“เยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว เรียบร้อยแล้ว!” เยวี่ยเจาหรานที่วิ่งกลับมาจากห้องของฮูหยินเยี่ยนใบหน้ายังสั่นกระเพื่อม สีหน้าภาคภูมิใจนั้นไม่อาจปิดซ่อนได้เลย เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่มีสีหน้างุนงงเงยหน้าขึ้น แล้วเอ่ยถามอย่างโง่เขลา “หา?”
ปฏิกิริยาเช่นนี้ของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วทำให้เยวี่ยเจาหรานอยากจะพลิกมือฟาดนางสักทีให้หายโมโหเลยจริงๆ พลันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ถึงอย่างไรตนก็เสียแรงตั้งขนาดนี้ทั้งยังยอมละทิ้งวันหยุดพักผ่อนที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่อยู่บ้านอันหาได้ยากนี้ไป ก็เพื่อที่จะปกป้องยัยโง่นี่... สุดท้ายอีกฝ่ายไม่ได้ซาบซึ้งในบุญคุณเสียบ้างเลย ถึงขนาดไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ
เยวี่ยเจาหรานที่รู้ว่าตอนนี้จะบอกว่านึกเสียใจก็สายไปเสียแล้วนั้นได้แต่นั่งลงอย่างขุ่นเคือง พลางเขกหัวของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอย่างแรง “เ้าโง่ ที่ข้าพูดแน่นอนว่าหมายถึงเื่ที่จะไปอารามชีกับเ้าและสวี่ชิวเยวี่ยอยู่แล้วสิ”
“เ้าจะไปอารามชีด้วยกันกับพวกเราจริงๆ หรือ?!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ได้ยินข่าวนี้ได้สูญเสียการควบคุมการแสดงออกของตนไปอย่างสิ้นเชิง ในชั่วขณะนั้นพลันไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกซาบซึ้งหรือประหลาดใจดี หรือจะบอกว่าตกตะลึงดี อย่างไรเสียนั่นก็เป็... อารามชีนะ
อารามชีที่มีแต่สตรีทั้งหมดเลยนะ! บุรุษอย่างเยวี่ยเจาหรานจะไปทำอะไรกัน?
“เ้าตกตะลึงอะไรขนาดนั้น? ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ การกระทำครั้งนี้ของสวี่ชิวเยวี่ยจะต้องเกิดปัญหาแน่ เ้าไปเองคนเดียว ข้าไม่วางใจ ดังนั้นจึงตั้งใจไปขอแม่เ้า ให้ข้าไปด้วยกันกับพวกเ้าไง!” เยวี่ยเจาหรานยกมือขึ้นรินน้ำชาให้ตัวเองถ้วยหนึ่ง แต่กลับไม่ได้ดื่ม เพียงแค่ถือโยกส่ายไปมาอยู่ในมือ แล้วเอ่ยอย่างสบายๆ เช่นนั้น
“แต่ในอารามชีล้วนมีแต่สตรี เ้าจะไปทำอะไร?”
เยวี่ยเจาหรานขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจเอาเสียเลย มองเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแล้วหัวเราะอย่างเ็า “ข้าจะบอกเ้านะลูกพี่ เ้ามองสถานการณ์ตอนนี้เสีย ใครกันแน่ที่ไม่ควรไปโผล่ที่อารามชีมากกว่ากัน?!”
นางมองผมมวยและชุดกางเกงบนร่างกายของตนอย่างซึมกะทือ แล้วมองไปยังเยวี่ยเจาหรานที่เต็มไปด้วยเสียงกรุ๊งกริ๊งทั้งตัว เมื่อนั้นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ราวกับเพิ่งนึกได้ ดูเหมือนว่าตนในตอนนี้ต่างหากคือบุรุษที่ไม่ควรจะโผล่ไปในอารามชีผู้นั้น? คาดไม่ถึงเลย คาดไม่ถึงว่าชีวิตนี้จะได้เห็นเยวี่ยเจาหรานชายแต่งหญิงผู้นี้แสดงสิ่งที่ว่าหยิ่งในศักดิ์ศรีออกมาหรือนี่?!
มันช่างทำให้รู้สึกจากก้นบึ้งเลยทีเดียวว่า เหลือเชื่อ
“ข้าจะบอกเ้า สวี่ชิวเยวี่ยไม่ใช่กระต่ายน้อยอ่อนต่อโลกเลยสักนิด เ้าต้องระวังการกระทำหน่อย...” เยวี่ยเจาหรานกลับคืนสู่ท่าทีจริงจังท่ามกลางสายตาตกตะลึงของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว แล้วเตือนสติเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วในตอนนี้กลับใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไรนัก สิ่งที่ดังก้องอยู่ในใจของนาง ล้วนเป็คำพูดที่ว่า ‘อย่างไรเปี่ยวเม่ยของเ้าก็กำลังจะออกเรือนอยู่แล้ว’ นั้นของท่านแม่ ด้วยเหตุนี้นางจึงเพียงแค่ตอบกลับการเตือนสติของเยวี่ยเจาหรานอย่างเรียบนิ่ง “อืม ข้าเข้าใจแล้ว ต้องระวัง ต้องระวัง คำนี้เ้าพูดพร่ำมาตั้งหลายครั้ง จนหูของข้าแทบชาไปหมดแล้วรู้หรือไม่?”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกลอกตาทีหนึ่ง ยังคงมีท่าทีไม่หวั่นฟ้าไม่กลัวดิน เยวี่ยเจาหรานเห็นเช่นนั้น ก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ในใจแอบนึกดีใจที่ตัวเองหยั่งรู้ล่วงหน้า อย่างน้อยก็นับว่าได้ที่นั่งรถไปอารามชีแล้ว จะได้ไม่ให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเผชิญหน้ากับคนใจคดมากอุบายอย่างสวี่ชิวเยวี่ยโดยลำพัง
...ไม่แน่ว่าเมื่อถึงเวลานั้น โดนคนอื่นหลอกแล้วยังไม่รู้ตัวอีกต่างหาก!
“เอาเถอะ ลูกพี่ ข้าง่วงแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางอีกนะ นอนกันเถอะๆ ...” ่เวลาหลังจากนั้นไปอีกเนิ่นนาน เยวี่ยเจาหรานก็เหมือนกับผึ้งน้อยตัวหนึ่ง คอยส่งเสียงหึ่งๆ อยู่ข้างหูของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่หยุด บอกย้ำเื่ที่สวี่ชิวเยวี่ยน่ากลัวขนาดไหนอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่มึนหัวตาลายอย่างรวดเร็วหาวหวอดไม่หยุด เป็การบ่งบอกว่าตอนนี้ตนง่วงเพียงใดแล้ว เพื่อให้ได้กลับไปในผ้าห่มน้อยๆ แสนอบอุ่นของตนเร็วหน่อย ดื่มด่ำกับค่ำคืนอันไร้ซึ่งฝันร้ายสักนิด แต่เยวี่ยเจาหรานกลับยังคงไม่แยแส ทั้งยังตั้งอกตั้งใจบอกวิธีและกลเม็ดให้การต่อกรกับ ‘จอมปีศาจ’ สวี่ชิวเยวี่ยผู้นั้น…
ในที่สุด หลังจากที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วบอกเป็ครั้งที่เก้าสิบแปดว่าตนเองง่วงมากแล้วจริงๆ เยวี่ยเจาหรานถึงเลิกคาบเรียนเล็กๆ ของตนได้เสียที
“เอาเถอะ ตอนนี้เ้าไปนอนได้แล้ว” เยวี่ยเจาหรานม้วนกระดาษสองสามหน้าในมือเข้าด้วยกัน แล้วเอ่ยชี้แนะกับแผ่นหลังของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วด้วยความจริงจังเป็ครั้งสุดท้าย “พรุ่งนี้เ้าห้ามวู่วามบุ่มบ่ามเด็ดขาด ไม่ว่าเื่ใดก็ต้องฟังข้านะ!”
“ได้ๆ ข้ารู้แล้วๆ ...” เสียงสุดท้ายของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน นั่นอาจจะเป็การละเมอพูดแล้วก็ได้
แม้จะบอกว่าทางข้างหน้านั้นกว้างไกล ไม่อาจรู้ได้ว่าจะพบเจอกับภูตผีปีศาจอะไรบ้าง ทว่าเยวี่ยเจาหรานที่ยามนี้มองเงาหลังของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอยู่นั้นยังคงคิดแกว่งเท้าหาเสี้ยนอยู่ในใจ หากสามารถเดินด้วยกันกับนางไปตลอดทาง เช่นนั้นต่อให้จะเป็เื่พิลึกกึกกืออะไรก็คงไม่ทำให้หวาดกลัวเกินไปนักแล้วล่ะ…
เช้าตรู่วันต่อมา เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วมีคนรับใช้ช่วยเก็บข้าวของให้เรียบร้อยแล้ว และรอให้พวกเขาออกเดินทาง เดิมทีเยวี่ยเจาหรานและเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็มีสัมภาระไม่มาก ครั้งนี้ก็เป็เพียงการเดินทางแบบง่ายๆ เช่นเดิม กระทั่งมองเห็นห่อข้าวของใหญ่เล็กของสวี่ชิวเยวี่ย เยวี่ยเจาหรานถึงเข้าใจความแตกต่างอันใหญ่หลวงของบุรุษและสตรี
ทว่าเขาก็ยังสงสัย เหตุใดจึงมีสตรีเช่นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอยู่บนโลก แล้วยังสามารถอยู่ร่วมกับสตรีอย่างสวี่ชิวเยวี่ยได้ด้วย? หรือว่าเพราะตอนนี้นางกำลังปลอมตัวเป็บุรุษอยู่อย่างนั้นหรือ?!
เยวี่ยเจาหรานส่ายหัวอย่างอดไม่ได้อยู่ในมุมหนึ่งที่ไม่มีใครเห็น ในใจแอบคิดว่าหากตอนนี้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเป็เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่ใช่เยี่ยนอวิ๋นเฟย เช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างตนกับเปี่ยวเม่ยสวี่ชิวเยวี่ยก็คงจะไม่ได้ดีอะไรนักเป็แน่
อย่างไรเสียเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็เป็... ผู้หญิงปลอมที่ไม่ต่างอะไรกับผู้ชายทึ่มทื่อที่แยกสีชาดทาปากไม่ออก
ช่างเถอะ ไม่แน่ว่าในสายตาของสวี่ชิวเยวี่ย ผู้หญิงอย่างเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเช่นนี้ เดิมทีก็เป็เพียงหุ่นรูปคนอยู่แล้วก็ได้!
การเดินทางของทั้งสาม เพื่อไม่ให้เกิดสถานการณ์น่าอึดอัดเหมือนอย่างคราวก่อน ฮูหยินเยี่ยนจึงสั่งให้คนเตรียมรถม้าคันใหญ่เอาไว้หนึ่งคัน พูดง่ายๆ ก็คือเปลี่ยนจากรถมาเซราติมาเป็ลีมูซีนคันยาวนั่นเอง เมื่อเป็เช่นนี้ก็ไม่ต้องมีบางคนขี่ม้าบางคนนั่งรถแล้ว อย่างไรเสียอารามชีอะไรนั่น เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเองก็ไม่เคยไป ไม่รู้จักทาง หากขี่ม้าไปเอง เป็ไปได้มากว่ากลางทางก็คงเลี้ยวหลงไปทุ่งหญ้าเอยลานเลี้ยงม้าเอยเป็แน่…
ทั้งสามต่างคนต่างเก็บเื่ในใจเอาไว้แล้วขึ้นรถ ท่ามกลางสายตามองส่งของฮูหยินเยี่ยน และออกจากจวนเยี่ยนไปในที่สุด
ตลอดทางไร้ความติดขัด รถไม่ติด นั่นทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วรู้สึกชื่นใจยิ่งนัก เช่นนี้ก็สามารถรีบรุดไปยังอารามชีได้โดยไว ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องถูกบังคับให้นั่งด้วยกันกับสวี่ชิวเยวี่ยอีกแล้ว
แต่มันทำให้เยวี่ยเจาหรานรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นั่นคือสวี่ชิวเยวี่ยนิ่งเงียบมาตลอดทาง ถึงอย่างไรเวลาที่ผ่านมา ทุกครั้งที่สวี่ชิวเยวี่ยเจอเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็มักจะหาเื่ชวนคุยพูดจ้อไม่หยุด เหตุใดครั้งนี้ถึงเปลี่ยนไปมากมายเช่นนี้ได้? หรือนางค้นพบแล้วการกระทำของตนนั้นมักจะได้ไม่คุมเสีย ดังนั้นจึงเลิกที่จะเปลืองแรงไปอย่างไม่คุ้มค่าเสียเลย?
แต่เป็แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน อย่างไรเสียยามนี้ทุกคนก็ล้วนเงียบสงบ ไม่จำเป็ต้องลำบากรับมือ ทว่า สุดท้ายแล้วสวี่ชิวเยวี่ยก็ยังก่อปัญหาขึ้น…
แท้จริงรถม้านั้นเคลื่อนไปเร็วมาก เร็วยิ่งกว่าเวลาที่คาดไว้ประมาณหนึ่งถึงสองก้านธูป เดิมนึกว่าจะรีบมาถึงอารามชีได้ก่อนเวลาอาหาร แต่กลับไม่นึกว่าระหว่างทางสวี่ชิวเยวี่ยจะร่างกายไม่สบายขึ้นมา โดยอ้างว่าตอนเช้าไม่ได้กินอาหารเช้าจึงเมารถ ต้องหยุดรถพักผ่อนในทันที…
แม้ในใจของเยวี่ยเจาหรานจะมีความสงสัยอยู่บ้าง แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไร แล้วหยุดการเดินทางอย่างเร่งรีบลงพร้อมกับคนอื่นๆ ...
