อวิ๋นอี้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าได้ไม่นาน หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ นางก็กลับมาเหี่ยวเฉาเหมือนกับมะเขือยาวที่ต้องน้ำค้างแข็งฤดูสารทเช่นเดิม
นางนอนอยู่บนเตียงไร้ชีวิตชีวา ลืมตาจ้องไปที่เพดาน
กู่ซือฝานมาหาสองสามคราระหว่างนั้น ใแทบสิ้นสติ
หากมิใช่เพราะหน้าอกขึ้นๆ ลงๆ นั้น กู่ซือฝานคงคิดว่าอวิ๋นอี้ถูกซูเมี่ยวเออร์ฆ่าตายไปเสียแล้ว
แม้ว่านางจะหายใจอยู่ แต่กู่ซือฝานก็วางใจมิลง จึงได้ะโใส่หูนาง
"ท่านพี่เพคะ?"
ได้ยินเสียงเอะอะของกู่ซือฝาน อวิ๋นอี้จึงเงยหน้าขึ้นจากผ้าห่มนุ่มๆ "พี่สะใภ้ของเ้า มิตายง่ายๆ หรอก เข้มแข็งขึ้นมา! ร้องไห้เช่นนี้น่าขายหน้านัก!”
หลังจากที่เห็นนางมีเรี่ยวแรงขึ้นมา กู่ซือฝานถอนหายใจแล้วพูดว่า “กระนั้นท่านพี่มานอนทำกระไรเพคะ?”
“ข้ากำลังนอนขอพร!” นางพูดมั่วๆ เพื่อตัดบท
กู่ซือฝานได้ยินเช่นนั้น ใขึ้นทันที ถามต่ออย่างจริงจัง "ขอพรกระไรเพคะ? หวังว่าซูเมี่ยวเออร์จะหยุดหรือเพคะ? ข้ามิคิดว่ามันจะเป็ไปได้ ทว่า นอนขอพรจะได้ผลกว่าหรือเพคะ?"
"…...”
อวิ๋นอี้มองกู่ซือฝานด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน
แท้จริงแล้ว นางมิอยากจะอดทนกับคนโง่ แม้ว่าจะเป็สตรีรูปงามก็ตาม
อวิ๋นอี้รู้ว่ากู่ซือฝานเป็คนจริงจังเกินเหตุ หากคุยต่อไป ผู้ที่อารมณ์เสียจะเป็นางได้ นางจึงเปลี่ยนเื่ไปว่า "คิดสิว่าพี่สะใภ้ของเ้าชื่อเสียงเรียงนามเช่นนี้ หากถูกทำให้ตาย ตายตาไม่หลับเป็แน่ ข้าจะเป็ผีทวงแค้นกับนาง!”
นางพูดพลางพลันอารมณ์ขึ้น จู่ๆ ก็ทำหน้าทำตาแยกเขี้ยวยิงฟันน่ากลัว ะโสุดเสียง ทำให้กู่ซือฝานหวาดกลัวจนต้องร้องหามารดามิได้หยุด
การตอบสนองของนางรุนแรง ขัดความตั้งใจของอวิ๋นอี้
“ดูเ้าขี้ขลาดเสียกระนี้สิ” นางพึมพำ “เช่นนี้เ้าจะปกป้องข้าได้อย่างไร?”
กู่ซือฝานถูกอวิ๋นอี้พูดกล่าวว่าจนหน้าแดง โต้เถียงกลับว่า “ท่านพี่ สิ่งที่ข้ากลัวมากที่สุดคือพวกผีปีศาจนี่เพคะ ฟ้าจะมืดแล้ว ท่านพี่อย่าพูดเื่พวกนี้เลยนะเพคะ!”
อวิ๋นอี้รับคำและลุกขึ้นจากเตียง
เมื่อตกกลางคืน ในห้องไม่มีไฟ บริเวณโดยรอบถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด
รูปร่างของนางเห็นเป็เพียงเงามืด มีเพียงเสียงหายใจเท่านั้นที่ชัดเจน
กู่ซือฝานมิรู้ว่านางกำลังคิดกระไรอยู่ ทว่าในขณะนั้น นางรู้สึกว่าพี่สะใภ้เจ็ดเหมือนจะมีความในใจมากมาย ราวกับมีฝุ่นปกคลุมออกมาจากความคิดเศร้าๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด น้ำเสียงนิ่งๆ ของนางก็ดังขึ้น “ได้เวลาอาหารเย็นแล้วใช่หรือไม่?”
“อ้อ ใช่เพคะ!” เมื่อถึงเวลาทานข้าว กู่ซือฝานก็มีสติขึ้นอีกครา ช่วยพยุงอวิ๋นอี้ โอบเอวของนางไว้แน่น "ไปกันเพคะ! พี่สะใภ้ ข้าจะนำทางให้!"
ที่โรงอาหาร ได้พบกับพระชายาองค์อื่นๆ ตามปกติ สถานที่ที่เหล่าสตรีอยู่คือทะเลสาบ
ทันทีที่อวิ๋นอี้ปรากฏตัว นางเดินกะโผลกกะเผลกพร้อมกับความอ่อนแอทั่วใบหน้า ทำให้ทุกคนหัวเราะนาง
กู่ซือฝานเบิกตากว้างด้วยความโกรธ อยากต่อว่าพวกนาง แต่ถูกอวิ๋นอี้บีบเอวไว้ เสียงที่ออกมาจึงเป็เสียงไอ้หยาแทนคำด่า
กลุ่มสตรีหัวเราะเยาะกันดังขึ้น
กู่ซือฝานอยู่ไม่เป็สุข นางพูดอย่างขุ่นเคือง “ท่านพี่!”
“รอก่อน” อวิ๋นอี้เม้มปาก “เพลานี้ต้องอดทน”
บรรยากาศเช่นนี้ เมื่อก่อนมิใช่ว่านางจะไม่เคยผ่านมา ภาพบรรยากาศในครานั้นเหมือนกับครานี้
อวิ๋นอี้มิได้โง่พอที่จะต่อกรกับพวกนางแบบตัวต่อตัว พวกที่ฟาดหินด้วยไข่ล้วนเป็คนโง่ แต่ก็มิได้หมายความว่านางจะไม่มีโอกาสระบายอารมณ์
นางมีความอดทนพอที่จะรอและวางแผนก่อน
อย่างไรก็ตาม...ว่างก็ว่างอยู่ ได้ต่อสู้กับผู้คน สนุกได้มิรู้จบ
แม้อาหารมื้อนี้จะต้องทานอย่างน้อยเนื้อต่ำใจก็ตาม
หลังจากทานเสร็จ ทั้งสองจึงพากันกลับหอพัก กู่ซือฝานคิดถึงสถานการณ์ของอวิ๋นอี้ นางจึงยัดเงินให้แม่นม บอกให้พวกเขาเอาน้ำร้อนมาให้พวกนางอาบ
มีเงินก็ปลุกผีมาผลักโม่ได้ [1] ขาและเท้าที่เจ็บ หลังจากอาบน้ำแล้วพลันสบายขึ้นมาก
นอกหน้าต่าง นางเห็นแสงระยิบระยับอยู่ข้างนอก ลมพัดละอองฝนมาด้วย ทำให้แสงจางลงเล็กน้อย
อวิ๋นอี้เห็นว่ามีแสงสาดเข้ามาในห้อง จึงเดินเข้าไป คิดจะปิดหน้าต่างให้สนิท
ใน่ปลายวสันต์ต้นคิมหันต์ อากาศมิได้ถือว่าเลวร้าย ทว่าหากเป็หวัดใน่เพลานี้ มันจะทำให้นางทรมานไปมากกว่าเดิม
ถึงอย่างไรซูเมี่ยวเออร์ไม่ดูแลนางแน่ มีแต่จะตีชิงตามไฟ! [2] อวิ๋นอี้คิดเื่นี้จึงกัดฟันอย่างอดมิได้ ตอนที่กำลังจะปิดหน้าต่าง นางมองออกไปข้างนอกโดยมิได้ตั้งใจพลันเห็นเงาสีดำ เงานั้นวิ่งเร็วจนนางตอบสนอง มิทัน เมื่อครู่นางเห็นผู้ใดหรือไม่นะ? มีผู้ลอบสังหารหรือ?
อวิ๋นอี้คิดถึงเื่นี้ นางอดกัดฟันด้วยความกลัวมิได้
กลางคืนเป็่เวลาที่ทำให้ผู้คนหวั่นไหวได้ง่าย ทำให้ยิ่งมีข้อสงสัยเกิดขึ้น
อวิ๋นอี้หัวใจเต้นเร็ว หน้าต่างปิดลงดังปัง ตอนที่นางเดินผ่านโต๊ะ รีบเป่าเทียนออกแล้วเดินขึ้นเตียงอย่างรวดเร็ว
หากว่านางมองไม่ผิด เมื่อครู่เงาดำนั่นน่าจะมุ่งหน้าลงไปทางทิศใต้
ถึงอย่างไร ตราบใดที่มันมิได้มาหานางกับกู่ซือฝาน นางจะมิเข้าไปยุ่ง
อวิ๋นอี้ขดตัวเหมือนกุ้งต้มในน้ำร้อน พับขากอดไว้ด้วยมือ โค้งตัว แล้วพิงกำแพง
เมื่อพิงเข้าไปก็เป็เื่!
นางมิได้พิงโดนผิวกำแพง แต่ััได้ถึงผนังเนื้อ อบอุ่น ถึงขนาดััได้ถึงการเต้นของหัวใจ
อวิ๋นอี้ขนลุกขึ้นในทันใด!
เหตุใดจู่ๆ ถึงมีคนอีกคนอยู่ในห้อง!
ทั้งยังนอนอยู่บนเตียงเดียวกับนางอย่างใกล้ชิดเสียด้วย!
อวิ๋นอี้อยากร้องไห้ นางยืดตัว พยายามขจัดความคิดออกจากจิตใจที่วุ่นวาย อ้อนวอนขอความเมตตา ให้ได้รับการอภัยโทษหรือกระไรทำนองนั้น
ทันใดนั้น ก็มีแขนโอบรอบเอวของนาง
“พี่ใหญ่…ท่าน…คนเก่ง?” อวิ๋นอี้สั่นเล็กน้อย “ท่านพ่อ?”
มือนั้นค่อยๆ ขยับขึ้น แตะไปที่ปากของนาง นางขมวดคิ้ว ความกังวลใจค่อยๆ ลดลง นางได้กลิ่นที่คุ้นเคย จึงพูดอย่างไม่มั่นใจ “ฝ่าา?”
“ชู่” บุรุษผู้นั้นพูด แล้วพลิกตัวลงมาทับนาง
เขาเปลี่ยนท่าทางหันหน้าเข้าหานางจากด้านหลัง แสงน้อยๆ ที่ส่องผ่านเข้ามา เผยให้เห็นถึงความหล่อเหลาของเขา
ความตึงเครียดจางไป ในตอนนี้อวิ๋นอี้เพียงแค่อยากจะด่าพ่อล่อแม่เขาเสียเหลือเกิน
ไม่สิ ด่าเท่านั้นยังมิพอ นางชกหน้าอกหรงซิว "ดึกดื่นกลางคืน มาทำกระไรที่นี่เพคะ ทั้งยังไม่ส่งเสียง มิกลัวข้าจะใตายหรือเพคะ?"
"ข้ามีพระชายาเป็อวิ๋นเออร์เพียงผู้เดียว เป็ห่วงเสียยิ่งกว่ากระไร จะทนเห็นเ้าตายได้อย่างไร?" หรงซิวถามกลับด้วยสีหน้าจริงจัง
การแสดงนี้เขาทำได้ดีนัก ขนาดอวิ๋นอี้ก็ยังดูไม่ออกว่าจริงหรือเท็จ
นางโบกมือ “ฝ่าามาทำกระไรที่นี่เพคะ?”
หรงซิวอดหัวเราะมิได้ “เ้ากับข้าเป็สวามีชายากัน ต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลาสิ เตียงที่จวนขาดอวิ๋นเออร์ไป ข้าหลับไม่ลง!"
ถุ้ย!
รอยยิ้มบนใบหน้าของเขา มิเหมือนกับกำลังพูดความจริง
วันนี้อวิ๋นอี้ถูกซูเมี่ยวเออร์เล่นงานอย่างหมดสภาพ นางมิมีอารมณ์ประสมโรงกับเขา จึงพูดอย่างเบื่อหน่าย "ข้าเหนื่อย จะนอนแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า"
พูดจบ ไม่ว่าหรงซิวจะอยู่ด้วยหรือไม่ นางหลับตาลงด้วยความสบายใจ
เดิมนางคิดว่าหรงซิวจะไม่ทำกระไร ที่ไหนได้ จู่ๆ เขาก็เข้ามาใกล้ จับคางของนาง แล้วจูบลงมาที่ริมฝีปากของนาง
ขนตาของอวิ๋นอี้สั่น พลันได้ยินเสียงที่ไพเราะของเขา "จริงๆ ข้ามาเพื่อขโมยบุปผา" [3]
จูบนั้นทำให้นางรู้สึกเร่าร้อนราวกับมีเวทมนตร์มหาศาล
หรงซิวที่ขโมยบุปผาเสร็จมิจากไปไหน ซ้ำยังล้มตัวนอนข้างนาง
อวิ๋นอี้ดูเหมือนหลับตาลงอยู่ แต่จริงๆ แล้วนางยังมีสติ
การหายใจของหรงซิว การเต้นของหัวใจ ทำให้นางไม่มีกะจิตกะใจนอนเอาเสียเลย
มิรู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด นางคิดว่าเขาหลับไปแล้ว ทว่ามิคิดเลยว่าเขาจะยกขาข้างหนึ่งของนางขึ้น กดฝ่ามือของเขาลงเบาๆ แล้วนวดให้นาง
หัวใจของอวิ๋นอี้เต้นเตลิดผิดจังหวะ
เชิงอรรถ
[1] มีเงินก็ปลุกผีมาผลักโม่ได้ 使鬼推磨 หมายถึง มีเงินจะทำกระไรก็ได้ทั้งสิ้น
[2] ตีชิงตามไฟ 趁火打劫 เป็กลยุทธ์หนึ่งในศึกสามก๊ก หมายถึงการอาศัย่เวลาที่ศัตรูอ่อนแอหรือย่ำแย่ บุกเข้าโตมตี
[3] ขโมยบุปผา 偷香 มาจาก 窃玉偷香 ลักหยกขโมยบุปผา หมายถึงความสัมพันธ์ลับๆ ของหนุ่มสาว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้