“นี่กระบอกน้ำของเ้ารึ?” จางเจิ้นอันเอ่ยถาม
“เ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์พยักหน้า ราวกับกลัวว่าเขาจะไม่ยอมรับไป นางจึงรีบอธิบายต่อ “ไม่ต้องห่วงนะเ้าคะ ข้าล้างสะอาดดีแล้ว หากท่านทำงานเหนื่อยๆ เกิดกระหายน้ำขึ้นมา จะได้มีน้ำดื่มอย่างไรล่ะเ้าคะ”
“ขอบใจ” จางเจิ้นอันรับกระบอกไม้ไผ่มา คล้องเชือกไว้กับตัว แล้วก้าวเท้าเดินจากไป
อันซิ่วเอ๋อร์เดินตามไปส่งเขาจนถึงหน้าประตูบ้าน แล้วจึงหยุดยืน มองตามแผ่นหลังกว้างของเขาที่ค่อยๆ ลับหายไป นางจึงหันกายกลับเข้าเรือน
จางเจิ้นอันหันกลับไปมองอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าไร้เงาของนางแล้ว จึงค่อยผ่อนลมหายใจยาว ความรู้สึกที่ถูกจับจ้องมองตามมาเช่นนี้ ช่างประหลาดพิกลนัก
เมื่อเดินกลับไปถึงเรือ จางเจิ้นอันก็ปลดเชือกที่ผูกเรือไว้ออก จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องโดยสาร โยนตะกร้าใส่ปลาลงข้างๆ ตัว วางกระบอกน้ำที่อันซิ่วเอ๋อร์มอบให้ไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบจอกสุราขึ้นมา รินเหล้าดื่มด่ำอยู่เพียงลำพัง ปล่อยให้สายลมพัดพาเรือล่องไปตามกระแสน้ำ
เมื่อเรือลอยไปใกล้ชายฝั่ง เขาก็เหวี่ยงแหออกไป กะตำแหน่งให้ดี แล้วเอนกายนอนลงบนพื้นเรือ ดื่มสุราเคล้าสายลมไปเรื่อยๆ เช่นเดิม
การหาปลาของเขานั้น ไม่ได้มุ่งหวังจะร่ำรวย ขอเพียงแค่พอมีพอกินก็พอแล้ว ก่อนหน้านี้เขาอยู่ตัวคนเดียว ค่าใช้จ่ายจึงมีไม่มากนัก ปกติมักจะหาปลาเพียงสามวัน แล้วพักผ่อนเสียสองวัน ทว่าบัดนี้มีคนในบ้านเพิ่มมาอีกหนึ่งปากท้อง เขาจึงจำต้องขยันขันแข็งขึ้นกว่าเดิม
ส่วนอันซิ่วเอ๋อร์นั้น เมื่อกลับเข้าบ้าน ก็เริ่มลงมือจัดการเก็บกวาดเรือนชาน
ก่อนหน้านี้ จางเจิ้นอันอยู่บ้านเพียงลำพัง ถึงแม้จะไม่ถึงกับสกปรกรกรุงรัง แต่ก็ไม่ได้สะอาดสะอ้านเป็ระเบียบนัก
นางมองดูเวลาคร่าวๆ จากเงาแดด แล้วตัดสินใจว่า่เช้านี้จะจัดการทำความสะอาดห้องครัวให้เรียบร้อยเสียก่อน เมื่อนึกถึงคราบข้าวที่ติดอยู่บนขอบชามเมื่อเช้า นางก็เห็นว่าถ้วยชามเหล่านี้ จำเป็ต้องนำมาล้างทำความสะอาดใหม่อีกครั้ง
ฟืนในครัวนั้นมีอยู่เต็มกอง ในเตายังคงมีถ่านไฟคุแดงหลงเหลือจากการก่อไฟเมื่อเช้า นางนำเหล็กคีมมาเขี่ยขี้เถ้าออก สุมใบไม้แห้งที่ติดไฟง่ายลงไป จากนั้นจึงวางทับด้วยกิ่งไม้เล็กๆ แห้งๆ นำกระบอกไม้ไผ่สำหรับเป่าลมมาเป่าตรงกลางสองสามที ไม่นานนัก เปลวไฟก็ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง
อาศัยไฟนั้น อันซิ่วเอ๋อร์จึงล้างหม้อใบใหญ่ให้สะอาดก่อน แล้วต้มน้ำไว้ครึ่งหม้อ
จากนั้น นางก็หากะละมังไม้มาใบหนึ่ง นำถ้วยชามในตู้กับข้าวออกมาทั้งหมด ซึ่งก็มีอยู่ไม่มากนัก อันซิ่วเอ๋อร์เตรียมกะละมังไม้อีกใบ ตักน้ำร้อนจากในหม้อมาผสมน้ำเย็นพอให้อุ่น แล้วใช้ผ้าขี้ริ้วชุบน้ำ เช็ดทำความสะอาดตู้กับข้าวทั้งด้านในและด้านนอกอย่างละเอียด
เมื่อเช็ดตู้กับข้าวเสร็จ นางก็เช็ดโต๊ะไม้เก่าๆ ที่วางอยู่ใต้ตู้อีกครั้ง บนโต๊ะนั้นมีคราบดำฝังแน่น อันซิ่วเอ๋อร์ออกแรงขัดถูอยู่นาน จนเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมบนหน้าผาก จึงเช็ดโต๊ะจนสะอาดเอี่ยมได้ในที่สุด
หลังจากนั้น นางก็ลงมือล้างถ้วยชามเ่าั้อีกครั้ง ล้างจนสะอาดหมดจดไม่มีคราบหลงเหลือ แล้วจัดเรียงตามขนาดและประเภท แยกวางไว้ในตู้กับข้าวอย่างเป็ระเบียบ
เมื่อมองดูตู้กับข้าวที่สะอาดสะอ้านขึ้นทันตา นางก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา
พักเหนื่อยอยู่ครู่หนึ่ง นางก็เริ่มลงมือทำความสะอาดเตาต่อ เตาไฟนี้ไม่รู้ว่าไม่ได้ขัดล้างมานานเท่าใดแล้ว บนนั้นมีคราบเขม่าและไขมันจับตัวหนาเตอะ จนแทบมองไม่เห็นสีเดิมของเตา อันซิ่วเอ๋อร์โกยขี้เถ้าละเอียดจากใต้เตาออกมา โรยลงบนคราบสกปรกนั้น
ใช้ขี้เถ้าขัดถูรอบหนึ่งก่อน แล้วจึงใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเช็ดซ้ำอีกหลายครั้ง ในที่สุดเตาไฟก็ดูสะอาดขึ้นมาบ้าง อันซิ่วเอ๋อร์ไม่ค่อยได้ทำงานบ้านหนักๆ เช่นนี้ วันนี้ทำต่อเนื่องมาั้แ่เช้า นางก็รู้สึกเมื่อยล้าอยู่ไม่น้อย
ทว่าเมื่อเห็นว่าใกล้เวลาเที่ยงแล้ว เกรงว่าจางเจิ้นอันจะกลับมาแล้วไม่มีอะไรกิน นางจึงไม่กล้าพักผ่อนต่อ รีบเช็ดกระปุกใส่เครื่องปรุงต่างๆ ให้สะอาด แล้วเตรียมตัวทำอาหารกลางวัน
เมื่อเปิดถังข้าวสารดู ในถังยังมีข้าวสารเหลืออยู่ประมาณครึ่งถัง ซึ่งทำให้อันซิ่วเอ๋อร์เกิดลังเลขึ้นมา ว่าจะทำโจ๊กหรือจะหุงข้าวดี?
หากทำโจ๊ก เขาจะกินอิ่มท้องหรือไม่? แต่หากหุงข้าวสวย เขาจะตำหนิว่านางใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินไปหรือเปล่า?
อันซิ่วเอ๋อร์เริ่มคำนวณอย่างรวดเร็วในใจ การปักผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่ง ปกตินางใช้เวลาประมาณสองวัน แต่หากไม่มีงานอื่นทำและปักต่อในตอนกลางคืนด้วย วันเดียวก็เสร็จได้ ข้าวสารอย่างดีหนึ่งชั่งราคาห้าอีแปะ ผ้าเช็ดหน้าที่นางปักขายได้ผืนละสิบอีแปะ เท่ากับซื้อข้าวสารได้ถึงสองชั่ง พวกเขาสองคนกินข้าววันหนึ่งคงไม่ถึงสองชั่งเป็แน่ เมื่อคำนวณดังนี้แล้ว นางจึงตัดสินใจหุงข้าวสวย
นางก่อไฟขึ้นอีกครั้ง แล้วเริ่มซาวข้าวเตรียมหุง ในหม้อต้มน้ำไว้ปริมาณพอเหมาะ เมื่อน้ำเดือดพล่านดีแล้ว นางก็เทข้าวสารที่ซาวไว้ลงไป ต้มด้วยไฟแรงต่ออีกครู่ ข้าวก็สุกได้ที่
นางใช้กระชอนไม้ไผ่ตักเม็ดข้าวที่สุกแล้วขึ้นมาใส่ชามใหญ่ พักไว้ ส่วนน้ำข้าวที่ข้นขาวอยู่ในหม้อนั้นก็ยังคงต้มต่อไป นางวางซึ้งไม้ไผ่ลงในหม้อ แล้ววางชามข้าวไว้บนซึ้งนั้น กะจะนึ่งข้าวต่ออีกหน่อยให้ร้อนๆ
นางเติมฟืนท่อนใหญ่ลงไปในเตาไฟ กะว่าให้เผาไหม้ได้นานพอ แล้วจึงเริ่มคิดว่าจะทำกับข้าวอะไรดี
จางเจิ้นอันวางโอ่งดินใบใหญ่ไว้ข้างครัว ในนั้นเลี้ยงปลาเป็ๆ ไว้หลายตัว อันซิ่วเอ๋อร์เดินไปตักปลาขึ้นมาตัวหนึ่ง วางเขียงไว้นอกครัว แล้วเทปลาลงไป ปลาตัวนั้นราวกับรู้ชะตากรรม มันจึงดิ้นพล่านอยู่บนเขียงอย่างไม่คิดชีวิต
“เ้าปลาเอ๋ย อย่าโกรธกันเลยนะ ชาติหน้าขอให้เ้าได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีเถิด” อันซิ่วเอ๋อร์พึมพำเบาๆ แล้วเงื้อมีดทำครัวฟาดลงไปบนหัวปลาอย่างรวดเร็ว ปลาตัวนั้นก็แน่นิ่งไป
นางไม่ค่อยได้ทำอาหารบ่อยนัก แต่ฝีมือก็ไม่ได้เลวร้ายแต่อย่างใด นางหาด้ายดิบในบ้านมาเส้นหนึ่ง ขึงให้ตึง แล้วใช้ขูดไปตามลำตัวปลาเพื่อขอดเกล็ด พลิกกลับด้าน แล้วขูดซ้ำอีกอย่างคล่องแคล่ว นำไปล้างน้ำเพียงครั้งเดียว เกล็ดปลาเ่าั้ก็หลุดออกอย่างง่ายดายจนหมดสิ้น
นางผ่าท้องปลา ควักเอาพุงและเครื่องในออกมาอย่างระมัดระวัง เลาะถุงน้ำดีสีเขียวคล้ำทิ้งไป ส่วนอื่นๆ นางก็ไม่กล้าทิ้ง นำไปใส่ในกะละมังไม้อีกใบ โรยเกลือลงไปเล็กน้อย ขยำเบาๆ เพื่อดับกลิ่นคาว แล้วล้างน้ำพักไว้ในชามเตรียมนำไปปรุง
เมื่อจัดการกับปลาเสร็จ นางก็เดินไปหาเก็บผักป่าแถวหน้าบ้านหลังบ้าน แม้ว่า่นี้จะเป็ฤดูที่อาหารขาดแคลน แต่ผักป่าเหล่านี้ก็ยังคงสดใหม่ ใช้ทำผักผัดกินก็พอดี
พอเตรียมวัตถุดิบทุกอย่างเสร็จแล้วกลับมายังครัว ฟืนในเตาไฟก็มอดลงพอดี เมื่อเปิดฝาหม้อดู ข้าวสวยก็ส่งกลิ่นหอมกรุ่นออกมา
อันซิ่วเอ๋อร์สูดกลิ่นหอมเข้าไปเต็มปอด ตักข้าวสวยออกมาใส่ชามไว้ จากนั้นจึงตักน้ำข้าวต้มข้นๆ ที่เหลืออยู่ในหม้อใส่ชามเหล็กอีกใบ แล้วล้างหม้อให้สะอาด เริ่มลงมือทำกับข้าว
เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านตระกูลอัน เหลียงซื่อไม่กล้าใช้น้ำมันมากนัก ทุกครั้งจะใช้แค่ปลายหัวไชเท้าจุ่มน้ำมันเพียงหยดสองหยดทาให้ทั่วก้นกระทะเท่านั้น ซึ่งแทบไม่พอจะกันติดกระทะด้วยซ้ำ อันซิ่วเอ๋อร์เห็นว่าในกระปุกน้ำมันที่ครัวนี้ยังมีน้ำมันเหลืออยู่อีกมาก นางจึงคิดว่าตนเองเป็คนจัดการดูแลบ้านแล้ว คงจะใช้ได้ตามสมควร จึงตักน้ำมันหมูใส่ลงไปถึงสองช้อนโต๊ะ
เมื่อใส่น้ำมันในปริมาณที่พอเหมาะ บวกกับไฟที่แรงกำลังดี แม้จะเป็เพียงผักป่าธรรมดา นางก็ผัดออกมาได้สีเขียวสดใสน่ากิน เมื่อตักผักใส่จาน นางก็รู้สึกพอใจในฝีมือของตนเองอยู่ไม่น้อย
ลำดับต่อไปคือการต้มปลา นางใส่น้ำมันลงไปในกระทะอีกพอประมาณ รอจนน้ำมันร้อนจัดส่งเสียงดังฉ่าๆ จึงใส่ปลาลงไปทอดจนเหลืองทองทั้งสองด้าน ใส่ขิง กระเทียม และพริกแห้งลงไปผัดให้หอม จากนั้นจึงใส่เครื่องในปลาที่เตรียมไว้ลงไปผัด ตามด้วยเติมน้ำลงไปพอท่วมตัวปลา นางปิดฝาหม้อ แล้วเติมฟืนเข้าไปในเตาอีกกำมือ รอจนไฟมอดลง ปลาต้มหม้อนั้นก็เป็อันเสร็จสิ้น
พอเปิดฝาหม้อออก กลิ่นหอมก็ฟุ้งกระจายไปทั่ว บริเวณบ้านอบอวลไปด้วยกลิ่นปลาหอมฉุย ทำให้บ้านหลังเล็กที่ดูเรียบง่ายเงียบเหงานี้ ดูอบอุ่นมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที จางเจิ้นอันเพิ่งจะก้าวเท้าเข้ามาในบริเวณบ้าน พอได้กลิ่นหอมนี้ก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที
อันซิ่วเอ๋อร์ตักปลาใส่ชามใบใหญ่ โรยหน้าด้วยต้นหอมซอย ปลาต้มจานนั้นก็เป็อันเสร็จสมบูรณ์ นางเพิ่งจะยกไปวางบนโต๊ะด้านนอก ก็เห็นจางเจิ้นอันเดินตรงมาพอดี จึงรีบเดินเข้าไปต้อนรับ “ท่านกลับมาแล้ว”
“อืม” จางเจิ้นอันพยักหน้าเล็กน้อย เขาคุ้นชินกับการกลับบ้านมาแล้วพบแต่ความว่างเปล่า ความรู้สึกที่กลับมาถึงบ้านแล้วมีคนรอคอยเช่นนี้ ช่างไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย
“หิวแล้วใช่ไหมเ้าคะ? วันนี้ข้าหุงข้าวสวย ทอดปลา แล้วก็ผัดผักป่าด้วยเ้าค่ะ”
อันซิ่วเอ๋อร์รีบรายงานรายการอาหารที่ตนเองทำทั้งหมดให้เขาฟัง แล้วลอบสังเกตสีหน้าของเขาเงียบๆ นางกลัวว่าเขาจะตำหนิว่านางใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ทำอาหารสิ้นเปลือง แต่ใครเลยจะรู้ว่าเขากลับไม่ได้เอ่ยตำหนิแม้แต่คำเดียว เพียงแต่เดินไปยังหลังบ้าน เทปลาที่จับมาได้ในตะกร้าลงในโอ่งอย่างเงียบๆ
“วันนี้ท่านจับปลาได้เยอะเลยนะเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์เห็นว่าในโอ่งมีปลาเพิ่มขึ้นมาหลายตัว ก็รู้สึกยินดีไปด้วย กล่าวชมเขาว่า “ท่านพี่นี่เก่งจริงๆ เลย”
“เมื่อครู่เ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?” จางเจิ้นอันได้ยินนางเรียกตนว่า 'ท่านพี่' ก็รู้สึกแปลกๆ ในใจ
“ข้าเรียกท่านว่าท่านพี่ มีอะไรผิดปกติหรือเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์เงยหน้ามองสีหน้าเขา เห็นว่าสีหน้าเขาดูไม่ค่อยดีนัก จึงเอ่ยถาม “เช่นนั้น...ข้าควรจะเรียกท่านว่าอะไรดี?”
“ไม่มีอะไร เ้าอยากเรียกอย่างไรก็เรียกเถิด” จางเจิ้นอันหัวเราะเยาะตนเองเบาๆ น่าเสียดายที่อันซิ่วเอ๋อร์กำลังก้มหน้าก้มตาจัดเตรียมอาหารอยู่ จึงไม่ทันได้สังเกตเห็น
จางเจิ้นอันถอดงอบใบลานออก วางไว้ข้างๆ แล้วเดินไปล้างมือ อันซิ่วเอ๋อร์ก็ตักข้าวให้เขาเสร็จเรียบร้อยพอดี นางยกชามข้าวเดินไปยังห้องโถง เขารับตะเกียบที่อันซิ่วเอ๋อร์ยื่นส่งให้มาอย่างไม่แสดงท่าทีใดๆ จากนั้นก็ยกตะเกียบขึ้น คีบเนื้อปลาชิ้นหนึ่งเข้าปาก
อืม... ฝีมือทำอาหารของสตรีผู้นี้ใช้ได้ทีเดียว เมื่อเทียบกับอาหารรสชาติจืดชืดที่ตนเองทำกินเป็ประจำแล้ว จางเจิ้นอันรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ขาดทุนอะไรเลย เงินหกตำลึง แลกกับคนทำอาหารฝีมือดีเช่นนี้ นับว่าคุ้มค่ายิ่งนัก
“เหตุใดเ้าจึงจ้องมองข้าเช่นนั้นเล่า?” พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าอันซิ่วเอ๋อร์เอาแต่จ้องมองเขาอยู่ เขาจึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นว่าการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของตนเองถูกเขาจับได้เสียแล้ว จึงรีบก้มหน้าลง กล่าวว่า “เปล่าเ้าค่ะ ข้าเพียงแต่อยากจะถามท่านว่า อาหารรสชาติใช้ได้หรือไม่?”
“อร่อยดี” จางเจิ้นอันไม่ได้หวงคำชมแต่อย่างใด
ใบหน้าของอันซิ่วเอ๋อร์พลันปรากฏรอยยิ้มกว้างออกมา “เช่นนั้นข้าก็สบายใจแล้ว ข้าเพียงแต่กลัวว่ารสชาติจะไม่ถูกปากท่าน” ที่นางเอาแต่จ้องมองเขาก่อนหน้านี้ ก็เพราะพยายามจะดูว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอาหารที่นางทำ พอได้ยินคำชมเช่นนี้ นางจึงวางใจได้เสียที
“ข้าไม่ใช่คนเลือกกิน” อาหารเป็เพียงสิ่งที่เขาใช้เพื่อประทังชีวิตเท่านั้น แต่หากรสชาติอร่อยขึ้นสักหน่อย ใครเล่าจะปฏิเสธ
“ไม่เลือกกินก็ดีแล้วเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์พยักหน้า กล่าวเสริม “ข้าเองก็ไม่เลือกกินเหมือนกัน”
คราวนี้จางเจิ้นอันเพียงเงยหน้ามองนางแวบหนึ่ง ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เขาไม่คุ้นกับการพูดคุยระหว่างกินอาหารนัก พอเห็นเขานั่งกินเงียบๆ นางจึงไม่ได้ชวนคุยต่ออีก เพียงก้มหน้าก้มตากินข้าวในชามของตนเองอย่างเงียบๆ เคี้ยวข้าวคำโตๆ นางรู้สึกว่าข้าวที่ตนเองหุงนั้นนุ่มกำลังดี อร่อยมากจริงๆ แม้จะไม่มีกับข้าว นางก็สามารถกินข้าวเปล่าๆ ได้หมดชามเป็แน่
