จู่ๆ เสี่ยวหมี่ก็นึกเื่สำคัญขึ้นมาได้ รีบถามว่า “แล้วพี่รองกับเสี่ยวเอ๋อเล่า?”
ไม่รอให้เฝิงเจี่ยนตอบ เกาเหรินก็รีบลากนางออกไปอย่างรู้สึกรำคาญ “พอขึ้นเขาไปได้ พี่รองของเ้าก็พาเสี่ยวเอ๋อเสี่ยวจาอะไรนั่นไปหาอาจารย์ของเขาแล้ว ข้าไปแอบดูมาแล้ว ผู้อื่นไปแช่น้ำพุร้อนอยู่บนเขานั่นแหละ”
“น้ำพุร้อน? พี่รองไม่เคยพาข้าไปด้วยซ้ำ คืนนี้กลับมาจะไม่ให้เขากินเนื้อ”
เสี่ยวหมี่เดินบ่นอุบอิบไปตลอดทาง เดินออกไปเปิดประตูต้อนรับคนในหมู่บ้านคนอื่นๆ ที่กำลังแบกเสบียงเข้ามา นางยิ้มแย้มเดินนำพวกเขาไปที่ห้องครัว
ตอนที่เสี่ยวหมี่รับถุงเงินที่เดิมควรหนักอึ้งกลับมาแล้วพบว่ามันเบาหวิวก็รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่เมื่อเห็นข้าวสารและแป้งทำบะหมี่ ทั้งยังมีน้ำส้มสายชูและน้ำมันแล้ว ก็อดระบายยิ้มออกมาไม่ได้
นางสังเกตเห็นว่าท่านป้าเจียงดูจิตใจไม่สงบ คงเพราะเป็ห่วงเด็กๆ ในบ้านที่ขึ้นเขาไปล่าสัตว์เช่นกัน เสี่ยวหมี่จึงอ้างว่าที่บ้านไม่มีเมี่ยนเฟย [1] แล้ว ให้นางกลับบ้านไปเอามาให้หน่อย
ท่านป้าเจียงจึงกลับบ้านไปอย่างยินดี
เมื่อพี่ใหญ่ลู่เลาะหนังจิ้งจอกเสร็จแล้ว ก็ย้ายไปจัดการหมูป่าตัวนั้นแทน เนื้อหมูที่เพิ่งถูกตัดแบ่ง สดจนไม่รู้จะสดไปมากกว่านี้ได้อย่างไร เสี่ยวหมี่ยิ้มกว้าง นางไปเปลี่ยนอาภรณ์จากนั้นก็กลับมาเตรียมตัวเข้าครัว
ต้มหัวไชเท้าใส่ลูกชิ้น เห็ดผัดไก่ฉีก ตับคั่วกระทะร้อน หมูตุ๋นใส่ถั่วลันเตา เนื้อหมูผัดน้ำแดง ไก่หั่นเต๋าผัดเปรี้ยวหวาน ปลาเปรี้ยวหวาน...
ท่านป้าเจียงกลับบ้านไปดูลูกหลานว่าปลอดภัยดีหรือไม่ แล้วจึงรีบกลับมา ครั้นเห็นเสี่ยวหมี่กำลังยุ่งหัวหมุนก็รีบเข้าไปช่วยทันที
รอจนอาหารเตรียมจนเกือบจะเสร็จแล้ว เสี่ยวหมี่เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นท่านป้าหลิวท่านลุงหลิวช่วยกันแบกเสี่ยวเตาเข้ามาในเรือนแล้วพากันโขกศีรษะ
ที่แท้เป็เพราะพี่ใหญ่เฝิงบุกเข้าไปช่วยชีวิตเสี่ยวเตาจากอุ้งมือเสือไว้ เขาถึงรอดมาได้ พวกเขาถึงได้พากันมาโขกศีรษะให้เฝิงเจี่ยนเช่นนี้
เสี่ยวหมี่มองอย่างใ แล้วเห็นพี่ใหญ่เฝิงค้อมตัวลงไปประคองท่านป้าหลิวขึ้นมา จู่ๆ ในใจก็รู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
บุรุษที่จิตใจกว้างขวางทั้งยังเก่งทั้งบุ๋นและบู๊คนนี้ ถึงกับเป็...
เสี่ยวหมี่หน้าแดงจัดจนท่านป้าเจียงรีบยื่นมือเข้าไปแตะหน้าผากนาง นางเขินอายมากรีบปัดป้องมือของท่านป้าเจียง “ท่านป้า ข้าไม่เป็ไรเ้าค่ะ เพียงแค่รู้สึกร้อนมากไปหน่อย ท่านช่วยข้าเติมฟืนให้ไฟลุกหน่อยเถอะเ้าค่ะ ข้าจะหุงข้าวแล้ว”
ท่านป้าเจียงกลับไปยุ่งง่วนเช่นเดิม ส่วนเสี่ยวหมี่ก็ดึงสติกลับมาที่การทำอาหารตรงหน้า
หลังจากที่พ่อแม่ลูกสกุลหลิวโขกศีรษะขอบคุณและขอโทษเสร็จแล้ว ระหว่างที่พากันกลับเดินผ่านห้องครัว เสี่ยวเตาก็อดหันมามองไม่ได้
ควันสีขาวลอยออกมาจากห้องครัว กลิ่นหอมของอาหารลอยมาเตะจมูกจนน้ำลายสอ เขามองเห็นแม่นางน้อยที่กำลังยุ่งอยู่ท่ามกลางควันนั้นเป็ของผู้ชนะไปเสียแล้ว
สิ่งนี้ทำให้เสี่ยวเตารู้สึกเศร้าสร้อยยิ่งนัก แต่กลับไม่อาจรู้สึกโกรธเกลียดเคียดแค้นได้ ความจริงก็เป็เช่นนี้ หากว่าคนคนนั้นแค่สูงกว่าเ้านิดหน่อยเ้าก็แค่ต้องพยายามเขย่งให้เท่ากับเขา แต่หากเขาอยู่สูงกว่าเ้าไปราวฟ้ากับเหว ก็มีแต่ต้องแหงนหน้าชื่นชมเท่านั้น
เฝิงเจี่ยนเป็ดั่งผืนฟ้าสำหรับเขา เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเสือสองตัวนั้น เขาตัวสั่นเทาได้แต่รอให้กลายเป็อาหารของพวกมัน แต่เฝิงเจี่ยนกลับสงบนิ่ง ปลิดชีวิตของเสือทั้งสองตัวได้ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าเฝิงเจี่ยนที่เป็คุณชายสูงศักดิ์คนหนึ่ง เหตุใดถึงมีฝีมือร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้ ความสามารถระดับนั้น ทั้งชีวิตนี้เขาคงไม่สามารถเทียบเคียงได้...
คล้ายว่าจะได้ยินเสียงถอนใจของบุตรชาย ท่านป้าหลิวรู้สึกปวดใจสงสารยิ่งนัก นางเอ่ยปลอบว่า “ลูกเอ๋ย ปลายปีนี้แม่จะให้แม่สื่อไปทาบทามสตรีดีๆ มาให้เ้า”
“ขอรับ” เสี่ยวเตารับคำเสียงเบา แล้วจึงหันกลับไปมองเงาร่างในห้องครัวนั้น คล้ายว่าจะสลักไว้ในความทรงจำให้แจ่มชัด...
หลายปีให้หลัง เมื่อเื่ราวทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ยามเขาหวนกลับมาคิดถึงความรักครั้งแรกในตอนที่ยังเป็หนุ่มก็ให้รู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก แต่ในตอนนี้กลับรู้สึกเพียงความเศร้าโศกและเสียดาย...
ฤดูใบไม้ผลิลมหนาวเริ่มพัดมาแล้ว สกุลลู่จึงไม่ได้ตั้งโต๊ะอาหารกลางแจ้งอีก ย้ายกลับไปตั้งกลางห้องโถงรับรองใหญ่แทน
โต๊ะกลมๆ ถูกเสี่ยวหมี่ เกาเหริน กับซูอีที่ราวกับผึ้งงานถมจานอาหารจนเต็ม
เกาเหรินที่อดใจไม่ไหวแอบกินถูกเสี่ยวหมี่ดุแล้วลากไปล้างมือทันที
บิดาลู่นั่งลงบนที่นั่งหลัก ส่วนเฝิงเจี่ยนนั่งลงบนที่นั่งแขก คนหนึ่งถือถ้วยคนหนึ่งรินสุรา ต่างมีรอยยิ้มประดับใบหน้า
ส่วนท่านป้าเจียงถือตะกร้ายิ้มโบกไม้โบกมือให้เสี่ยวหมี่แล้วเดินออกจากประตูไป
ในตะกร้านั้นมีต้มกระดูกหมูหนึ่งถ้วยที่เสี่ยวหมี่ไหว้วานให้นางนำไปให้สกุลหลิว และข้าวถ้วยใหญ่กับหมูผัดน้ำแดงที่ให้นางเอากลับบ้าน
นึกถึงวันนั้นที่เสี่ยวเตากระทำการเสียมารยาท แต่คนสกุลลู่ก็ยังดูแลเช่นนี้ ช่างมีคุณธรรมน้ำใจ นี่นับเป็วาสนาของคนทั้งหมู่บ้านเขาหมีจริงๆ
ป้าเจียงคิดได้เช่นนี้ก็เดินเร็วยิ่งกว่าเดิม
และในยามนี้เองทั่วทั้งหุบเขาหมีก็มีกลิ่นเนื้อหอมๆ ลอยอบอวลไปทั้งหมู่บ้าน ถึงแม้การออกล่าครั้งแรกจะยังได้อะไรกลับมาไม่มากนัก แต่เงินที่พวกผู้ชายเอากลับมาบ้านนั้นมากกว่าปีก่อนๆ ไม่น้อย ทำให้คนที่บ้านตื่นเต้นดีใจกันเป็อย่างยิ่ง
การเริ่มต้นที่ดีเป็ลางบอกเหตุดี แสดงว่าปีนี้พวกเขาคงจะล่าสัตว์และขายได้กำไรดีอย่างแน่นอน
สุราล้ำค่าที่ปกติเหล่าสตรีมักจะแอบไว้อย่างมิดชิดถูกนำออกมาให้พวกผู้ชายได้ลิ้มลอง...
ที่นอกหมู่บ้านเขาหมี รถม้าคันหนึ่งมีลู่เชียนและสหายทั้งสองนั่งอยู่ โดยมีโก่วจื่อเป็คนขับรถม้า
เมื่อเคลื่อนตัวเข้าไปก็เห็นว่ามีกองหินเรียงเป็แนวยาว ทั้งยังสร้างประตูรั้วขึ้นมาขวางกั้นทางเข้าออก
ตอนที่พี่สามลู่เตรียมจะะโลงจากรถม้าไปดูนั้น พรานหนุ่มที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูก็เอ่ยขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “พี่เชียน ท่านกลับมาแล้ว วันนี้บ้านท่านกำลังครึกครื้นเชียว ได้ยินว่าเสี่ยวหมี่จัดงานฉลอง”
ลู่เชียนดวงตาเป็ประกาย แต่ก็ยังอดถามไม่ได้ “แนวหินและรั้วไม้พวกนี้มันอะไรกัน?”
“ฮ่าฮ่า พี่เชียน สิ่งที่ทำให้ท่านใได้เป็หลังจากนี้ต่างหาก ท่านเข้าไปแล้วลองสังเกตดูรอบๆ ให้ดี หุบเขาหมีนี้ถูกเสี่ยวหมี่ซื้อเอาไว้แล้ว วันหน้าก็เป็ของพวกเราแล้ว”
พรานหนุ่มสองคนเปิดประตูให้เขาเข้าไป โก่วจื่อบังคับรถเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ลู่เชียนเห็นเรือนหลังใหม่สองหลัง เห็นบ่อน้ำที่เป็ระเบียบ คูน้ำเป็แนวยาวราวกับลำตัวั
นี่มันจะเปลี่ยนแปลงมากเกินไปแล้ว
เฉิงจื่อเหิงและหลิวปู๋ชี่เองก็มองออกไปนอกหน้าต่าง อดยิ้มกล่าวออกมาไม่ได้ว่า “ช่างเป็เมืองในหุบเขาราวกับภาพฝันจริงๆ”
พูดจบคนทั้งสองก็หยอกล้อลู่เชียนว่า “ยามปกติพวกเราอุตส่าห์เห็นใจว่าบ้านเ้ายากจน ไม่กล้าให้เ้าเลี้ยงข้าวเลี้ยงสุรา ที่แท้บ้านเ้ารวยมากเลยนี่นา หึ วันหน้าจะไม่ยอมถูกเ้าหลอกอีกแล้ว”
“นั่นน่ะสิ เ้านี่ไร้คุณธรรมน้ำใจจริงๆ”
ลู่เชียนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ข้าเองก็ไม่รู้นี่นา น้องหญิงข้า...”
พูดได้ครึ่งหนึ่งก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ควรพาดพิงถึงน้องหญิงของเขามากเกินไป จึงแก้เป็ “วันนี้น้องหญิงข้าจัดงานฉลอง พวกเรารีบไปเข้าร่วมจะดีกว่า”
“ได้สิ ตลอดทางมานี้ทำเอาข้าลำบากมาก ต้องเซ่นไหว้เครื่องในข้าสักหน่อยแล้ว”
ที่โต๊ะอาหารบ้านสกุลลู่ ทุกคนเพิ่งจะยกตะเกียบขึ้นมา จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตู เสี่ยวหมี่นึกไปว่าพี่รองลู่กลับมาแล้ว นางโยนตะเกียบทิ้งแล้ววิ่งออกไปปากก็บ่นไม่หยุด “พี่รอง ท่านรู้จักกลับมาด้วยหรือ ให้ท่านไปล่าสัตว์ท่านกลับ...หา พี่สาม”
ลู่เชียนลูบศีรษะน้องสาวอย่างรักใคร่ “เสี่ยวหมี่ ข้ากลับมาแล้ว เ้าสูงขึ้นอีกแล้ว”
“ท่านจากไปตั้งนาน หากยังไม่กลับมาอีกคงจะพลาดงานมงคลของพี่ใหญ่แล้ว”
เสี่ยวหมี่ปากบ่นแต่มือนางกลับจับชายเสื้อพี่ชายไว้ไม่ปล่อย จู่ๆ ก็สังเกตเห็นว่านอกประตูยังมีบัณฑิตแปลกอีกหน้าสองคนยืนอยู่ด้วย จึงเอ่ยว่า “พี่สาม ท่านพาแขกมาด้วยหรือ?”
“อา สองคนนี้เป็สหายของพี่ ข้าเชิญมาพักที่บ้านสักสองสามวัน”
ลู่เชียนเอ่ยอธิบายอย่างง่ายๆ แล้วจึงเห็นพวกบิดาลู่เดินออกมาต้อนรับ
เฉิงจื่อเฟิงทำเป็เช็ดน้ำลายที่มุมปาก ดึงลู่เชียนมาตัดพ้อ “มิน่าเล่า ก่อนหน้านี้เ้าไม่ยอมให้เรามาเป็แขกที่บ้าน ที่แท้ซ่อนน้องหญิงคนงามขนาดนี้เอาไว้”
“นั่นน่ะสิ ข้าจะอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนแล้ว”
หลิวปู๋ชี่เองก็ร่วมวงด้วย ทำเอาลู่เชียนกลอกตา รีบลากเ้าคนตะกละไร้มารยาททั้งสองเข้าไปคารวะบิดา
บิดาลู่เองก็พอใจที่บุตรชายพาสหายกลับมา ก่อนหน้านี้เขากังวลอยู่ตลอดว่าบุตรชายจะถูกรังแก ยามนี้นับว่าวางใจได้แล้ว
เฉิงจื่อเหิงและหลิวปู๋ชี่ล้วนมาจากตระกูลใหญ่ ย่อมรู้จักมารยาทและการเข้าหาผู้ใหญ่เป็อย่างดี จึงได้รับความเอ็นดูจากบิดาลู่แทบจะในทันที
เนื่องจากทุกวันนี้สมาชิกในสกุลลู่ก็มากอยู่แล้ว โต๊ะอาหารจึงมีขนาดใหญ่เพียงพอ ต่อให้เพิ่มเข้ามาอีกสามคนก็ไม่อึดอัด เสี่ยวหมี่วุ่นวายอยู่กับการเพิ่มตะเกียบและชามข้าว หันไปเห็นโก่วจื่อแอบอยู่ข้างนอกประตูไม่กล้าเข้ามานั่งที่โต๊ะ จึงไปตักข้าวพร้อมกับข้าวใส่ถ้วยใหญ่ให้เขา โก่วจื่อตื่นเต้นมาก เช็ดมือกับเสื้อของตัวเองลวกๆ แล้วรับไปอย่างระมัดระวัง
เสี่ยวหมี่ลูบศีรษะเขา “หากไม่พอก็ไปตักเพิ่มที่ห้องครัว ครอบครัวเดียวกัน วันหน้าไม่ต้องเกรงอกเกรงใจเช่นนี้”
“ขอรับ คุณหนู” โก่วจื่อพยักหน้าหนักแน่น รู้สึกแสบจมูกไปหมด
ตอนแรกจัดงานฉลองเพราะเฝิงเจี่ยนได้รับชัยชนะในการล่าสัตว์ ยามนี้คนสำคัญของครอบครัวกลับมา ก็ยิ่งเป็มื้ออาหารที่ครื้นแครง
เดิมทีจะกละก็คือเกาเหรินและซูอี ยามนี้เพิ่มลู่เชียน เฉิงจื่อเหิงและหลิวปู๋ชี่เข้ามาอีกสามคน กับข้าวที่นับว่าทำเยอะกว่าปกติในวันนี้ ท้ายที่สุดไม่เหลือแม้แต่ซาก
ทั้งที่จริงๆ แล้ว ระหว่างมื้ออาหารเสี่ยวหมี่ยังไปเข้าครัวเพื่อทำกับข้าวเพิ่มอีกสองสามอย่างแล้วด้วย ไม่เช่นนั้นวันนี้คงได้มีเื่อับอายว่าแขกมาแล้วกินไม่อิ่มท้องเป็แน่
หลังจากกินอิ่ม เพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ลู่เชียนก็พาสหายทั้งสองไปพักที่เรือนพักฝั่งตะวันตก ส่วนพี่ใหญ่ลู่ ่นี้เขาเข้าไปพักที่บ้านใหม่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน ส่วนพี่รองลู่นั้นก็ถูกทุกคนลืมจากสมองไป เขาชอบอยู่บนเขาไม่ใช่หรือ เช่นนั้นก็ให้นอนบนูเาไปก็แล้วกัน
เชิงอรรถ
[1] เมี่ยนเฟย(面肥)สารที่ช่วยทำให้แป้งฟู
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้