บรรยากาศในจวนอ๋องติ้งเป่ยโหวนั้นอึมครึมมาก
หลายวันมานี้ฮวาเชียนจือนั้นมีสีหน้าเ็าอยู่ตลอดเวลา นางคิดไม่ถึงจริงๆว่าม่อเวิ่นเฉินจะจากไปนานถึงเพียงนี้อีกทั้งในรายงานที่นางได้รับก็ล้วนแต่มีชื่อของซูฉีฉีอยู่ในนั้น เสมือนว่าชีวิตของม่อเวิ่นเฉินนั้นไม่อาจพรากจากซูฉีฉีได้แล้วก็มิปาน
“เหอะผู้หญิงอัปลักษณ์คนนั้นดันมีชีวิตอยู่เสียได้” นางปาจดหมายรายงานที่ตนได้รับอย่างเกลียดแค้นพลางยกมือขึ้นกวาดถ้วยชาบนโต๊ะทิ้งจนตกแตก น้ำชาที่อุ่นกำลังดีนั้นได้กระเด็นเลอะเต็มพื้นไปหมด
สาวใช้ที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นด้านล่างนั้นกำลังตัวสั่นด้วยความกลัว แต่กลับไม่กล้าเอ่ยคำพูดใดออกมา
เสมือนว่าน้ำและถ้วยชาที่ตกกระจายไปบนพื้นนั้นยังไม่ช่วยให้นางคลายโทสะฮวาเชียนจือก็ได้ลุกขึ้นอย่างกะทันหันแล้วยกขาขึ้นถีบสาวใช้ที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นอย่างแรง “เื่ดีๆ ที่เ้าทำไว้แท้ๆ”
สาวใช้คนนั้นรีบโขกศีรษะขอขมาไม่หยุดพลางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “ขอให้องค์หญิงทรงลงโทษด้วย...”
นางสะบัดมือฟาดลงบนหน้าของสาวใช้จนนางทรุดลงไปกับพื้นไม่กล้าแหงนหน้าขึ้นมาอีก ฮวาเชียนจือถึงจะยอมหยุดมือ “เ้ายังจำได้สินะว่าข้ามีสถานะเป็องค์หญิง”
สาวใช้ก้มกราบแนบกับพื้นก่อนจะเอ่ยรับผิดไม่หยุดคำพูดมากกว่านั้นแม้แต่คำเดียวนางก็ไม่กล้าเอ่ยออกมานางคือสาวใช้ที่วังหลวงได้ส่งมาคุ้มครองฮวาเชียนจือ เพราะถึงอย่างไรเสียนางก็เป็บุตรสาวของฮ่องเต้หญิงแคว้นป่ายฮวาปีนั้นเป็เพราะไม่มีทางเลือกจึงได้ส่งนางออกจากวังมา
ตอนนี้ฮ่องเต้หญิงมีอำนาจแล้วแน่นอนว่าต้องคุ้มครองบุตรสาวที่อยู่นอกวังให้ปลอดภัย
เพียงแต่ว่านางไม่รู้ถึงนิสัยของบุตรสาวตัวเองคนที่ส่งมาคุ้มครองนางนั้นได้ถูกส่งออกไปเป็นักฆ่าเสียจนหมดไม่เพียงแต่ส่งคนพวกนั้นออกไปฮวาเชียนจือยังได้ใช้เงินจำนวนมากจ้างนักฆ่าอีกกลุ่มหนึ่งเพียงเพราะนาง้าให้ซูฉีฉีตายไปเสีย
หรือว่าฆ่าเหลยอวี๊เฟิงให้ตายไป
นางเองก็ไม่ชอบการมีตัวตนอยู่ของเหลยอวี๊เฟิงเพราะว่าดวงตาที่ผู้ชายคนนั้นมองนางนั้นเหมือนมีดทิ่มแทงก็ไม่ปานทำให้นางมักจะรู้สึกเหมือนมีของมีคนทิ่มหลังอยู่ตลอดเวลา
เพียงแต่ว่าข่าวคราวที่ส่งกลับมานั้นทำให้โทสะของนางต้องะเิออกมาคนที่นางส่งไปนั้นไม่มีผู้ใดรอดกลับมาแม้แต่คนเดียวอีกทั้งซูฉีฉียังมีชีวิตอยู่เป็อย่างดีและตอนนี้กำลังเดินทางกลับมาพร้อมกับม่อเวิ่นเฉิน
“ไสหัวออกไป” เมื่อตีจนเหนื่อยแล้วฮวาเชียนจือก็ตวาดออกมาเสียงต่ำ
สาวใช้ที่ก้มกราบอยู่ที่พื้นด้วยความในั้นก็ถือว่ารู้ทันสถานการณ์มิใช่น้อยนางรีบขานรับก่อนจะคลานออกไปโดยเร็ว
นางมาที่นี่ได้สองเดือนกว่าแล้วเดิมคิดว่าเ้านายของนางคนนี้จะสามารถรับใช้ได้ง่ายดายกว่าพวกคนในวังหลวงตอนนี้ถึงจะรู้ว่า พวกองค์หญิงทั้งหลายที่อยู่ในวังหลวงเมื่อเทียบกับฮวาเชียนจือแล้วถือว่ายังไร้เดียงสาอยู่มากนัก
นี่ขนาดว่านางยังมิใช่ตำแหน่งเ้านายหญิงแต่เป็เพียงแค่ญาติผู้น้องของท่านอ๋องเท่านั้น
แม้ว่าจะระบายโทสะออกไปแล้วแต่ฮวาเชียนจือก็ยังรู้สึกว่าโทสะที่มีอยู่ยังไม่คลายตอนนี้ม่อเวิ่นเฉินกำลังเดินทางกลับมาที่จวนแล้ว นางรู้ว่าเหลิ่งเหยียนกำลังตรวจสอบเื่นักฆ่าอยู่ยิ่งทำให้นางไม่กล้าลงมือทำอะไรมากนัก มิเช่นนั้นนางจะต้องใช้เงินจำนวนมากจ้างนักฆ่าที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปจัดการกับซูฉีฉีอย่างแน่นอน
นางไม่เชื่อหรอกว่ากับหญิงอัปลักษณ์ผู้ด้อยฝีมือเช่นนั้นจะสามารถหลบหนีได้ตลอดไป
นางเติบโตกับม่อเวิ่นเฉินมาั้แ่เล็กนิสัยพี่ชายคนนี้ของนางนั้นนางย่อมรู้ดีที่สุด ต่อให้เขาคิดจะช่วยคนแต่ก็ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่จะไม่ทำให้ตนเองเป็อันตรายเสียก่อน
ฮวาเชียนจือเดินวนไปวนมาอยู่ที่พื้นสามสี่รอบดวงหน้าที่งดงามของนางเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น ในดวงตาเต็มไปด้วยไอสังหารตอนที่ซูฉีฉีอาศัยอยู่ที่โรงซักล้างนางก็มิอาจทนเห็นการมีอยู่ของซูฉีฉีได้แล้ว ยิ่งมิต้องพูดถึงตอนนี้ซูฉีฉีได้ย้ายไปอยู่ภายในเรือนของม่อเวิ่นเฉินแล้ว นี่ยิ่งทำให้นางมิอาจทนดูต่อไปได้อีก
ั้แ่เด็กนางก็ยึดมั่นในตัวบุรุษผู้นี้มีหรือจะยอมยกเขาให้กับผู้อื่น ต่อให้ท่าทีที่ม่อเวิ่นเฉินมีต่อนางนั้นจะเ็าห่างเหิน แต่ว่านางก็ยังไม่ยอมตัดใจ
ดวงตาของนางหรี่ลงก่อนที่ฮวาเชียนจือจะหัวเราะออกมา เสมือนว่านางคิดแผนการดีๆ ออกมาได้แล้วพลางเหม่อมองไปในทิศทางอันไกลโพ้น “ซูฉีฉีข้านั้นกลับเฝ้ารอวันที่เ้ากลับมาเสียจริงๆ”
รอยยิ้มของนา''เด่นชัดขึ้นดูน่ากลัวยิ่งขึ้นกว่าเดิม ทำให้โฉมหน้าที่งดงามไร้ที่ติของนางนั้นบิดเบี้ยวไปบ้าง
ตลอดทางนั้นซูฉีฉีก็อารมณ์ดีไม่น้อยกับม่อเวิ่นเฉินนั้นแม้ว่าจะไม่มีเื่ใดให้เอ่ยคุยกันแต่ว่าบรรยากาศกลับไม่ได้เยือกเย็น มิได้อึดอัดดั่งเช่นเมื่อก่อนอีก ระหว่างพวกเขานั้นมีเพียงความรู้สึกของความห่วงใยและรักใคร่จางๆเท่านั้น
ม่อเวิ่นเฉินยังคงดื่มยาฟื้นฟูสภาพร่างกายของตนแม้ว่าจะไม่ได้เป็อันตรายมากแล้ว แต่ว่าภายใต้การยืนยันของซูฉีฉีแล้วเขาก็ยังคงต้องดื่มยาต่อไป
“เ้าคิดจะทำอย่างไรต่อ?” ทันใดนั้นม่อเวิ่นเฉินก็เอ่ยถามออกมาอย่างกะทันหัน
เหลิ่งเหยียนที่ขี่ม้าอยู่ด้านข้างของรถม้าเพราะได้นัดพบกับม่อเวิ่นเฉินระหว่างทางก็ได้ยินคำถามนี้เช่นกันเขาเองก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
ซูฉีฉีมีสีหน้าคล้ำขึ้นเล็กน้อยเหมือนมีความหนักใจอยู่บ้าง จากนั้นนางก็ถอนหายใจออกมา “ข้าอยากจะล้างแค้นให้ท่านแม่” เหลิ่งเหยียนไม่เข้าใจแต่ว่าซูฉีฉีกลับเข้าใจเป็อย่างดีถึงคำถามเมื่อครู่
ม่อเวิ่นเฉินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “วางใจเถอะ ข้าต้องล้างแค้นให้แน่ทว่าใกล้จะถึง่สิ้นปีแล้ว เ้าก็อย่าคิดอันใดให้มากเลยผ่านปีนี้ไปแล้วพวกเราค่อยมาปรึกษากันเื่นี้ดีหรือไม่?” เขากลัวว่าซูฉีฉีจะจมอยู่กับความเศร้าโศก
ซูฉีฉีหันไปสบตาเข้ากับดวงตาที่ดำสนิทแต่แฝงด้วยความอ่อนโยนของม่อเวิ่นเฉินก่อนจะพยักหน้าลง “ได้ ข้าจะพยายาม”
ระหว่างทางที่กลับมาจากเมืองหลวงนั้นซูฉีฉีหาได้รู้สึกมีความสุขอย่างแท้จริงไม่แม้ว่าม่อเวิ่นเฉินจะช่วยชีวิตนางอยู่หลายครั้ง ในใจนางเองก็รู้สึกอบอุ่นแต่ว่านางก็ยังคงรู้สึกค้างคาใจเกี่ยวกับการตายของมารดาตน
จุดนี้ม่อเวิ่นเฉินดูออกอย่างชัดเจน ในเวลานี้เขาถึงได้เอ่ยประโยคเช่นนั้นออกมา
เหลิ่งเหยียนกระตุกมุมปากเบาๆ บนใบหน้าที่เยือกเย็นนั้นกลับนิ่งเรียบไร้อารมณ์ดั่งเดิมเขาควบม้าให้วิ่งไปด้านหน้า เขารู้สึกว่าท่านอ๋องของพวกเขาเปลี่ยนไปแล้วไม่รู้ว่านั่นเป็เื่ดีหรือไม่ดีกันแน่
เขาได้ตรวจสอบจนรู้ถึงประวัติของนักฆ่าที่มาไล่สังหารซูฉีฉีแล้วทว่าผู้บงการเื้ันั้นยังคงหาตัวไม่พบ เพราะว่าคนเดียวที่ติดต่อกับพวกเขานั้นก็คือสาวใช้คนหนึ่ง ไม่มีลักษณะพิเศษใดๆ
เื่นี้ม่อเวิ่นเฉินจะต้องไม่ปล่อยไว้แน่นอน ทว่าตอนนี้ใกล้จะปีใหม่แล้วเขาตัดสินใจจะพักเื่นี้ไว้ก่อน ให้ฝ่ายตรงข้ามได้มีเวลาพักหายใจบ้างยังไงเสียพวกเขาก็ต้องทิ้งร่องรอยเบาะแสออกมาให้เห็น
ทางนี้ก็ปล่อยเื่นี้ไป ฝ่ายนั้นสักวันหนึ่งจะต้องลงมืออีกเป็แน่ เื่เช่นนี้ม่อเวิ่นเฉินรู้ดีเป็อย่างยิ่ง เขาคิดออกว่าคนผู้นั้นเป็ใครทว่าก่อนที่จะมีหลักฐานนั้น เขาก็ไม่กล้าทำอะไรเอิกเกริก
เมื่อเห็นดวงตาที่ใสกระจ่างของซูฉีฉีสายตาของม่อเวิ่นเฉินก็เลื่อนมองไปทางอื่นเขาเองก็มีจุดที่ตนเองก้าวข้ามไปไม่ได้เช่นกันพลางคิดถึงคำพูดของเหลยอวี๊เฟิงเขาเองก็ถามตัวเองเช่นกัน เขานั้นได้หวั่นไหวกับซูฉีฉีแล้วจริงหรือ?
สตรีเช่นนี้เหมาะสมที่สุดแล้วที่จะยืนอยู่ข้างกายเขา แต่ว่าเป็ญาติสนิท หรือว่าที่ปรึกษา?
เื่มากมายถ้าหากไม่มีซูฉีฉี เขาเองก็ไม่อาจทำมันให้สำเร็จโดยสมบูรณ์แบบได้ หรือแม้กระทั่งครั้งก่อนที่ตนนั้นโดนพิษทำให้สลบอยู่บนเตียงจนไม่อาจฟื้นได้ และยิ่งมิต้องพูดถึงครั้งนี้ที่พวกเขาคว้าชัยชนะมาได้ระหว่างที่อยู่เมืองหลวง
สำหรับความคิดเหล่านี้ของม่อเวิ่นเฉินซูฉีฉีนั้นหาได้รู้ไม่ นางเป็เพียงแค่สตรีธรรมดาๆ คนหนึ่งั้แ่เล็กก็ไม่ค่อยคาดหวังอะไรมากนักนาง้าบุรุษที่รักนางเพียงคนเดียวเท่านั้น ให้นางได้มีที่พักพิงในชีวิต
รูปโฉมของนางนั้นห่างไกลกับซูเมิ่งหรูทำให้นางรู้ั้แ่เล็กว่าไม่ควรคาดหวังอะไรจนเกินตัว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับม่อเวิ่นเฉินนางเองก็ยังคงหักห้ามใจตนเองไม่ได้
รถม้าหยุดแล้วม่อเวิ่นเฉินและซูฉีฉีหันมาสบตากัน คนทั้งสองมิได้เอ่ยคำใดๆ ออกมา จวนอ๋องถึงแล้ว ในที่สุดก็กลับมาแล้ว
ทว่าอารมณ์ของคนทั้งสองกลับเคร่งเครียดขึ้นไม่น้อย
อีกทั้งล้วนเปิดเผยออกมาผ่านทางดวงตา
ม่อเวิ่นเฉินะโลงจากรถม้าเขาไม่ได้ไปพยุงซูฉีฉีแต่กลับให้นางเดินลงมาเองพ่อบ้านและฮวาเชียนจือนั้นได้รออยู่หน้าประตูจวนั้แ่แรกแล้วเมื่อเห็นว่าม่อเวิ่นเฉินเดินก้าวมาตามด้วยซูฉีฉีในดวงตาของพ่อบ้านชราก็เต็มไปด้วยความสบายใจ แต่ความอ่อนโยนบนสีหน้าของฮวาเชียนจือนั้นยังคงปกปิดไอสังหารในดวงตาของนางได้ไม่มิด
แม้ว่านางจะไม่ได้เห็นภาพที่ไม่ควรเห็นแต่ว่าซูฉีฉีที่ปลอดภัยดีไม่มีาแเช่นนี้มายืนอยู่ตรงหน้านางก็ทำให้ในใจของนางรู้สึกไม่สบอารมณ์
“พี่เวิ่นเฉิน ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว” ฮวาเชียนจือเดินไปด้านหน้าก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลดวงตาทั้งสองใสกระจ่างดุจน้ำขณะมองไปที่ม่อเวิ่นเฉิน
ม่อเวิ่นเฉินทำเพียงแค่พยักหน้าแม้แต่คำพูดคำหนึ่งยังไม่เอ่ยกับนาง พลางก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปด้านในจวนอ๋อง ซูฉีฉีเดินตามมาด้านหลังทำให้ฮวาเชียนจือมองนางด้วยสายตาเคียดแค้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้