“เสี่ยวหมี่คิดได้รอบคอบจริงๆ ถึงแม้่นี้แต่ละครอบครัวจะสุขสบายขึ้นมากแล้ว แต่จะให้เอาเงินจำนวนหลายสิบตำลึงออกมาก็ยังไม่ได้หรอก”
“นั่นสิ รอจนผักพวกนั้นขายออกแล้ว เราก็ค่อยคืนเงินที่เสี่ยวหมี่ออกไปก่อนนี้เป็อันดับแรก”
ทุกคนต่างพากันตอบรับ นายท่านเฝิงเอ่ย “การเพาะปลูกนั้นปกติก็ต้องดูว่า์สนับสนุนหรือไม่ แต่เสี่ยวหมี่ช่วยเหลือทุกคนเช่นนี้ ทุกคนก็ต้องสำนึกในบุญคุณ ต่อให้การเพาะปลูกครั้งนี้ไม่ได้กำไร ปีหน้าเมื่อขายหนังสัตว์ได้ก็ต้องคืนเงินต้นเสี่ยวหมี่ให้ได้”
“ขอรับ นายท่านเฝิง”
ทุกคนย่อมไม่ปฏิเสธ พวกนายพรานต่างมีนิสัยตรงไปตรงมา หากว่ามีบุญคุณก็ย่อมต้องทดแทน มีแค้นต้องชำระ การที่เสี่ยวหมี่ช่วยให้ทุกคนหาเงินได้เช่นนี้ พวกเขาจะเห็นมันเป็เื่ธรรมดาแล้วไม่ใส่ใจจนปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่ตอบแทนไม่ได้
บิดาลู่ไม่สนใจเื่พวกนี้อยู่แล้ว เมื่อได้ยินบรรดานายพรานปรึกษากัน เขาก็หันมาบอกเสี่ยวหมี่ให้เตรียมอาหารเย็น จากนั้นก็มุดกลับเข้าไปในห้องเพื่อต่อสู้กับตำราเ่าั้ต่อ
เสี่ยวหมี่รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกกับการกระทำของบิดา จึงทำได้เพียงเรียกเฝิงเจี่ยนที่ไม่รู้กำลังเขียนอะไรอยู่ในห้องให้ออกมาช่วยรับแขก
ท่านป้าเจียงมาช่วยงานที่สกุลลู่ได้พักหนึ่งแล้ว ถึงแม้เวลาทำกับข้าวจะยังไม่กล้าใส่น้ำมัน เวลาหั่นเนื้อก็บางบ้างหนาบ้าง แต่อาหารหลักๆ ของเสี่ยวหมี่นางได้เรียนรู้จนหมดแล้ว
มีนางคอยช่วย เสี่ยวหมี่จัดเลี้ยงอาหารก็ง่ายขึ้นมาก เพียงไม่นานกับข้าวแปดอย่าง บวกกับยำหัวไชเท้าใส่ลูกชิ้นก็ถูกยกขึ้นโต๊ะ
ชาวบ้านในหมู่บ้านเขาหมีต่างมีข้าวโพดกินกันที่บ้าน ไม่ขาดแคลนเสบียงอาหาร หลังจากล่าสัตว์เอาไปขายก็หารายได้เพิ่มเข้ากระเป๋าครอบครัว อาจไม่ถึงขั้นร่ำรวย แต่อย่างน้อยก็มีเงินเหลือเพียงพอ
แน่นอนว่ายามกินอาหาร พวกชาวบ้านก็ไม่ได้ตะกละตะกรามเหมือนเมื่อก่อนแล้ว รักษามารยาทกันขึ้นมาก
ต่างกับโต๊ะเล็กในห้องครัว ซูอีและเกาเหรินกินข้าวขาวพูนถ้วยกับผัดกระดูกหมูและลูกชิ้นเนื้ออย่างเอร็ดอร่อยเป็ที่สุด
ตอนที่เสี่ยวหมี่เข้ามาเติมกับข้าวเห็นพวกเขากินกันราวกับอดอยากปากแห้ง ก็เคาะศีรษะรายคน แต่สุดท้ายก็ตักหมูเติมให้พวกเขา
รอจนงานเลี้ยงอาหารที่เรือนหน้าจบลง ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ข่าวใหญ่ก็แพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้านเขาหมี
บรรดาชาวบ้านต่างโห่ร้องด้วยความยินดี เพราะเพิงผักของเสี่ยวหมี่ทำเงินมหาศาลในฤดูหนาวปีก่อน ทำให้ทุกคนต่างอิจฉา ยามนี้บ้านตัวเองก็สามารถเพาะปลูกแบบนั้นได้เช่นกัน จะไม่คาดหวังรอคอยด้วยความตื่นเต้นได้อย่างไร
ดังนั้นเช้าวันรุ่งขึ้น ยังไม่รอให้พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า ทุกคนก็ตื่นขึ้นมาท้าลมหนาวกันแล้ว
เรือนกระจกแห่งแรกแน่นอนว่าต้องเป็ของสกุลลู่
เสี่ยวหมี่เลือกพื้นที่บริเวณที่เคยใช้ปลูกข้าว หลักจากเก็บเกี่ยวต้นข้าวไปหมดแล้ว ยามนี้จึงมีพื้นที่โล่งว่างที่เหมาะแก่การเพาะปลูกเป็อย่างยิ่ง
บุรุษกำยำจากสิบแปดครอบครัวต่างมารวมตัวกัน
อิฐทำจากดินถูกเตรียมไว้พร้อมหมดแล้วั้แ่่ฤดูร้อน เพียงพริบตาเดียวก็ถูกก่อขึ้นเป็กำแพงสามด้าน กำแพงฝั่งทิศใต้หันหน้าไปทางทิศเหนือถูกก่อสูงถึงหกฉื่อ ด้านซ้ายขวากลับถูกก่อเป็ลักษณะสี่เหลี่ยมคางหมู กลางเรือนกระจกมีเสากลมขนาดรัศมีเท่าปากถ้วยทำหน้าที่ค้ำหลังคา้า ด้านข้างสร้างหน้าต่างสี่เหลี่ยมตามระดับที่ลดหลั่นกันไปทั้งหมดยี่สิบสี่บาน แต่ละบานมีเชือกผูกติดไว้ให้สะดวกในการดึงเปิดปิด
พวกเขาไม่ได้ใช้กระดาษกรุหน้าต่าง แต่เปลี่ยนไปใช้ผ้าม่านทำจากผ้าฝ้ายบางๆ แทน เป็ผ้าผืนใหญ่ที่ปิดคลุมขอบหน้าต่างจนสนิท หากดึงปิดสนิทก็จะไม่มีลมหนาวใดลอดผ่านเข้ามาได้ แน่นอนว่าแสงแดดก็จะถูกขวางกั้นไว้เช่นเดียวกัน
เช่นนี้เองจึงเห็นได้ชัดว่าผ้าทะเลที่อยู่ด้านในมีประโยชน์เพียงใด ไม่ว่าในฤดูหนาวอากาศจะหนาวเย็นแค่ไหน ยามเที่ยงเมื่อเปิดหน้าต่างดึงม่านออก แสงแดดก็จะลอดผ่านผ้าทะเลเข้ามา แต่ลมหนาวกลับไม่อาจลอดผ่านเข้ามาทำให้ต้นกล้าแข็งตาย ่เวลาเช้าและเย็นที่อากาศหนาวเหน็บ เพียงแค่ดึงหน้าต่างปิดก็จะรักษาความอบอุ่นภายในเอาไว้ได้
แน่นอนว่าจะขาดเตาให้ความร้อนภายในเรือนกระจกไปไม่ได้เช่นเดียวกัน คนเยอะงานก็ง่ายขึ้นและเสร็จไวขึ้น
เพียงสองวันเรือนกระจกก็ถูกสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ
เทียบกับเรือนกระจกชั่วคราวของปีก่อนที่เสี่ยวหมี่สร้างขึ้นในห้องว่างของบ้านแล้ว เรือนกระจกหลังใหม่นี้ทั้งกว้างขวางและสะดวกกว่ามาก
ด้านในมีเตาให้ความร้อน หน้าต่างมีผ้าทะเลปิดทับบวกกับหน้าต่างชั้นนอกช่วยรักษาอุณหภูมิภายในเรือนกระจกให้อบอุ่นพอดี
ทุกคนนั่งอยู่ด้านในได้ประมาณสองเค่อก็เหงื่อท่วมตัวแล้ว แต่ละคนใบหน้าแจ่มใสเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ความอบอุ่นเช่นนี้ ต้นกล้าต้องเติบโตได้ดีอย่างแน่นอน
เนื่องจากเห็นความหวังอย่างเป็รูปธรรมอยู่ตรงหน้าแล้ว ทุกคนจึงมีแรงฮึดกันขึ้นมาเต็มที่
ชายหนุ่มกำยำจากทั้งสิบแปดครอบครัวไม่หยุดพักผ่อน ร่วมแรงกันสร้างเรือนกระจกหลังถัดไปทันที
เนื่องจากมีประสบการณ์แล้วจึงสร้างเสร็จได้เร็วขึ้น หนึ่งวันสามารถสร้างเรือนกระจกได้หนึ่งหลัง ผ้าทะเลในคลังของสกุลลู่ถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว เงินทองที่สูญเสียไปก็เรียกได้ว่าแทบจะในพริบตา
คนที่ทำงานอยู่ที่ตีนเขาก่อนหน้านี้ นอกจากคนที่มีหน้าที่ในโรงทำบะหมี่แล้ว คนอื่นก็กลับขึ้นเขามากันหมด
ตอนที่ทุกคนกำลังยุ่งกันอยู่นั้น เถ้าแก่เฉินก็มาหา ชายชราไม่ใช่ว่าร้อนใจอยากจะแต่งบุตรสาวออกไปไวๆ แต่เขาสนใจของแปลกใหม่ของเสี่ยวหมี่ต่างหาก
เขาเองก็รู้ดีว่าหากส่งเส้นบะหมี่พวกนี้ไปขายตามโรงเตี๊ยมแต่ละแห่งจะต้องได้ราคาดีอย่างแน่นอน
ถึงแม้สกุลเฉินจะไม่เดือดร้อนเงิน ไม่ถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับหากไม่ได้ทำการค้านี้ แต่เห็นอยู่ว่าเงินทองกองอยู่ตรงหน้า กลับไม่อาจหยิบใส่กระเป๋าได้เสียที นี่เป็เื่ที่พวกพ่อค้าไม่อาจทนรับได้อย่างแน่นอน
ดังนั้นวันนี้ชายชราจึงดื่มสุราเพิ่มความกล้าสักเล็กน้อย แล้วให้เด็กรับใช้ขับรถม้าขึ้นมายังหุบเขาหมี
ในหมู่บ้านเขาหมีกำลังมีการก่อสร้างอย่างเอิกเกริก กระทั่งเวลาจะขึ้นเขาไปล่าสัตว์ยังมีไม่มาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเฝ้าหน้าปากทางเข้าเลย
ประตูทางเข้าถูกปิดลงกลอนไว้ คาดว่าคงมีแต่แมลงวันที่บินลอดเข้าไปได้
เถ้าแก่เฉินและเด็กรับใช้ะโกันจนลำคอแทบแตก สตรีที่ทำงานอยู่ในโรงทำเส้นบะหมี่ถึงได้ยินแล้ววิ่งมาเปิดประตูให้
“เหตุใดไม่มีคนอยู่เฝ้าประตู เกิดเื่อะไรขึ้นหรือ?”
สตรีนางนี้เนื่องจากเมื่อวานเรือนกระจกบ้านนางเพิ่งจะสร้างเสร็จจึงอารมณ์ดีเป็พิเศษ ได้ยินเถ้าแก่เฉินถามเช่นนี้ก็ตอบด้วยรอยยิ้ม “เถ้าแก่เฉินไม่รู้อะไร ในหมู่บ้านกำลังยุ่งอยู่กับการสร้างเรือนกระจก ปีนี้ท่านไม่ต้องมาเร่งรัดเพื่อตัดผักแล้ว เกรงว่าคงมีผักให้ขายในปริมาณเลยทีเดียวเ้าค่ะ”
“งั้นหรือ เช่นนั้นก็ดี ข้านึกว่าเสี่ยวหมี่จะเริ่มสร้างเรือนกระจกหลังปีใหม่เสียอีก ่นี้อากาศกำลังหนาวจัดเสียด้วย ไม่รู้เสี่ยวหมี่จะจัดการกับอากาศเช่นนี้อย่างไร”
เถ้าแก่เฉินรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา แต่ก็อดเป็ห่วงเสี่ยวหมี่ไม่ได้ ตัวเขาในตอนนี้นอกจากบุตรสาวแล้วก็รักเสี่ยวหมี่มากที่สุด
สตรีนางนั้นตอบเถ้าแก่เฉินอย่างไม่ปิดบังเพราะนางััได้ถึงความจริงใจของเขา
“เถ้าแก่เฉินวางใจ เสี่ยวหมี่เฉลียวฉลาดนัก ครั้งนี้ไม่ได้สร้างเพิงผัก แต่สร้างเรือนหลังหนึ่งขึ้นมาเป็เรือนกระจกเลยเ้าค่ะ”
“เช่นนั้นข้าต้องไปดูเสียหน่อยแล้ว”
เถ้าแก่เฉินละเลยเส้นมันฝรั่งจำนวนมากที่ถูกตากอยู่นอกโรงทำบะหมี่ เขาเดินเลยขึ้นไปดูเรือนกระจกก่อน
เสี่ยวหมี่กำลังตรวจสอบตุ๊กตาอยู่ ส่วนเกาเหรินไม่ชอบงานน่าเบื่อเช่นนี้จึงวิ่งไปช่วยคนอื่นที่กำลังก่อสร้างอยู่แทน ซูอีมีใจอยากจะช่วยแต่เขาไม่รู้หนังสือ ทั้งยังพูดคนละภาษาจนเสี่ยวหมี่หมดหนทาง จึงเรียกเฝิงเจี่ยนมาช่วยแทน
คนทั้งสอง คนหนึ่งช่วยจดบันทึกอีกคนก็จัดของใส่กล่อง แล้วยังสนทนากันอย่างสนิทสนมไปด้วย ดูแล้วเข้ากันได้ดีเป็อย่างยิ่ง พวกเขาแผ่บรรยากาศหอมหวานออกมาจนท่านป้าเจียงที่อยู่ใกล้ๆ อดยิ้มออกมาไม่ได้
เห็นเถ้าแก่เฉินมาแล้ว เสี่ยวหมี่เข้าใจว่าเขามาเร่งรัดจะเอาของ จึงยิ้มเอ่ยว่า “ท่านลุงมาพอดีเลย จะได้เห็นพอดีว่าเรากำลังยุ่งอยู่ ไม่เช่นนั้นท่านอาจจะคิดว่าข้าแอบี้เีอีกก็เป็ได้”
เถ้าแก่เฉินแกล้งทำเป็โกรธตอบว่า “ก็ใช่น่ะสิ ข้ากำลังโมโหอยู่ว่า่นี้เ้าเกียจคร้านนัก เส้นบะหมี่มากมายที่ตีนเขานั้นเ้าตั้งใจจะขายออกไปเมื่อใดเล่า? ยามนี้ในเมืองมีขบวนพ่อค้ามากมาย เป็โอกาสที่ดีในการทำธุรกิจ”
เสี่ยวหมี่รู้สึกผิดอยู่บ้าง เนื่องจาก่นี้นางยุ่งอยู่กับการสร้างเรือนกระจก อีกทั้งนางยังมั่นใจว่าเส้นมันฝรั่งพวกนี้ไม่เคยมีมาก่อนในแคว้นต้าหยวน จึงละเลยไม่ได้เก็บมันมาใส่ใจนัก
เป็ดังที่เถ้าแก่เฉินว่าจริงๆ เดือนนี้เป็่เวลาที่เหมาะสมในการขายพวกมันออกไป
แต่เสี่ยวหมี่จะยอมแพ้ง่ายๆ ไม่ได้ นางโต้กลับอย่างไม่ยอมว่า “ข้าคิดไว้แล้วเ้าค่ะ หากสองวันนี้ท่านลุงไม่มา ข้าก็จะไปหาท่านเอง ทั้งยังต้องขอยืมห้องครัวบ้านท่านด้วย”
“หมายความเช่นไร?”
เถ้าแก่เฉินรู้สึกแปลกใจระคนสงสัย แต่เฝิงเจี่ยนที่คลุกคลีกับเสี่ยวหมี่มานานกลับยิ้มเอ่ยว่า “เ้าจะจัดงานเลี้ยงหรือ”
“ฮ่าฮ่า พี่ใหญ่เฝิงฉลาดจริงๆ”
เสี่ยวหมี่รินน้ำชาให้คนทั้งสองแล้วจึงเอ่ยว่า “รบกวนท่านลุงส่งเทียบเชิญออกไป เชิญพวกเถ้าแก่เ้าของโรงเตี๊ยมทั้งหลายมากันให้หมด ให้พวกเขามาร่วมงานเลี้ยงที่บ้านท่าน ข้าจะลงมือเข้าครัวด้วยตัวเอง จัดงานเลี้ยงที่รายการอาหารทำจากเส้นแบบใหม่นี้ทั้งหมด เราต้องดึงดูดความสนใจของพวกเขาก่อน จากนั้นตามด้วยสูตรอาหาร ถึงตอนนั้นไม่ต้องกลัวว่าเส้นพวกนี้จะขายไม่ออก”
“ไม่เลว ข้าก็คิดไปว่าเ้าลืมเื่นี้ไปเสียสนิทแล้ว ที่แท้เ้าเตรียมการไว้ก่อนแล้ว”
เถ้าแก่เฉินยิ้มแย้ม ในใจคิดไว้เสร็จสรรพแล้วว่าจะเชิญใครมาบ้าง
เสี่ยวหมี่แอบทำสีหน้าล้อเลียนให้เฝิงเจี่ยนเห็นเพียงคนเดียว เถ้าแก่เฉินร้อนใจจนนั่งไม่ติด “ข้าจะรีบกลับไปก่อนแล้วกัน มีเื่อะไรก็ไปเรียกข้าได้ตลอด ให้ดีก็จัดงานพรุ่งนี้เสียเลย ถึงตอนนั้นก็ให้พี่เยว่เซียนของเ้าคอยเป็ลูกมือช่วยเ้า”
พูดจบเขาก็เดินออกไปอย่างรีบร้อน
เสี่ยวหมี่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “หากว่าพี่เยว่เซียนมีความสามารถได้สักครึ่งหนึ่งของเถ้าแก่เฉิน สกุลลู่เราก็คงกำไรแล้ว อย่างอื่นก็ช่างเถอะ ขอแค่นางช่วยห้ามปรามพี่ใหญ่ไม่ให้รื้อบ้านตัวเองมอบให้คนอื่นก็พอ”
นางไม่ได้พูดเกินจริง ทุกครั้งที่ให้พี่ใหญ่ลู่เข้าเมืองไปจะต้องส่งผู้ติดตามไปด้วย กระทั่งถุงเงินก็ไม่ให้เขาถือ ไม่เช่นนั้นตอนกลับบ้านมาคงไม่เหลือแม้แต่แดงเดียว
ก่อนหน้านี้ชื่อเสียงสกุลลู่โด่งดังไปทั่วเมือง ไม่ใช่เพราะความฉลาดของเสี่ยวหมี่หรอก แต่เป็เพราะบุตรชายคนโตมีน้ำใจมากเกินไปคนนี้ต่างหาก...
ต้นฤดูหนาวเป็่ที่เมืองอันโจวคึกคักที่สุด ทุกคนเปลี่ยนมาใส่อาภรณ์ขนสัตว์หนาหนัก
เนื่องจากที่แห่งนี้เป็แหล่งผลิตหนังสัตว์ที่ใหญ่ที่สุด ร้านค้าและตระกูลใหญ่ๆ แทบทั้งหมดจึงต้องส่งคนมาซื้อหาขนสัตว์หนังสัตว์กันที่นี่
พวกโรงเตี๊ยมที่ก่อนหน้านี้กิจการซบเซา ในที่สุดก็ได้เวลากอบโกยกันแล้ว