ผู้แข็งแกร่งของตระกูลหยาจื้อและผู้แข็งแกร่งของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง ต่างมีใบหน้าที่ตกตะลึง
คนวัยหนุ่มสาวของเผ่าหยาจื้อต่างมองไปทางค่ายกลนำส่งด้วยความประหลาดใจ ฉือเซียว หยางเต้า และคนอื่นๆ ต่างจ้องมองกันด้วยดวงตากลมโต เหมือนไม่อยากเชื่อสายตา แม้แต่ถังอีิเองก็ยังลืมว่ากำลังร้องไห้ฟูมฟาย หันมองไปทางต้นกำเนิดของเสียงอย่างตกตะลึง
สิ่งที่พวกเขาเห็นคือค่ายกลนำส่งที่ส่องสว่าง และมีเงาร่างของคนผมขาวคนหนึ่งปรากฏขึ้นบนค่ายกลนำส่ง หากไม่ใช่ฉินอวี่ที่ไล่ตามมาตลอดทางจะเป็ใครได้อีก?
ทันทีที่เลี่ยเอ๋ามองเห็นเงาร่างของคนผมขาว ดวงตาของเขาก็เบิกโพลงด้วยความใ ทำไมจึงเป็เขา?
แม้ฉินอวี่จะมีรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไป แต่ก็ไม่อาจหลีกพ้นสายตาของเลี่ยเอ๋าได้? เพียงพริบตาเดียวเขาก็มองออกทันทีว่านั่นคือฉินอวี่ สิ่งที่ทำให้เลี่ยเอ๋าต้องใอย่างมากคือ เด็กที่ไม่ได้จุดตะเกียงกรรมคนนี้ จะเป็... คนที่ไล่ล่าอันดับหนึ่งในรายนามระดับสามัญของเผ่าหยาจื้อจริงหรือ?
เป็ไปได้อย่างไร?
ดวงตาของหวังถูผู้นำศิษย์รุ่นสองก็หรี่ลงทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ดวงตาที่ขุ่นมัวของเขาจ้องตรงไปยังฉินอวี่ หน้าตาของเขาเผยให้เห็นความตื่นเต้นและชื่นชมอย่างชัดเจน
มีศิษย์ในสำนักที่สามารถไล่ล่าอันดับหนึ่งในรายนามระดับสามัญของเผ่าหยาจื้อได้จริงหรือ?
หวังถูผู้รู้จักรายนามระดับสามัญของเผ่าหยาจื้อเป็อย่างดี ก็แทบไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเช่นกัน
“การเดินทางครั้งนี้ไม่เสียเปล่า ต้องรักษาศิษย์คนนี้ไว้ ในภายหน้า เด็กคนนี้จะต้องกลายเป็เสาหลักของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง!” หวังถูพึมพำในใจ
แทบไม่รู้เลยว่า ฉินอวี่ในเวลานี้ก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน หากพูดกันตามตรง ทันทีที่ออกมาจากค่ายกลนำส่ง เขาก็ต้องพบกับพลังอันน่ากลัวที่เข้ามาปกคลุมร่างกาย ซึ่งนี่ทำให้ฉินอวี่ใเป็อย่างมาก
เมื่อเห็นผู้แข็งแกร่งของเผ่าหยาจื้อ ฉินอวี่ก็รู้สึกใจสั่นขึ้นมาทันที ได้กล่าวประโยคเมื่อครู่นี้ออกไปต่อหน้าพวกเขา ย่อมสร้างความขุ่นเคืองให้กับเผ่าหยาจื้อแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เมื่อมองเห็นเลี่ยเอ๋า ฉินอวี่ก็เข้าใจเจตนาการมาที่นี่ของสำนักยุทธ์ว่านจ้งในทันที และแล้วเขาก็สงบลง ก่อนจะมองไปทางผู้แข็งแกร่งของเผ่าหยาจื้อ เขารู้ว่าตอนนี้ควรเงียบไว้เป็ดีที่สุด และปล่อยให้ทุกอย่างเป็เื่ของสำนัก
บรรดาผู้แข็งแกร่งเผ่าหยาจื้อต่างกระวนกระวายใจเช่นกัน ไม่ใช่เพราะฉินอวี่ แต่เป็เพราะพวกเขาไม่อยากเชื่อเลยว่าอันดับหนึ่งจะถูกคนนอกไล่ตามเช่นนี้ และสิ่งที่เหลือเชื่อไปกว่านั้นคือ คนนอกคนนี้ มีระดับการฝึกเพียงขั้นกุมารทิพย์ระดับต้นเท่านั้น
เมื่อเผชิญหน้ากับคนนอกในขั้นกุมารทิพย์ระดับต้น อันดับหนึ่งไม่มีความกล้าที่จะสู้เลยหรือ? ผู้แข็งแกร่งเผ่าหยาจื้อทุกคนต่างจ้องไปทางอันดับหนึ่ง บ้างก็เริ่มไม่พอใจ บ้างก็รู้สึกเหลือเชื่อ และบางคนก็รู้สึกผิดหวัง...
เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาของเหล่าผู้าุโ อันดับหนึ่งก็รู้สึกได้ถึงความเยือกเย็นที่แผ่ซ่านจากปลายเท้าขึ้นมาถึงศีรษะของเขา หากวันนี้ไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน อันดับหนึ่งคงไม่สามารถเงยหน้าขึ้นได้ในเผ่าหยาจื้ออีก และสิ่งนี้ก็จะกลายเป็ความชั่วร้ายในใจที่จะคอยขัดขวางหนทางแห่งความแข็งแกร่งของเขา
อันดับหนึ่งเหลือบมองฉินอวี่อย่างโกรธเคือง จากนั้นจึงมองไปทางปู่ของเขาอย่างหวาดกลัว แต่กลับมองเห็นผู้เป็ปู่กำลังหรี่ตามองมาที่เขาอย่างเ็า อันดับหนึ่งรู้ดี ว่าหากวันนี้ไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน ก็อาจต้องเสียแม้ความสัมพันธ์กับปู่ของตนเอง เขารู้จักนิสัยของปู่ดี ว่าจุดจบคงลงเอยไม่ดีเท่าไรนัก
“ท่าน... ปู่...” อันดับหนึ่งเริ่มเอ่ยปากพูด แต่ยังไม่ทันพูดจบ กลับถูกเอ๋าเหิ่นขัดจังหวะ
“ข้าเป็ผู้นำของหยาจื้อ!” เอ๋าเหิ่นกล่าวอย่างนิ่งขรึม
อันดับหนึ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงไป “ท่านผู้นำ ตอนที่ข้าอยู่ในแดนมรณะ...”
“มีอะไรจึงไม่อาจพูดเปิดเผยต่อสาธารณะได้?” อันดับหนึ่งยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกเอ๋าเหิ่นขัดจังหวะอีกครั้ง
ฉินอวี่หรี่ตาลงมอง และแอบครุ่นคิดในใจ แม้ว่าคำพูดเหล่านี้จะดูดุดัน แต่อันที่จริงเขากำลังแก้ปัญหาให้อันดับหนึ่ง ไม่ว่าอันดับหนึ่งจะให้เหตุผลอย่างไร ก็ต้องพูดต่อหน้าทุกคน ไม่เช่นนั้น ในภายหน้าก็อาจไม่สามารถเงยหน้าขึ้นในเผ่าหยาจื้อได้อีก!
ในเวลานี้ เอ๋าเหิ่นได้ยกมือขวาขึ้น ม่านแสงก็ปกคลุมเหล่าผู้แข็งแกร่งของเผ่าหยาจื้อเอาไว้ จากนั้นจึงคว้าตัวอันดับหนึ่งเข้าไป
นอกม่านแสง คนหนุ่มสาวเผ่าหยาจื้อ และยอดฝีมือสำนักยุทธ์ว่านจ้งต่างจ้องตรงเข้าไปกลางม่านแสง ราวกับว่า้าจะฟังคำอธิบายนั้นเช่นกัน และนี่ก็รวมถึงฉินอวี่ด้วย เพราะเขาเองก็ยังไม่เข้าใจเช่นกันว่า จู่ๆ อันดับหนึ่งวิ่งหนีออกมาเพราะเหตุใด
“เ้าหนุ่ม ยังไม่มานี่อีก!” ขณะที่ฉินอวี่กำลังแปลกใจนั้น เลี่ยเอ๋าก็ส่งเสียงมายังความคิดของเขา แม้ว่าเสียงจะดัง แต่กลับดูอ่อนโยน
ฉินอวี่มองไปยังเลี่ยเอ๋าอย่างกระอักกระอ่วน และรีบตรงเข้าไปทันที
สายตาของผู้แข็งแกร่งสำนักยุทธิ์ว่านจ้งต่างมองไปทางฉินอวี่ แต่ละคนต่างประหลาดใจ พวกเขายากที่จะเชื่อเช่นกัน ว่าจะมีศิษย์สำนักสามารถทำให้อันดับหนึ่งในรายนามระดับสามัญของเผ่าหยาจื้อวิ่งหนีออกมาโดยไม่ต่อสู้ได้
“เ้าหนุ่ม บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมอันดับหนึ่งในรายนามจึงวิ่งหนีออกมาอย่างไม่คิดสู้?” หวังถูยกมือขวาขึ้น และสร้างม่านแสงปกคลุมทุกคนไว้เช่นกัน
ต้องบอกไว้เลยว่า แม้แต่หวังถูเองก็ยังไม่อยากเชื่อในเื่นี้ ถึงอย่างไรฉินอวี่ก็อยู่เพียงขั้นกุมารทิพย์ระดับต้น ส่วนอันดับหนึ่งนั้นอยู่ในระดับสูงสุดของเขตแดนิญญา อย่าว่าแต่ระดับการฝึกที่แตกต่างกันเลย แม้แต่พลังของสายเืหยาจื้อก็ยังยากมากที่จะมีใครสามารถต้านทานได้
ฉินอวี่หันไปมองหวังถูและเกาศีรษะทันที เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหนดี
“เ้าหนุ่มน้อย นี่คือผู้นำรุ่นที่สอง เ้าจะยืนกระมิดกระเมี้ยนทำไมกัน” เลี่ยเอ๋าพูดเสียงดังด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
ฉินอวี่ยิ้มอย่างขมขื่น “ผู้าุโเลี่ย ข้าไม่ได้กระมิดกระเมี้ยน แต่ข้าไม่รู้ว่าเป็เพราะอะไร ข้ากับอันดับหนึ่งเคยต่อสู้กันมาก่อน เดิมทีข้าก็อยากจะถอนรากถอนโคน เพราะเดิมแล้วเขาก็้าโจมตีข้าด้วยความเคียดแค้น แต่ไม่รู้ว่าเป็เพราะอะไร จู่ๆ เขาก็กลับหลังวิ่งหนีไป”
“โอหังนัก ถอนรากถอนโคนหรือ? เ้าคิดว่าเ้าสามารถสังหารอันดับหนึ่งได้อย่างนั้นหรือ?” เลี่ยเอ๋าประหลาดใจ ส่วนผู้แข็งแกร่งคนอื่นต่างหันมามองฉินอวี่ ความสงสัยของเลี่ยเอ๋าก็คือความสงสัยของเขาเช่นกัน
“ผู้าุโทุกท่าน พวกท่านยังไม่รู้อะไรทั้งหมด พวกท่านอย่าเพิ่งปฏิเสธที่จะเชื่อ ศิษย์พี่หวังมีโอกาสสังหารอันดับหนึ่งได้จริงๆ เพราะเขาได้สังหารอันดับห้าในรายนามระดับสามัญไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะศิษย์พี่หวัง พวกเราคงต้องตายอยู่ในหอคอยขัดเกลาแล้ว” ถังอีิเช็ดเืที่มุมปาก และพูดปกป้องฉินอวี่
สายตาของผู้แข็งแกร่งสำนักยุทธ์ว่านจ้งต้างจ้องมองฉินอวี่อย่างตกตะลึง การที่อันดับหนึ่งวิ่งหนีโดยไม่ยอมสู้อาจมีเหตุผลอื่น แต่การสังหารอันดับห้าได้ เป็สิ่งยืนยันในความแข็งแกร่งของฉินอวี่อย่างยิ่ง
“มีผู้เก่งกล้ากำเนิดขึ้นในใต้หล้า ไม่เลว! เ้าหนุ่ม แม้แต่ตัวข้าก็ยังมองเ้าผิดไป” เลี่ยเอ๋าตบไหล่ของฉินอวี่ ส่งเสียงหัวเราะดัง ฉินอวี่ได้เรียนรู้วิชาข้อบังคับฟ้าดินของเลี่ยเอ๋าแล้ว ก็นับได้ว่าเขาคือศิษย์โดยอ้อมของเลี่ยเอ๋า
“แต่เกรงว่าจะเกิดเื่ยุ่งน่ะสิ” หวังถูพูดขึ้นมาอย่างกะทันหันและเคร่งขรึม มองดูเอ๋าเหิ่นที่อยู่ไม่ไกลด้วยดวงตาที่ซับซ้อน
“ทำไมหรือ?” ถังจ้ง ผู้นำรุ่นสามรีบถามขึ้นทันที เมื่อได้ยินว่าฉินอวี่เป็ผู้ช่วยชีวิตถังอีิ ถังจ้งก็รู้สึกดีกับฉินอวี่ทันที
“เ้าหนุ่มน้อย หากเ้าสู้กับอันดับหนึ่ง เ้าคิดว่ามีโอกาสชนะสักเท่าไร?” หวังถูถามขึ้นมา
ฉินอวี่เข้าใจความหมายของหวังถู นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น “ครึ่งครึ่ง!”
“ดี ไม่นานเ้าจะต้องได้สู้กับอันดับหนึ่งแน่นอน! นี่คือความหวังเดียวเท่านั้นที่เ้าจะมีชีวิตรอด!” หวังถูกล่าวอย่างเคร่งขรึม
ในอีกด้านหนึ่ง
ผู้แข็งแกร่งเผ่าหยาจื้อต่างนิ่งสงบ จ้องตรงไปยังอันดับหนึ่งด้วยสีหน้าแปลกใจ มือขวาอันแก่ชราของเอ๋าเหิ่นจับมือของอันดับหนึ่งเอาไว้อย่างแรง และหลับตาเพื่อทำการัั เมื่อลืมตาขึ้น เขาก็พูดอย่างหนักแน่น “บรรพชนหยาจื้อ้าให้เ้าหนีหรือ?”
“อืม! ไม่เช่นนั้น เมื่อข้าพบเขา จะวิ่งหนีทำไม?” อันดับหนึ่งพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง เมื่อพูดจบ อันดับหนึ่งก็พูดขึ้นอีกครั้ง “ผู้นำ ตามสัญญาไท่กู่ ข้าสามารถต่อสู้ตัดสินเป็ตายกับเขาได้ ขอผู้นำโปรดอนุญาตด้วย!” ครั้งนี้ถูกฉินอวี่ไล่ตามจนหนีออกมา ทำให้เขาเสียหน้ามาก จึงอยากจะฉีกร่างฉินอวี่ออกเป็ชิ้นๆ
“เ้าบอกว่าเขามีเพลิงมรณะ?” เอ๋าเหิ่นเหลือบมองฉินอวี่ และถามออกไปเบาๆ
“ใช่ แต่เพลิงมรณะของเขาเหมือนยังไม่สมบูรณ์เท่าไร ข้ามั่นใจมากว่าจะสามารถสังหารเขาได้!” อันดับหนึ่งกล่าวอย่างดุดัน
“เ้าโง่ คิดว่ามีเพลิงมรณะแล้วจะไม่มีใครในแดนมรณะทำอะไรเ้าได้หรือ เ้าคงคิดว่าตนเองโชคดีมหาศาลแล้วสินะ แต่เขายังไม่ได้มัน? ในร่างของเขามีพลังปราณของหยาจื้อและเสวียนอู่ นั่นแสดงว่าเขาได้มันไปแล้ว ไม่นานสำนักยุทธ์ส่านจ้งจะต้องมาขอท้าประลองกับเ้า ซึ่งจะทำให้เ้าาเ็แน่นอน” เอ๋าเหิ่นพูดอย่างดุดัน
เดิมทีเอ๋าเหิ่นก็คิดจะทำเช่นนั้น
“ข้า... ผู้นำ แต่...” อันดับหนึ่งดูไม่พอใจ
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่รอดในเหวลึกนั่นเกินกว่าสามปี มีเพียงแค่พลังปราณหยาจื้อและเสวียนอู่ อย่างไรเขาก็ต้องตายอยู่ในเหวลึกแน่นอน และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพลิงมรณะอันบ้าคลั่งของจอมอสูรนั้นเลย!” เอ๋าเหิ่นกล่าวอย่างดุเดือด
