจะคิดแบบนี้หรือ”
หรงชิวก็ไม่เห็นด้วยกับการเก็บค่าเช่าห้อง “ใช่แล้ว ครูที่สอนพิเศษข้างนอกก็มีการเก็บค่าสอนเป็รายชั่วโมง หากตอนไหนอินอินว่าง สอนการบ้านฉิงฉิงแทนค่าเช่าห้องก็แล้วกัน”
ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามพูดอย่างไร ซูอินกลับยืนหยัดในความตั้งใจของตนเอง
“หนูเป็เพื่อนสนิทฉิงฉิง อย่างไรก็ต้องช่วยสอนเธออยู่แล้ว แม้แต่พี่น้องกันยังเก็บเงินเลย คุณเก็บค่าเช่าห้องเถอะค่ะ แบบนี้หนูจะได้อยู่อย่างสบายใจ”
สองแม่ลูกตระกูลอวี๋ไม่ใช่คนที่พูดโดยไม่ไตร่ตรอง เมื่อเอ่ยมาถึงขนาดนี้พวกเธอจึงทำได้เพียงพยักหน้ารับ
“ตกลง ถ้าเช่นนั้นก็เอาตามที่อินอินเห็นสมควร ห้องนี้เป็ห้องเก่า ค่าเช่าไม่แพง ฉิงฉิงนอนห้องนอนหลัก อินอินนอนห้องนอนเล็ก แบ่งเป็ 4 ต่อ 6 เดือนหนึ่งจ่ายแค่สองร้อยหยวนก็พอ”
ซูอินมองห้องใหม่เอี่ยม รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์มีราคา
“ถ้าแบบนี้หนูก็เอาเปรียบสิคะ”
“พวกเราต่างหากที่เอาเปรียบ เชิญครูตั้งหลายคนมาสอนพิเศษให้ แต่ฉิงฉิงก็ไม่เข้าใจ”
อวี๋ฉิงแสดงสีหน้าหน่ายใจก่อนจะหยุดทั้งสองคน “แม่คะ อินอินเป็คนคุ้นเคยกันแท้ๆ ไม่ต้องแสดงท่าทีเกรงใจขนาดนั้นก็ได้ ตอนนี้ใกล้สิบโมงแล้ว อินอิน พวกเราไปรับชุดฝึกทหารกันเถอะ”
พวกผู้ใหญ่อยู่ที่ห้องต่อเพื่อช่วยกันเก็บของ ส่วนซูอินและอวี๋ฉิงลงจากตึกเพื่อไปรับชุดนักเรียน
ในฐานะโรงเรียนมัธยมปลายที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมือง โรงเรียนมัธยมลำดับที่หนึ่งจึงมีพื้นที่กว้างขวาง มีอาคารเรียนเป็ศูนย์กลาง อาคารหอพัก และห้องพักคุณครู ผู้ที่ทำงานในโรงเรียนแบ่งเป็สองฝั่ง อาคารหอพักและอาคารเรียนแยกออกจากกันโดยมีอาคารทดลองและโรงยิมกั้นไว้
เมื่อครู่ที่เดินจากหอพักนักเรียนไปยังตึกห้องพัก พวกเธอรู้สึกว่าระยะทางค่อนข้างไกล แต่ครั้งนี้เมื่อเดินกลับมายังอาคารเรียน ระยะทางสั้นลงครึ่งหนึ่ง ซึ่งแค่เดินลงจากตึก ข้ามถนนก็ถึง หากเดินเร็วหน่อย ใช้เวลาไม่เกินสองนาที
“สะดวกมากจริงๆ”
คุณหนูอวี๋แสดงสีหน้าเย่อหยิ่ง “ใช่น่ะสิ ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็คนหาห้องนี้”
“แน่นอนว่าไม่ใช่เธอแน่ๆ”
“แม่ฉันเป็คนหาก็ไม่ต่างอะไรกับฉันเป็คนหานักหรอก”
ในตอนที่กำลังพูดไปหัวเราะไป เพื่อนสนิททั้งสองคนก็เดินมาถึงอาคารเรียนสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 4
หวังเหวินชิงกำลังสอนวิชาคณิตศาสตร์ให้กับนักเรียนห้องสอง เธอสอนนักเรียนได้คะแนนดี ทำให้ผู้ปกครองหลายคนอยากให้บุตรหลานได้เรียนกับเธอ
ความสัมพันธ์ของตระกูลอวี๋อยู่ในระดับค่อนข้างสูง ทำให้พวกเขาส่งอวี๋ฉิงเข้าเรียนได้สำเร็จ แม้แต่สวีเหวินเหวินก็เข้าห้องสองได้เพราะดวง ทำให้เพื่อนสนิทร่วมชั้นมัธยมต้นมาด้วยกันทั้งสามคนได้เข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลายที่เดียวกัน และห้องเรียนของพวกเธอก็ถูกกั้นไว้ด้วยกำแพงเท่านั้น
พวกเธอแยกย้ายกันเข้าห้องเรียน โดยที่ซูอินเดินไปยังห้องหนึ่ง
ตอนนี้ยังไม่มีการจัดที่นั่ง จะนั่งตรงไหนก็ได้ ด้านข้างของเธอคือเด็กนักเรียนที่มีลักยิ้มคนนั้น เธอพยักหน้าให้ ในตอนที่กำลังจะเอ่ยปากคุยกับเธอ ครูที่ปรึกษาหวังเหวินชิงก็เข้ามา
“นักเรียนทุกคน ขอให้นักเรียนต้อนรับครูฝึกฉินด้วยค่ะ”
เสียงปรบมือดังขึ้น ขายาวของชายร่างสูงสวมชุดทหารเดินเข้ามาในห้องเรียน เขาถอดหมวกออกก่อนจะเผยให้เห็นใบหน้าสมบูรณ์แบบ
ในเวลานั้นห้องเรียนเงียบสนิทจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มหล่น
ซูอินที่เงยขึ้นมาเห็นใบหน้าคุ้นเคยก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไปทันที