จินซื่อตกตะลึง
เสียงกรีดร้องของหานซินยังดังไม่หยุด นางรู้สึกว่าแขนของตนเองกำลังจะหลุดออก ส่วนหานโม่ก็จับข้อมือของหานซินไว้แน่นโดยที่ไม่ยอมผ่อนแรงลง
จินซื่อมองใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความเ็ปของหานซินแล้ว คำพูดดูถูกต่างๆ ที่นางคิดจะเอ่ยออกมาก็ต้องกลืนกลับเข้าไปในคอทันที
"เ้า......เ้าหมายความว่าเช่นไร?"
หานโม่หัวเราะเยาะเย้ย "ดูบุตรชายของเ้าเสียสิ เกิดอะไรขึ้นกับเขางั้นหรือ?"
จินซื่อชะงัก นางหันไปมองบุตรชายของตนเองที่กำลังยืนอยู่ตรงโต๊ะหินขนาดเล็กในศาลาริมน้ำ
มือของหานเสี่ยวมู่ยังคงหยิบขนมขึ้นมาทานไม่หยุด เมื่อเห็นว่ามารดาของตนมองมาก็ส่งรอยยิ้มไร้เดียงสามาให้ "ท่านแม่ ท่านป้าเล็กช่างเก่งกาจจริงๆ"
จินซื่อ "......"
ใบหน้าของนางกลายเป็สีแดงทันที
เป็เพราะหานซินและแม่สามีอย่างอู๋ซื่อมักจะคอยพูดถึงความจงเกลียดจงชังที่มีต่อหานโม่ต่อหน้านางเสมอ ดังนั้นเมื่อตอนที่นางเห็นว่าหานเสี่ยวมู่กับหานโม่อยู่ด้วยกัน จินซื่อจึงคิดว่าหานโม่กำลังทำร้ายหานเสี่ยวมู่อยู่เป็แน่
อันที่จริงความสัมพันธ์ระหว่างหานโม่กับแม่สามีของนาง เซี่ยงกง [1] แล้วไหนจะเหล่าพี่สะใภ้น้องสะใภ้ทั้งหลายต่างไม่อาจพูดว่าดีได้อย่างเต็มปาก
ตอนที่เห็นบุตรชายของตนเองกำลังทานขนมอย่างเอร็ดอร่อยเช่นนี้ มีตรงไหนกันที่ดูเหมือนว่ากำลังเขาถูกทำร้ายอยู่หรือ?
แม้ว่าจินซื่อจะค่อนข้างเห็นแก่ตัว แต่ถึงจะดีจะชั่วอย่างไรนางก็ยังสามารถแยกแยะถูกผิดได้
ดังนั้นนางจึงเดินไปนั่งลงข้างๆ หานเสี่ยวมู่แล้วโอบกอดบุตรชายของตนไว้โดยที่ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก
เมื่อหานโม่เห็นท่าทางของจินซื่อ ก็คิดว่าอย่างไรเสียจินซื่อผู้นี้ก็ยังคงมีสายตาที่ดีอยู่ นางจึงเพิ่มแรงบิดที่ข้อมือของหานซินให้มากยิ่งขึ้น จนทำให้หานซินกรีดร้องจนเสียงแหลมบาดหูขึ้นกว่าเดิม
จินซื่อเหลือบมองไปยังหานโม่ด้วยความขลาดกลัวเล็กน้อย นางสบตากับหานโม่ที่มองมาพอดี
หานโม่เผยยิ้มให้จินซื่ออย่างเ็า "พี่สะใภ้ใหญ่ คราวหน้าท่านก็ลืมตาให้กว้างเสียหน่อย อย่าไปฟังเสียงลมก็เชื่อว่าฝนตกเสียเล่า [2]"
เมื่อพูดจบหานโม่ก็หันหน้ามามองหานซินอีกครั้งแล้วเพิ่มแรงมือที่จับข้อมือทั้งสองข้างของหานซินแรงขึ้นอีก เสียงกระดูกหลุดดังกึกก้องเข้าไปในหูของคนที่อยู่บริเวณนั้นอย่างชัดเจน
หานซินอ้าปากกว้างด้วยความเ็ป การส่งเสียงกรีดร้องเมื่อครู่นี้ทำให้เสียงของนางแหบเล็กน้อย ดังนั้นในเวลานี้เสียงที่เปล่งออกมาจึงคล้ายกับเสียงเป็ดที่กำลังจะตาย ซึ่งมันไม่ได้น่าฟังเลย
หานโม่ปล่อยมือของหานซินออกพลางมองหานซินที่อ่อนแรงราวกับหมูตาย จากนั้นจึงโน้มตัวลงและจ้องเข้าไปในดวงตาอันเคียดแค้นของหานซิน หานโม่ไม่ได้สนใจนางทำเพียงส่งยิ้มให้ "หานซิน นี่เป็ครั้งที่สองแล้ว"
หลังจากที่หานโม่เอ่ยจบก็เดินจากไปทันที
หานซินพยายามอดทนต่อความเ็ปทั้งหมด นางเงยหน้าขึ้นไปจ้องแผ่นหลังของหานโม่ที่กำลังเดินจากไป ภายในใจของทุกคนบังเกิดความรู้สึกหวาดกลัวเมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังจนถึงกระดูกดำของหานซิน
“หานโม่ นางสารเลว!”
ครั้งที่สองอะไรกัน สารเลวนั่นกำลังเตือนนางหรือว่านี่เป็ครั้งที่สองแล้วที่นาง้าสั่งสอนบทเรียนให้แก่หานโม่ แต่กลับถูกตบหน้ากลับมาเสียเอง!
หานโม่!
หานซินสาบานว่าหากนางไม่ได้ฉีกร่างของหานโม่ออกเป็ชิ้นๆ นางจะไม่ขอเป็คนอีกต่อไป [3] !
จินซื่อจ้องแผ่นหลังของหานโม่ที่กำลังเดินจากไปด้วยความสับสนอยู่เป็นาน จนกระทั่งหานเสี่ยวมู่พูดขึ้นมาว่าท่านป้าห้าหมดสติไปแล้ว จินซื่อถึงได้รู้สึกตัวะโเรียกบ่าวรับใช้แถวนั้นมาช่วยกันพาหานซินกลับไปที่เรือนและสั่งให้คนไปตามหมอมา
ในขณะที่ภายในเรือนของหานซินกำลังตกอยู่ในความโกลาหล หานโม่ก็กำลังก้าวเท้าตรงไปที่เรือนของบรรดาบ่าวรับใช้
ตระกูลหานดูแลและปฏิบัติต่อบ่าวรับใช้ในตระกูลอย่างดีไร้ซึ่งความโหดร้าย เพื่อสร้างภาพลักษณ์และชื่อเสียงที่ดีให้กับตระกูลหาน ดังนั้นการรังแกกดขี่บ่าวรับใช้จึงเป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้
แน่นอนว่านี่เป็เพียงภาพลวงตาที่แสดงให้ผู้อื่นเห็นเท่านั้น ความเป็จริงแล้วทุกๆ ตระกูลใหญ่ย่อมมีความขัดแย้งและไม่ลงรอยกันภายในทั้งนั้น ผู้คนที่อยู่ภายนอกไม่มีสิทธิล่วงรู้เื่ภายในครอบครัวได้ ดังนั้นพวกเขาจึงมองเห็นเพียงภาพลักษณ์ผิวเผินที่ตระกูลเหล่านี้อยากให้เห็นเท่านั้น
บ่าวรับใช้ของตระกูลหานอาศัยรวมกันในสวนที่มีชื่อว่าสวนฉางชุน แม้ว่าสวนแห่งนี้จะไม่สวยงามเทียบเท่ากับสถานที่ของเ้านายตระกูลหานอาศัยอยู่ แต่เพราะในทุกๆ ปีจะมีการสั่งให้ซ่อมแซมอยู่เสมอ เรือนคนใช้แห่งนี้จึงไม่ทรุดโทรมเท่าใดนัก สามารถกล่าวได้ว่าเรือนแห่งนี้ดูดีกว่าบ้านเดิมของพวกเขาหลายพันเท่า
ตลอดทางที่หานโม่เดินไป บ่าวรับใช้บางคนที่ไม่ได้มีหน้าที่ในวันนี้ต่างก็รีบทำความเคารพทันที
หานโม่ไม่ได้ตอบกลับอะไรพวกเขาไป
ในอดีตบ่าวรับใช้เหล่านี้ปฏิบัติต่อนางอย่างไม่เท่าเทียม ตอนที่นางตกอับนั้นใครๆ ก็สามารถรุมกลั่นแกล้งได้ง่าย แม้ว่าบ่าวรับใช้เหล่านี้จะไม่ได้ลงมือทุบตีและดุด่านางเท่าหานซิน แต่ก็ยังมีคนที่คอยซ้ำเติมอยู่เช่นกัน
หานโม่ไม่สามารถให้อภัยคนเหล่านี้ได้ แต่นางก็ไม่มีเวลามาสนใจพวกตัวเล็กๆ เหล่านี้
หานโม่เดินตรงเข้าไปด้านในสวนฉางชุน ขณะที่มองบรรดาบ่าวรับใช้ที่เดินผ่านไป ในที่สุดนางก็เห็นร่างที่คุ้นตายืนอยู่ริมทะเลสาบ
ตอนที่กำลังประมือกับจินซื่อและหานซินเมื่อครู่นี้ สายตาของหานโม่ก็เห็นคนผู้นี้โดยบังเอิญ
เขาลอบมองนางอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของทะเลสาบด้วยสายตากังวลซึ่งฉายออกมาอย่างชัดเจน ราวกับว่าเขากำลังเป็ห่วงนางอยู่
นี่เป็ครั้งที่สองที่หานโม่ได้เห็นสายตาเช่นนี้ในตระกูลหานนอกเหนือจากเสี่ยวเยว่ เพราะตอนนี้บ่าวรับใช้ในตระกูลหานส่วนมากต่างมองนางด้วยความหวาดกลัว
หานโม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินตรงเข้าไปหาคนผู้นั้นที่ริมทะเลสาบ
คนผู้นั้นได้ยินเสียงฝีเท้าของหานโม่จึงหันกลับมามอง
ตอนที่เห็นว่าหานโม่กำลังเดินตรงเข้ามา ความประหลาดใจก็ฉายชัดขึ้นในดวงตาของคนผู้นั้น "คุณหนูหานโม่!"
หานโม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
บ่าวรับใช้ทุกคนในตระกูลนี้ต่างเรียกนางว่าคุณหนูเจ็ดกันหมด
แม้แต่หานเฉินต้งเองเพื่อเลี่ยงการเรียกชื่อนางแล้ว ยังเรียกนางว่า "เสี่ยวชี" ที่คิดว่าดูสนิทสนมเสียมากมาย
หานโม่ไม่ได้ใส่ใจว่าคนรอบข้างนางจะเรียกนางด้วยชื่อใด แต่การที่คนตรงหน้าเรียกชื่อจริงๆ ของนางกลับทำให้รู้สึกปิติยินดีอย่างบอกไม่ถูก
‘คุณหนูหานโม่’ คือการบอกว่านางคือหานโม่ ไม่ใช่คุณหนูเจ็ดของตระกูลหานน่ารำคาญอะไรนั่น
ซึ่งหานโม่ก็คือหานโม่ ในชีวิตที่แล้วนางขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุดของการเป็นักฆ่ารับจ้างได้ด้วยตัวนางเอง เช่นนั้นแล้วในชาตินี้นางจะได้ในสิ่งที่นาง้ามาจากความพยายามของตนเองเช่นกัน
นางคือหานโม่ และไม่ต้องพึ่งพาอะไรจากใครทั้งนั้น
"เ้าเป็ใคร?" ความชอบใจของหานโม่แสดงออกมาอย่างชัดเจน คำพูดของคนตรงหน้าทำให้หานโม่มีความสุขเป็อย่างยิ่ง แม้ว่าท่าทางของนางจะยังดูเ็าอยู่เช่นเดิม แต่ก็ไร้ซึ่งความเย็นะเืที่สามารถทำให้ผู้คนถอยห่างออกไปไกลหลายพันลี้แล้ว
คนผู้นั้นทำความเคารพต่อหานโม่ แล้วเอ่ยอย่างจริงจังว่า "คุณหนูหานโม่กลับมาแล้ว ผู้น้อยมีนามว่าเฉินเซวียนขอรับ"
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา หานโม่ก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง
บ่าวรับใช้ในเรือนนี้ต่างเรียกแทนตัวเองว่าบ่าวหรือข้าทาสอะไรนั่น แต่อยู่ๆ ก็มีคนที่แทนตนเองว่าผู้น้อยเช่นนี้ ช่างโดดเด่นไม่เหมือนใครเป็อย่างยิ่ง
ภายในดวงตาของหานโม่ดูจริงจังขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว นางสังเกตผู้ที่เรียกตัวเองว่า เฉินเซวียน อย่างระมัดระวัง
ท่าทางเขาคงจะมีอายุไม่น้อยแล้ว คงจะประมาณสิบแปดหรือสิบเก้าปี ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลาดูธรรมดา ไม่ได้หล่อเหลาโดดเด่นและไม่ได้สูงมาก บนมือของเขามีร่องรอยของาแอยู่บ้างเล็กน้อย ดูเหมือนว่า่เวลาที่อาศัยอยู่ในเรือนแห่งนี้จะไม่ค่อยราบรื่นนัก
หานโม่ยังสังเกตว่าท่าทางที่เฉินเซวียนทำความเคารพนางนั้น ไม่ได้แฝงการประจบประแจง แต่เผยให้เห็นถึงบรรยากาศที่ไม่สูงส่งไม่ต่ำต้อย [4] เลย ดูไม่เหมือนกับบ่าวรับใช้ทั่วไปเลยจริงๆ
........................................................................
เชิงอรรถ
[1] เซี่ยงกง ใช้เรียกสามีในแบบที่เคารพและยกย่อง เป็การเรียกของชนชั้นสูงในบ้านที่มีฐานะร่ำรวยสมัยโบราณ
[2] ฟังเสียงลมก็เชื่อว่าฝนตก หมายถึง หูเบา เชื่ออะไรง่ายเกินไปและถูกชักจูงได้ง่าย
[3] จะไม่ขอเป็มนุษย์อีกต่อไป หมายถึง บุคคลที่สาบานว่าต้องบรรลุจุดประสงค์บางอย่าง หรือบรรลุเป้าหมายบางอย่าง ถ้าจุดประสงค์นี้ไม่สำเร็จจะละอายต่อชีวิต และจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์ โดยสำนวนนี้ตีความว่าเป็ "ความมุ่งมั่นแน่วแน่"
[4] ไม่สูงส่งไม่ต่ำต้อย หมายถึง ไม่ต้อยต่ำไม่สูงส่ง คือไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง
