สายลมพุ่งเข้าไปในหูของหลินเฟิง เขากำลังควบม้าขณะกระตุ้นม้าให้วิ่งเร็วขึ้น
ทั้งสองร่างเงาแทงหอกออกไปเพื่อขัดขวางหลินเฟิง แต่กลับเห็นแสงของดาบที่เปล่งประกาย ชั่วพริบตาทั้งสองร่างก็ตกจากหลังม้า การเคลื่อนไหวระหว่างควบม้าไปไม่ได้ส่งผลกระทบต่อหลินเฟิงแม้แต่น้อย เขายังคงไล่ตามอีกเก้าคนที่กำลังควบม้าอยู่ข้างหน้า ในขณะเดียวกันาก็ยังคงดำเนินต่อไป
พวกเขายังคงควบม้าต่อไปจนเห็นชายแดนต้วนเริ่นข้างหน้า จากนั้นทั้งเก้าคนก็ะโข้ามช่องแคบระหว่างชายแดนต้วนเริ่นไปอย่างไม่ลังเล หลินเฟิงเองก็เช่นกัน
ถึงแม้ว่าชายแดนต้วนเริ่นจะถูกโม่เยว่ควบคุม แต่เพราะชุดเกราะที่หลินเฟิงสวมใส่อยู่นั้นเป็ของโม่เยว่ ดังนั้นจึงไม่มีใครโจมตีหลินเฟิง
หลินเฟิงที่ควบม้าอยู่ด้านหน้ารวมถึงผู้ที่ไล่โจมตีอยู่ด้านหลังต่างข้ามชายแดนต้วนเริ่นมาแล้ว พวกเขายังคงควบม้าอยู่เช่นนั้นโดยที่ความเร็วไม่ตก ในที่แห่งนี้ก็มีร่างไร้ิญญานอนเกลื่อนบนทะเลทรายเป็จำนวนมาก ซากศพเหล่านี้ล้วนเป็ร่างของเหล่าทหารเสวี่ยเยว่
“ม้าช่างเร็วอะไรขนาดนี้”
แม้หลินเฟิงพยายามจะไล่ตามสักเท่าไร ต่อให้อีกฝ่ายจะต้องคอยระวังต้วนซินเยี่ยเอาไว้ระหว่างควบม้าศึกไปด้วย แต่หลินเฟิงก็ไม่อาจเข้าใกล้พวกเขาได้เลย ม้าศึกสีน้ำตาลของพวกเขานั้นฝีเท้าแรงกว่าม้าศึกทั่วไปที่ทหารของอาณาจักรโม่เยว่ใช้อยู่มาก
อย่างไรก็ตามหลินเฟิงก็ไม่ยอมแพ้ จิตใจของเขากลับแน่วแน่มากขึ้น ทำให้เขาสามารถไล่ตามกลุ่มผู้คุ้มกันทมิฬต่อไปอย่างไม่ลดละ
สิ่งที่เกิดขึ้นกินเวลาไปหลายชั่งโมง หลินเฟิงก็ไม่ทราบว่าตัวเองวิ่งมาไกลแค่ไหนแล้ว ซึ่งรอบๆ ตัวเขาตอนนี้มีแต่ควันลอยขึ้นมา
ในตอนนี้หลินเฟิงได้ข้ามผ่านพรมแดนระหว่างอาณาจักรโม่เยว่กับอาณาจักรเสวี่ยเยว่แล้ว เขาก็เข้าสู่ขอบเขตของอาณาจักรโม่เยว่เป็ที่เรียบร้อย
ในขณะนั้นม้าศึกที่หลินเฟิงควบมาก็น้ำลายฟูมปาก ทั้งตัวของมันชุ่มไปด้วยเหงื่อ เห็นได้ชัดว่ามันวิ่งมาไกลจนไม่อาจทนไหว
ม้าศึกส่วนใหญ่ล้วนมีพละกำลังที่แข็งแกร่ง ทว่าม้าศึกของหลินเฟิงในตอนนี้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่สามารถไปต่อได้แล้ว เพราะมันวิ่งมาเป็ระยะไกลมากจนถึงขีดกำจัดของมัน
แต่ขณะนั้นหลินเฟิงััได้ถึงร่างเงาที่เขาไล่ตามมาอยู่ไม่ไกล ร่างเงาที่อยู่ด้านหน้าเริ่มชะลอความเร็วจนกระทั่งหยุดลง
จากนั้นหลินเฟิงก็กระตุกบังเหียน ให้ม้าศึกก็ค่อยๆ ชะลอความเร็ว จากนั้นมันได้ส่งเสียงออกมาครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นม้าศึกของหลินเฟิงก็ค่อยๆ ทรุดตัวลงกับพื้น เห็นได้ชัดว่ามันไม่สามารถวิ่งต่อไปได้อีกแล้ว
หลินเฟิงะโลงจากหลังม้าและเดินไปข้างหน้าต่อ
หลินเฟิงเงยหน้าขึ้นและเห็นร่างเงาที่เขาไล่ตามมากำลังหันมาทางเขาช้าๆ สายตาพวกเขาที่มองหลินเฟิงมันช่างเยือกเย็นนัก
และต้วนซินเยี่ยที่อยู่ด้านหลังพวกเขาก็กำลังจ้องมองหลินเฟิง ถึงแม้ผมยาวขององค์หญิงในยามนี้จะค่อนข้างยุ่งเหยิง แต่ก็ไม่สามารถปกปิดใบหน้าของนางได้ ั์ตาอ่อนโยนคู่นั้นเผยให้เห็นถึงความซาบซึ้งและความน่าหลงใหล
“ปล่อยตัวองค์หญิงซะ”
หลินเฟิงชักดาบยาวที่แบกอยู่ด้านหลังออกมา แล้วเขาก็ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าช้าๆ ด้วยสายตาเยือกเย็น หลินเฟิงก็ลากดาบไปบนพื้น จนปลายดาบทำให้พื้นเกิดรอยเป็ทางขณะที่ลากดาบไปเรื่อยๆ
“องค์ชายมีคำสั่งให้จับเป็เขา”
ในขณะนั้นได้มีอีกเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นมา ซึ่งเป็น้ำเสียงที่ไร้อารมณ์ ทำให้หลินเฟิงประหลาดใจเล็กน้อย องค์ชายมีคำสั่งให้จับเป็เขา?
องค์ชายท่านนี้ต้องเป็โม่เจี๋ยแน่ๆ หรือโม่เจี๋ยจะรู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องไล่ตามมา จึงตั้งใจส่งคนไปลักพาตัวต้วนซินเยี่ยและล่อเขามาที่นี่?
“ช่างน่าเสียดาย ครั้งก่อนเขาได้สังหารผู้คุ้มกันทมิฬไปไม่น้อยเลย และไม่คิดเลยว่าจะไม่สามารถฆ่าเขาได้ ได้แต่จับเป็เท่านั้น องค์ชายช่างมีเมตตาอย่างมาก”
ทหารเกราะเงินนายหนึ่งเอ่ยเสียงเย็น คนคนนี้แม้ใบหน้าจะดูเหี้ยมโหด แต่อายุของเขานั้นก็ยังถือว่าน้อย บริเวณคางของคนคนนี้เต็มไปด้วยหนวดเคราสีดำทำให้ดูแกกว่าวัย
นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้หลินเฟิงยิ่งแปลกใจคือ ทั้งแปดคนที่ยังควบคุมตัวต้วนซินเยี่ยอยู่นั้น แม้จะใส่เสื้อเกราะของผู้คุ้มกันทมิฬ แต่หมวกเหล็กที่สวมอยู่นั้นกลับแตกต่างกัน
ซึ่งมี 4 คนที่สวมหมวกเหล็ก มันได้ปกปิดใบหน้าและทำให้มองเห็นไม่ชัด เหลือเพียงดวงตาที่เห็นได้อย่างชัดเจน
ส่วนอีก 4 คนนั้น ไม่มีหมวกเหล็กปกปิดใบหน้าแต่อย่างใด
“หู่โฉง แม้ว่าจะไม่สามารถฆ่าเขาได้ แต่เ้าก็สามารถสอนบทเรียนที่เหี้ยมโหดให้กับเขาได้”
มีคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา ทำให้หู่โฉงประหลาดใจ จากนั้นมุมปากของเขาก็เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา และควบม้าพุ่งเข้าหาหลินเฟิง
“เ้ารู้หรือไม่ว่าพวกข้าทั้งสี่คนเป็ใคร?”
หู่โฉงกล่าวอย่างเ็า ขณะมองไปที่หลินเฟิง
“โง่เง่าสิ้นดี”
หลินเฟิงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเ็า เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าหู่โฉงและพวกเขาเป็ใคร?
“โง่เง่า?” หู่โฉงยิ้มอย่างเ็า “เ้าน่าจะรู้ได้แล้วนะจากการที่เ้าไล่ตามพวกข้ามา แต่เ้ากลับไม่รู้… ช่างโง่เขลานัก พวกข้าทั้งสี่คนเป็รองผู้บัญชาการผู้คุ้มกันทมิฬ ทำหน้าที่สั่งการทหาร แต่เป็เพราะเ้าเลยทำให้การสู้รบของเสวี่ยเยว่ต้องมีสถานการณ์ที่เลวร้าย แต่องค์ชายกลับสั่งให้พวกข้าต้องออกไปจับเป็เ้า เ้าควรภูมิใจในตัวเอง”
“รองผู้บัญชาการ”
หลินเฟิงเผยแววตาประหลาดใจออกมา เพื่อจับเป็เขาโม่เจี๋ยถึงกับต้องใช้องค์หญิงต้วนซินเยี่ยเป็เหยื่อล่อ และส่งรองผู้บัญชาการมาถึง 4 คน
อย่างไรก็ตามอีกสี่คนที่มีหมวกเหล็กบดบังใบหน้านั้นเป็ใครกัน? แม้ว่าสี่คนนี้จะไม่ใช่รองผู้บัญชาการ แต่ก็มีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งและทรงพลังมาก
“เ้าฆ่าผู้คุ้มกันทมิฬ และยังทำให้เมืองต้องกลายเป็ทะเลเพลิง ทำให้เหล่าทหารโม่เยว่ต้องกลายเป็ซากศพจำนวนมาก แม้จะไม่สามารถฆ่าเ้าได้ แต่ความเกลียดชังในใจข้านั้นมีมากนัก”
จากนั้นหู่โฉงได้คว้าอาวุธของเขา ซึ่งเป็ขวานขนาดั์อันแหลมคม เกรงว่าขวานด้ามนี้จะน้ำหนักมากกว่าร้อยชั่ง
“ย๊าก!!!”
หู่โฉงะโอย่างโกรธเกรี้ยวและั์ตาของเขาก็เบิกกว้าง ทันใดนั้นม้าที่เขานั่งอยู่ได้พุ่งโจมตีหลินเฟิง และขวานในมือก็ส่งเสียงคำรามขณะที่กำลังพุ่งเข้าหาหลินเฟิง
หลินเฟิงฟันดาบออกไป ทำให้ขาหน้าของม้าที่หู่โฉงขี่อยู่ถูกตัดขาด จนม้าตัวนั้นล้มหน้าคะมำ เห็นเช่นนั้นแล้วหู่โฉงก็ะโลงมาก่อนจะพุ่งเข้าหาหลินเฟิงต่ออย่างไม่ลดละ
หลินเฟิงยกดาบขึ้นปะทะกับขวาน ทำให้หลินเฟิงถูกผลักไปด้านหลัง คลื่นที่กระแทกมามันเพียงพอจะทำให้หลินเฟิงได้รับาเ็
“ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!”
หลินเฟิงพึมพำในใจ เขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาของหู่โฉง คนนี้มีบางอย่างที่เหมือนกับผู้คุ้มกันทมิฬที่ลานประลองในวันนั้นซึ่งถูกหลินเฟิงสังหารไป นั่นก็คือทั้งสองคนนี้อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 เหมือนกัน ซึ่งเป็ระดับขอบเขตที่แข็งแกร่งกว่าหลินเฟิง นอกจากนี้แรงกดดันจากขวานของหู่โฉงทำให้หลินเฟิงรู้สึกราวกับมีูเามากดทับบนตัวเขา ทันใดนั้นพื้นดินใต้ฝ่าเท้าคล้ายไม่อาจทนต่อแรงกดดันนี้ได้ พื้นดินจึงแยกออกจากกัน
“เพียงแค่การโจมตีเดียวก็รับไม่ได้งั้นหรือ... หึ”
หู่โฉงกล่าวเสียงเยือกเย็น ขณะก้มมองพื้นเบื้องล่างและเหลือบมองหลินเฟิงด้วยแววตาเยาะเย้ย
มือของหู่โฉงสั่นเทาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ยกขวานขึ้นเตรียมโจมตีหลินเฟิงอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามขณะหู่โฉงกำลังจะยกฝ่ามือขึ้น จู่ๆ ั์ตาของเขาพลันแข็งทื่อ เมื่อเห็นร่างกายของหลินเฟิงกลายเป็ภาพเงาและหายตัวไป
รวดเร็ว… เร็วราวกับสายฟ้าฟาดจนหู่โฉงไม่มีเวลาจู่โจมได้ เขาได้แต่ยืนถือขวานอยู่อย่างนั้น
“ระวัง!”
มีเสียงหนึ่งะโขึ้นมา แต่มันสายเกินไปแล้ว และหู่โฉงก็ยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
หู่โฉงพยายามที่จะยกขวานขึ้นมาป้องกัน ทว่าหลินเฟิงก็มาถึงตัวเขาแล้ว และดาบยาวของหลินเฟิงก็ได้เฉือนลำคอของหู่โฉงอย่างสยดสยอง
ทักษะเงาสังหาร ทำการสังหารคนโดยไร้เงา และเพียงการโจมตีเดียวก็สามารถคร่าชีวิตศัตรูได้!
นี่เป็ทักษะระดับพิภพ และตอนที่หลินเฟิงอยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 4 เขาก็สามารถใช้เงาสังหารได้แล้ว และเขายังได้ใช้ทักษะนี้สังหารผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 ได้
ตอนนี้ความแข็งแกร่งของหลินเฟิงอยู่ระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 แล้ว ไม่เพียงแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น แต่ทักษะเงาสังหารก็พัฒนามากกว่าก่อน ซึ่งทำให้เขาสามารถใช้พลังสูงสุดเมื่อเขาโจมตีได้
ทักษะเงาสังหารสามารถฆ่าคนได้ในพริบตา
แน่นอนว่าหลินเฟิงสามารถสังหารหู่โฉงที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 ได้ด้วยการโจมตีครั้งเดียว เพราะหู่โฉงได้ดูถูกหลินเฟิง นอกจากนี้เขาก็คิดว่าตนเองเหนือกว่าหลินเฟิง ทำให้หลินเฟิงมีโอกาสโจมตีเขาได้
“ข้าไม่อยากตาย” น้ำเสียงแหบแห้งเล็ดลอดจากคอหอยของหู่โฉง จากนั้นได้มีเืไหลออกมาจากลำคอของเขา แม้เขาจะไม่อยากตาย แต่เขาก็ถูกฆ่าตายไปเรียบร้อยแล้ว
ใน่เวลาแห่งความเป็ตาย หากประมาทขึ้นมาแม้ชั่วครู่ มันย่อมไม่สามารถย้อนกลับไปทางเดิมได้อีก